ลายได้ฟังเรื่องราวของอรุณนภาแล้วก็รู้สึกเห็นใจ ยิ่งรู้ว่าสองพี่น้องเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม ผิดกับสองอสูร
“ข้าขอร่วมเดินทางไปกับท่านด้วยจะได้มั้ยขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อิบารากิโดจิก็รีบแย้ง
“ไว้ใจมันได้หรือ” อรุณนภาหันมาพูดว่า “เขาก็มีสายเลือดของนรสิงห์ ยังไงก็เชื่อใจได้มากกว่าพวกเจ้าก็แล้วกัน” อิบารากิโดจิกำลังจะเถียงแต่ชูเท็นโดจิจับบ่าเขาเอาไว้
“ไม่ต้องไปสนใจ เราแค่ต้องการให้พวกเขาพาไปหาเจ้าการอนเท่านั้น” อิบารากิโดจิพยักหน้ารับรู้
ตลอดการเดินทาง ลายดูจะเข้ากับทุกคนได้ดีกว่าสองอสูรซะอีก ชูเท็นโดจิไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เขายกเหล้าขึ้นดื่ม แต่กลับโวยวายขึ้นมา
“เหล้าหมด !” อิบารากิโดจิได้ยินก็สะดุ้งโหย่ง “มีใครมีเหล้าติดตัวมาบ้างมั้ยเนี่ย” อรุณนภาทำหน้า งง ๆ แล้วตอบว่า
“พวกเรากำลังหนี จะมีอารมณ์พกเหล้าได้ไง ส่วนท่านศุภมิตรเป็นนักสิทธิ์จะดื่มเหล้าได้ที่ไหนกัน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นอิบารากิโดจิเลยต้องรีบไปบอกกับชูเท็นโดจิว่า
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะสหายข้า เดี๋ยวถึงเมืองคงมีเหล้าให้เจ้าดื่มแล้วล่ะ” ชูเท็นโดจิพยักหน้าแต่ก็มีท่าทางกระสับกระส่าย อาทิตย์เลยถามว่า
“ท่านชูเท็นโดจิ ติดเหล้าเหรอขอรับ” อิบารากิโดจิทำเหมือนกับไม่ได้ยิน
หลังจากเดินทางมาสักพัก ก็เห็นกำแพงเมืองอยู่ไม่ไกล เมื่อมีเมืองก็ต้องมีเหล้า ชูเท็นโดจิวิ่งนำไปโดยไม่สนใจใครเลย
“นี่มันติดเหล้าขั้นรุนแรงเลยนะ” อรุณนภาพูด คราวนี้อิบารากิโดจิหันมาพูด “ไม่งั้น ไม่ได้ชื่อ ชูเท็นโดจิหรอก” ทุกคนทำหน้างง ๆ อิบารากิโดจิถอนใจก่อนจะพูดว่า
“ชื่อเขาแปลว่า ไอ้ขี้เมาน้อย”
เมืองตรงหน้ามีชื่อว่าอินทราเทพ เป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ เจริญรุ่งเรือง มีกำแพงเมืองเป็นป้อมปราการที่แน่นหนา ทำให้เมืองดูปลอดภัยและเงียบสงบ อรุณนภาคิดถึงบ้านเมืองของตัวเอง มันเคยสงบและยิ่งใหญ่แบบนี้จนกระทั่งสงครามไปถึง จากบ้านเกิดที่อบอุ่นก็กลายเป็นลุกไหม้เพราะไฟแห่งสงคราม อาทิตย์บีบมือของพี่สาวเป็นการให้กำลังใจ
“จะหาเพื่อนเจ้าได้ยังไง” ศุภมิตรถามขึ้นมา อิบารากิโดจิยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบลงเขาทำจิตให้สงบ สักพักก็ได้ยินเสียงของชูเท็นโดจิ
“เอาเหล้ามา !”
เขารีบนำทุกคนไปทันที
ชูเท็นโดจินั่งอยู่ที่ร้านเหล้า เป็นเพิงหลังคามุงจาก และมีไหเหล้าตั้งอยู่หลายไห เจ้าของร้านเป็นชายชาวจีนแก่ ๆ คนหนึ่ง
“ไอ้หยา นี่ลื้อกินหรือเททิ้ง” เขาร้องด้วยความตกใจ เพราะเหล้าไหเบ้อเร่อ ถูกดื่มหมดในเวลาไม่นาน
“ไม่ต้องพูดมากเอามาอีกแล้วขอแรง ๆ ด้วย ไอ้ไหนี้อ่อนยังกะน้ำล้างไห” เจ้าของร้านให้นำเหล้ามาอีกซึ่งก็ถูกดื่มหมดในเวลาไม่นาน นักเลงสุราหลายคนมองเขาเป็นตาเดียว หลายคนรู้สึกอยากอาเจียนแทน บางคงแทบจะอยากเลิกกินเหล้าไปเลย บางคนก็สั่งเหล้ามาดื่มมากขึ้นหมายจะดื่มแข่ง แต่สุดท้ายก็กินได้ไม่เท่าเขา เมาหลับไปทุกคน ชูเท็นโดจิดื่มไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจคนอื่นเลย เขากินเหล้าในร้านหมดไปร่วมสิบไห แถมยังเอาเหล้ามาเติมใส่น้ำเต้าจนเต็ม แล้วจึงเดินออกไปจากร้าน
“เดี๋ยว ๆ ลื้อยังไม่ได้จ่ายเงิน” เจ้าของร้านพูด
“พูดบ้าอะไรวะ คนอย่างข้ากินเหล้าไม่เคยจ่ายเงินโวย” เขาผลักเจ้าของร้านล้มลง
“ไม่มีใครมาชักดาบอั๊วได้หรอกโวย ! เลียะพะ ! ” หลังสิ้นเสียงเจ้าของร้าน ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินมานับสิบ ชูเท็นโดจิ มองคนเหล่านั้นแล้วพูดว่า
“หลีกไป !” พวกชายฉกรรจ์เข้ามาหมายจะทำร้ายแต่ว่า โดนชูเท็นโดจิปัดกระเด็น เกิดการต่อสู้ขึ้น เสียงร้องโวยวายดังไปทั่ว เหล่าชายฉกรรจ์ โดนจัดการการอย่างง่ายดายเหมือนผู้ใหญ่สู้กับเด็ก
“หยุดเดี๋ยวนี้ ! ” ทหารกลุ่มใหญ่ ร้องสั่ง ชูเท็นโดจิ มองพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เจ้าบังอาจมาก่อเรื่องที่นี่ ตามพวกเราไปรับโทษเดี๋ยวนี้” ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “เคยมีใครยอมไปกับพวกแกง่าย ๆ หรือไงวะ”
“จับมันไว้” พวกทหารเข้ามาจับชูเท็นโดจิแต่ว่า ชูเท็นโดจิพ่นไฟออกมา ทำให้พวกเขาต้องรีบหลบ และถอยไปคุ้มเชิงเอาไว้ก่อน
“หลบไป !” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา เป็นเสียงที่ฟังดูมีอำนาจ ชายรูปร่างสูงโปร่ง มีใบหน้าคมคาย ไว้ผมทรงมหาดไทย ผิวคล้ำ
“อย่ามายุ่งไอ้หน้าอ่อน !” ชูเท็นโดจิตะคอกใส่หน้าพวกทหารได้ยินก็โกรธมาก “บังอาจแกรู้มั้ยว่าท่านผู้นี้เป็นใคร !”
“ไม่รู้โวย !” ทหารกำลังจะมาเล่นงาน แต่ชายหนุ่มกลับบอกว่า
“อย่า พวกเจ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ ข้าจัดการเอง”
“แต่ว่า ฝ่าบาท” ทหารจะเถียงแต่เกิดพูดไม่ออก ชูเท็นโดจิได้ยินคำว่าฝ่าบาทก็พูดขึ้นมาว่า “อ๋อ ! ที่แท้ก็พวกผู้ดีตีนแดงนี่เอง กลับไปบ้านกินนมแม่ไป” แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยเขาเอาเชือกมาพันมือเอาไว้ และตั้งท่ามวย
“ข้าคือ องค์ชาย อมเรศวร แห่งเมืองอินทราเทพ” พูดจบองค์ชายก็ค่อย ๆ ย่างเข้ามา ชูเท็นโดจิมองอย่างแปลกใจเขาไม่เห็นการย่างเท้าแบบนี้มาก่อน เขาโดนแตะเข้าเต็ม ๆ ถึงกับเซความเจ็บปวดแผ่เข้ามา
“เถรกวาดลาน”
ชูเท็นโดจิรีบตั้งตัวและชกชวนสวนไปแต่ อมเรศวรใช้มือปัดการโจมตีและสวนกลับด้วยการกระแทกศอกเข้าที่ชายโครงของชูเท็นโดจิ ทำให้เขาต้องถอยออกมา
“อิเหนาแทงกริช”
ชูเท็นโดจิยังคงออกหมัดเข้ามาหมายจะโจมตีอีกครั้ง แต่คราวนี้อมเรศวรก้มตัวหลบและชกหมัดขวาเข้าที่ปลายคางของชูเท็นโดจิเขากระเด็นรู้สึกมึนงงไปหมด
“ท่ายอเขาพระสุเมรุ”
ชูเท็นโดจิเห็นว่าใช้หมัดไม่ได้ผลเลยตัดสินใจรวมพลังไปที่ขาออกแรงแตะเต็มแรงแต่ว่า ถูกอมเรศวรจับขาเอาไว้และฟาดศอกใส่เต็มแรงคราวนี้ชูเท็นโดจิร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาตกตะลึงไม่คิดว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนทำร้ายเขาได้เจ็บเพียงนี้
“หักงวงไอยรา”
“นี่มันวิชาอะไรกัน !”
“มวยสยาม ! เอาล่ะสนุกพอแล้ว จระเข้าฟาดหาง !” อมเรศวรแตะเข้าที่ก้านคอชูเท็นโดจิ แรงแตะอันหนักหน่วงทำให้เขาล้มลงและสลบไป
“อย่ามาทำอวดเก่ง กับชาวอินทรเทพลูกหลานแห่งพระอินทร์นะ เจ้าอสูรมีเขา เอาตัวไปขังไว้” เมื่อสิ้นคำสั่ง พวกทหารพาร่างชูเท็นโดจิไปทันที
อิบารากิโดจิมาถึงเห็นชูเท็นโดจิถูกจับก็กำลังจะไปช่วยแต่ถูกลายตะครุบตัวเองไว้ก่อน “ปล่อยข้า ข้าจะไปช่วยสหายข้า”
“อยากโดนจับไปอีกคนหรือไงกัน ค่อย ๆ วางแผนดีกว่า” อิบารากิโดจิได้ยินลายพูดเช่นนี้ก็คิดได้
“เดี๋ยวข้าจะลองไปถามชาวบ้านให้แล้วกันนะ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ศุภมิตรอาสา เขาไปถามชาวบ้านสักพักก็กลับมาเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง เมื่อทุกคนได้รับรู้เรื่อง อรุณนภาหันมามองหน้าของอิบารากิ โดจิแล้วพูดว่า
“เพื่อนเจ้าคิดบ้าอะไรเนี่ย”“ก็สหายข้า อยากดื่มเหล้า จะไปว่าเขาได้ไงกัน” อิบารากิโดจิตอบหน้าตาเฉย อรุณนภาได้ยินก็โกรธจัด “นี่มันเรื่องเล่น ๆ หรือยังไง ถูกจับไปแบบนี้ จะช่วยออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วนะ” อิบารากิโดจิกลับบอกว่า“เพื่อสหายข้า ไม่มีเรื่องไหนที่ข้าทำไม่ได้หรอก” อิบารากิโดจิพูดจบเขาก็แปลงร่างเป็นนกกาและบินไปทันที ชูเท็นโดจิรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาถูกล่ามโซ่อย่างแน่นหนา และยังมีปลอกคอเหล็กสวมอยู่ เขาพยายามทำลายโซ่แต่ไม่เป็นผล เมื่อมองไปรอบตัว ที่นี่มีออร์คถูกขังอยู่มากมาย ทุกตัวถูกพันธนาการไม่ต่างอะไรจากเขาเลย เมื่อพยายามพ่นไฟปลอกคอเหล็กเปลี่ยนสีทำให้รู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟเผา พวกทหารเห็นแล้วก็หัวเราะเยาะ“โซ่เหล็กน้ำพี้ และปลอกคอเนี่ย แกทำลายไม่ได้หรอกโวย ไอ้อสูร พวกออร์คที่นี่ก็ฝีมือของเจ้าชายทั้งนั้นล่ะโวย”“ปล่อยข้า !” ชูเท็นโดจิโวยวาย แต่พวกทหารทำเป็นไม่ได้ยิน ชูเท็นโดจิกัดฟันด้วยความโกรธ เขาไม่เคยเสียท่าใครขนาดนี้มาก่อนเลย“อย่าให้ข้าออกไปได้นะ ไอ้หน้าอ่อน” เขาพูดด้วยความแค้นอิบารากิโดจิในร่างนกบินมาถึงเรือนจำ เขาพบว่าที่นี่มีกำแพงสูงแถมล้อมรั้วลวดหนามไว้อย่างแน่นหนา
“แย่แล้ว พวกออร์คบุก คุ้มกันที่นี่ให้แน่นหนา อย่าให้อะไรออกไปได้” หัวหน้ายามสั่ง“ต้องลงมือแล้วท่านศุภมิตร” อรุณนภาสะกิด ศุภมิตรเริ่มร่ายมนตร์ โซ่และปลอกคอที่ล่ามชูเท็นโดจิหลุดออก ประตูกรงเปิดเขารีบเดินออกมา“เฮ้ยทำอะไ...” พวกยามหันมาเห็นแต่เขายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกฆ่าโดยพวกออร์ค“ท่านปล่อยมันออกมาทำไม” อรุณนภาตกใจมาก ศุภมิตรหน้าเสีย “ขะ ข้า ตายล่ะ ข้าร่ายคาถากว้างเกินไปเลยทำให้ปล่อยทุกตัว” แม้จะมีออร์คตรงหน้าหลายตัว แต่ชูเท็นโดจิกลับมองหาอะไรบางอย่างอิบารากิโดจิเหมือนจะรู้ใจ ส่งน้ำเต้าใส่เหล้าใส่ ชูเท็นโดจิรีบยกเหล้ามาดื่ม แล้วพูดว่า“กำลังอยากจะหาอะไรเล่นพอดี” เขารวมพลังไปหมัดและชกเข้าที่ลำตัวของออร์คตัวหนึ่งมันกระเด็น และกระอักเลือดออกมา พวกที่เหลือกำลังจะลงมือแต่ จู่ ๆ ก็ล้มลงไป เลือดไหลอาบ“อิบารากิ ข้ายังไม่ทันได้สนุกจะรีบฆ่าพวกมันทำไม”“มันใช่เวลามั้ยเนี่ยรีบหนีเร็วเข้า” อรุณนภาตะโกนเสียงดังสั่น แต่ชูเท็นโดจิกลับบอกว่า “ข้าจะหาตัวไอ้หน้าอ่อนนั่นก่อน ! ” พูดจบชูเท็นโดจิก็รีบออกไปจากคุก ทุกคนรีบตามไปตอนนี้ในเมืองเกิดสงครามขึ้นแล้ว พวกออร์คนำกำลังมาบุกเมืองอินทราเทพ บ้านเมืองที่
“จับงูต้องจับที่คอ” เขาพุ่งไปจับคอของงูที่หาง แต่มีแขนเดียวเขา พละกำลังจึงตกไปแยอะ จึงเปลี่ยนวิธีเป็นพ่นไฟใส่หัวงูที่หางแทน มันร้องและวิ่งพล่านด้วยความเจ็บปวด ชูเท็นโดจิหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งและขว้างออกไปเต็มแรง หินทะลุหัวของมันตายคาที่ หลังสังหารคิไมร่าได้เขาก็ยกเหล้าขึ้นดื่มพวกออร์คเมื่อผู้นำตาย พวกมันก็ขวัญเสียถูกทหารฝ่ายอินทรเทพจับกุมและสังหารไปหลายตน และตอนนี้เหล่าทหารก็มียืนล้อมชูเท็นโดจิเอาไว้“สหายข้า” อิบารากิโดจิ รีบยืนคุ้มกันโดยมี อรุณนภาตามมาด้วย“ถอยไป !” เสียงของอมเรศวรดังขึ้นมาเหล่าทหารรีบถอยชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่ม เขามองไปที่ อมเรศวร เขาอยากจะต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ แต่ว่าตอนนี้แขนเจ็บเลือดไหลอาบ ขืนสู้กันไปก็เสียเปรียบแน่ อมเรศวรเองก็เสียพลังไปมากเขาไม่อยากต่อสู้กับชูเท็นโดจิ บังเอิญว่าเขาเห็นศุภมิตรอยู่ในกลุ่มคนด้วย เลยพูดขึ้นมา “ข้าจะทำทานกับท่านนักสิทธิ์น้อย โดยการปล่อยมันไป”ทุกคนได้ยินก็ตกใจกับคำประกาศของเจ้าชาย จะแย้งก็นึกขึ้นมาได้หากไปขัดใจนักสิทธ์อาจเจอคำสาปได้ ศุภมิตรรีบตัดบททันที “นมัสเต ข้าขอรับไว้”ชูเท็นโดจิกำลังเถียง แต่อรุณนภาบอกว่า
“เดินไปตามถนนเลยครับ จะเจอบ้านเรือนไม้หลังใหญ่ มีปีศาจหน้าวัวกับหน้าหมูยืนอยู่ที่นั่นล่ะครับ”“ขอบคุณมาก ขออวยพรทุกท่านให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ” พูดจบศุภมิตรก็เดินนำไป อรุณนภารีบพูดว่า“ตามท่านศุภมิตรไปสิ”หลังจากนั้น อรุณนภา อาทิตย์ ลาย เดินตามไปทันที ชูเท็นโดจิกับอิบารากิโดจิมองหน้ากัน แล้วยักไหล่ ก่อนจะเดินตามไป“พวกท่านเนี่ย จะพูดจะจาอะไรให้มันดี ๆ หน่อยสิ นี่อะไรแกว่งปากหาเท้าตลอด ข้าต้องโกหกอีกแล้ว” ศุภมิตรพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ชูเท็นโดจิไม่ได้ใส่ใจนักกลับยกเหล้าขึ้นดื่ม ศุภมิตรได้แต่ถอนใจ เมื่อมาถึงก็พบว่า เจ้าหน้าวัวกับหน้าหมูกำลังกินอาหารอยู่ ทั้งคู่กินอาหารอย่างตะกละตะกลาม เหมือนตายอดตายอยากมาเป็นปี เมื่อเห็นคณะเดินทาง เจ้าหน้าหมูก็ลุกขึ้นเดินอุ้ยอายมาหา“ท่านการอนไม่รับแขกแล้ว” ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่มและออกหมัดชกเข้าที่พุงของอีกฝ่าย เต็ม ๆ มันรู้สึกเหมือนกับโดนซุงท่อนใหญ่กระแทก ถึงกับอาเจียนออกมา“เฮ้ย ! แกทำอะไรวะ” เจ้าหน้าวัววิ่งมาและชนร่างของชูเท็นโดจิถอยไปหลายก้าว พละกำลังของเจ้าหน้าวัว ไม่ได้มีมากมายอะไรสำหรับชูเท็นโดจิมันแค่คัน ๆ มันวิ่งมาชนอีก ชูเท็นโดจิออกหมัดชกไปท
เมืองกระบี่ศรี เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่เรียกว่า เขาผลไม้ เป็นเมืองแห่งวานร ซึ่งเหล่าวานรเชื่อว่าตนเอง สืบเชื้อสายมาจากวานรจากเมืองขีดขิน จึงมีรูปร่างหน้าตาผิดกับลิงจากที่อื่น ๆ เหล่าวานรมีรูปร่างสูงใหญ่ มีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์แถมหลายตนก็มีพลังพิเศษจากสายธาตุลม มีการจัดระบบสังคมเหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ชอบสงคราม ชอบเล่นสนุกซะมากกว่าเลยทำให้เป็นมิตรกับเหล่ามนุษย์พอสมควร แรก ๆ นั้นวานรเหล่านี้เคยบุกเข้าไปแย่งอาหารจากเหล่ามนุษย์บ่อย ๆ ชาวบ้านจึงแก้ปัญหาด้วยการปลูกไม้ผล ไว้บนเขาจำนวนมากพอจนเหล่าวานรไม่มารบกวนอีก คณะเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ตีนเขาผลไม้ หลังจากที่ศุภมิตรไปสอบถาม เรื่องเส้นทางจากชาวบ้านก็ได้ข้อมูลดังกล่าวมา“พวกเขาบอกว่าผ่านป่าก็ไม่น่าจะมีอะไรน่าห่วงเพราะพวกวานรไม่ทำร้ายใคร” ศุภมิตรบอกกับทุกคนคณะเดินทางเดินทางเข้าไปในป่าผลไม้ ที่นี่ผลไม้มากกมายหลายชนิด จนเรียกได้อุดมสมบูรณ์มากกลิ่นผลไม้หลายชนิดตลบอบอวนไปทั่วชวนให้น้ำลายสอ จนศุภมิตรคิดว่า เขาน่าจะมาบำเพ็ญที่นี่หลังจากเสร็จสงครามแล้ว เดินทางมาพักใหญ่ทุกคนตัดสินใจหยุดพัก “คร
“สหายข้า ระวัง !” อิบารากิโดจิตะโกนบอกแต่ช้าไปแล้วท่อนไม้นั้นฟาดเข้าที่หัวของชูเท็นโดจิ เต็ม ๆ ทำให้ชูเท็นโดจิถึงเซ มารุตกำลังจะโจมตีซ้ำแต่พวกวานรส่งเสียงเรียกเขา ให้หันไปดู ก็พบมีวานรตัวหนึ่งอุ้มลูกวานรมาก เขาบาดเจ็บไม่น้อยเลย มารุตเห็นดังนั้นก็ร้องสั่งทันที “รีบกลับไปที่เมืองเร็ว” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าวานรก็รีบเคลื่อนพลทันที อาทิตย์รวบรวมความกล้าเดินไปหามารุต “ข้า...เป็น...หมอ”เมื่อมารุตได้ยินเช่นนั้นเขาจึงรีบบอกว่า“งั้นช่วยรักษาพวกเขาด้วย”มารุตตามเหล่าวานรไป อาทิตย์รีบดูอาการของวานรทั้งสอง โดยมีศุภมิตรคอยช่วย ชูเท็นโดจิที่เพิ่งหายมึนเห็นมารุต กำลังจะกลับเข้าเมือง เลยตะโกนเสียงดังว่า“แกจะไปไหน !” ชูเท็นโดจิวิ่งตามไปด้วยความโกรธ อิบารากิโดจิรีบตามไป ส่วนลายอยู่คุ้มกันคนที่เหลือที่เมืองกระบี่ศรี หากใครมาเห็นคงจะต้องแปลกใจว่า พวกวานรสร้างเมืองได้ขนาดนี้เชียวหรือ มันแทบไม่ต่างจากเมืองใหญ่ของพวกมนุษย์เลย ตอนนี้เหล่าวานรกำลังต่อสู้สัตว์ประหลาด มันมีร่างกายท่อนล่างเป็นงู ท่อนบนเป็นมนุษย์และมีหัวเป็นงู พร้อมด้วยอาวุธครอบมือ กำลังโจมตีเมืองกระบี่ศรี เนื่องจากนักรบส่วนใหญ่ของเมือ
ทั้งชูเท็นโดจิและมารุตเริ่มเหนื่อยอ่อน อย่างเห็นได้ชัด ชูเท็นโดจิพยายามพ่นไฟใส่แต่คอบร้าก็หลบได้ทุกครั้ง ส่วน มารุตนั้นเขาแทบจะโจมตีกลับไม่ได้เพราะไม่อยากเพิ่มจำนวนของหัวงูให้มากขึ้นไปอีก ชูเท็นโดจิหยิบหินมากำไว้ในมือจนมีควันออกมาจึงขว้างออกไปโดนหัวงูเข้าหัวหนึ่ง ทำให้ได้แผลไปเล็กน้อย“ชิ ร้อนน้อยไป” เขาพูดอย่างหัวเสีย มารุตเห็นดังนั้นก็คิดบางอย่างออก“พ่นไฟใส่ขวานข้าเร็ว” ยังไม่ทันได้พูดอะไร คอบร้าเรียกงูทั้งหมดออกมาสร้างก้อนพิษสีเขียวขนาดใหญ่ ปล่อยขึ้นฟ้าไป มันระเบิดออก กลายเป็นฝนพิษ ทำให้มารุตกับชูเท็นโดจิต้องไปหลบในบ้านหลังหนึ่ง ภายในบ้านมีเหล่าวานรแก่และเด็กที่กำลังหวาดกลัวและมีเสียงวานรหลายตัวกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ มารุตกัดฟันด้วยความโกรธ“พ่นไฟใส่ขวานข้า”“ไฟของข้าร้อนกว่าไฟปกติไม่รู้กี่เท่า ขวานเจ้าได้กลายเป็นน้ำแน่” ชูเท็นโดจิพูดจบก็ยกเหล้าขึ้นดื่ม มารุตยกขวานให้ดู“ขวานคู่นี่ต้นตระกูลข้าได้มาจากพระพรหม ต่อให้โดนไฟนรกมันก็เป็นอะไรหรอก”“แต่เจ้า”“ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”ชูเท็นโดจิพ่นไฟใส่ขวานคู่ของมารุต จนเป็นสีแดง มารุตรู้สึกถึงความร้อมที่แผ่เข้ามา เขารู้สึกเหมือนอยู่ใ
“แล้วมันเรื่องอะไรของเจ้า” ชูเท็นโดจิพูด อรุณนภารีบพูดว่า “กินเหล้าไปเถอะไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ขอโทษท่านมารุตนะด้วยนะคะ”“ไม่เป็นไรข้าไม่ถือหรอก พวกเจ้าช่วยเมืองเรา ตอนนี้ข้าถือเจ้าเป็นสหาย ว่าแต่จะไปไหนกัน” มารุตพูดพร้อมกับยิ้ม“เราจะไปเมืองนรสิงห์” อรุณนภาตอบ มารุตคิดสักพักก่อนจะตอบว่า“งั้นแนะนำให้ไปทางน้ำนะ พวกปีศาจนั่นไม่กล้ารบกวนแน่เพราะทางน้ำมีผู้พิทักษ์อยู่” พูดจบมารุตก็เดินจากไป“พวกเราเชื่อใจเจ้าลิงนั่นได้แค่ไหนกัน” อิบารากิโดจิพูด ทุกคนนิ่งคิด ศุภมิตรเลยตอบว่า “เขาไม่ได้โกหกหรอก จะกำจัดเรา แค่สั่งคำเดียวก็ฆ่าพวกเราได้แล้ว”“แล้วเจ้ามีความเห็นยังไงชูเท็นโดจิ” อรุณนภาถามแต่ชูเท็นโดจิหลับไปแล้ว ทุกคนถอนใจ “สาโทนี่ท่าจะแรงนะ สหายข้าถึงกับหลับได้” อิบารากิโดจิพูด อรุณนภาแอบมองชูเท็นโดจิตอนหลับไม่เหมือนอสูรที่เธอคุ้นเคยกลับดูสงบมาก เธอเลยคิดว่าเวลาหลับนี่มั้งที่ชูเท็นโดจิจะไม่มีอันตรายเช้าวันต่อมา ทุกคนออกเดินทาง โดยมารุตได้บอกว่าเดินไปทางทิศตะวันออก จะเจอเมืองท่ามีเรือโดยสารน่าจะพาพวกเขาไปในที่ที่ต้องการได้ พวกวานรนำเสบียงอาหารมาให้ทุกคนอย่างเต็มที่ แม่วานรตัวหนึ่
“จะกลัวไปทำไม ก็ข้ามีเจ้าอยู่ด้วยนี่ อิบารากิ”“อิบารากิ เจ้าคือสหายรักของข้า” ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเคยทำให้เขามีความสุขอย่างที่สุด แต่มันกลายเป็นความเจ็บปวดทรมาณ ในยามนี้เขาทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้น หากใครมาเห็นเขา คงได้แต่คิดว่า นี่หรือคือ อสูรร้ายที่สังหารคนมาเป็นร้อย ๆ แต่ในเวลานี้กลับกลายเป็นเพียงคนใจสลายคนหนึ่งเท่านั้น น้ำตาไหลปนกับเลือดที่นองหน้า กลายเป็นสีเลือดไปแล้ว หลังจากอิบารากิโดจิไปแล้ว ชูเท็นโดจิก็เอาแต่นั่งซึมทำอะไรไม่ถูก เลยทำได้แค่ดื่มเหล้าเรื่อย ๆ จริงอยู่อาจจะโกรธที่อิบารากิโดจิคิดแบบนี้ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า เขากับอิบารากิโดจิมีความผูกพันธ์กันมากจนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะไล่อิบารากิโดจิไปให้พ้น ๆ หน้า และก็ไม่อยากเชื่อเลยเพื่อนรักจะคิดทำร้ายคนที่เขารัก ลาย ศุภมิตร เพิ่งได้รู้เรื่องราวจากทั้งหมดจากอรุณนภา ก็ถอนใจยาว“เจ้าควรไปอยู่ใกล้ ๆ เขานะ” ลายพูด อรุณนภาทำหน้าไม่ถูก “แต่...”“เขาเพิ่งจะเสียเพื่อนรักไปนะ ” ลายพูด อรุณนภาเดินเข้าไปหา อาทิตย์มองหน้าของลาย เขาเองก็เศร้าไม่แพ้กัน ชูเท็นโดจิยังมีอรุณนภา แต่ลายเหมือนไม่มีใครเลย ศุภมิตรกับอาทิตย์เลยชวนลายไปช่
“คือ ข้าไม่รู้ จะเริ่มต้นยังไงดี” อรุณนภาพูด้วยความรู้สึกอึดอัด แต่อิบารากิโดจิยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หากแต่แววตายังเต็มไปด้วยโทสะ อรุณนภาถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดว่า“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”“เจ้ารู้ แล้วทำไมปล่อยให้เกิดขึ้น” อิบารากิโดจิพูดน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ จนทำให้เธอรู้สึกขนลุก“ข้าไม่อยากทำลายมิตรภาพของเจ้าเลยนะ” อรุณนภาพูดเสียงสั่น อิบารากิโดจิเลิกคิ้วด้วยความสงสัย“นี่เจ้าพูดอะไรเนี่ย”“จะให้พูดออกมาเหรอ ข้าเป็นหญิงนะ ข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้าทะเลาะกันเพราะ...มาแย่งข้า”“เจ้าพูดอะไร ใครแย่งเจ้ากัน เจ้าต่างหากที่มาแย่ง สหายข้าไปจากข้า” อิบารากิโดจิพูดชัดเจนทุกคำ“เจ้าว่าไงนะ” อรุณนภาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“หูแตกหรือไง ชูเท็นเป็นของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแย่งเขาไปจากข้า” อิบารากิโดจิพูด อรุณนภางงไปหมดแล้ว“ทำไมเจ้าถึงมาทำดีกับข้า”“ถ้าเป็นตอนไปหายา หากไม่มีเจ้ากลับไปด้วย น้องเจ้าอาจไม่ยอมรักษาสหายข้า ตอนที่เจ้าเมาข้าไม่อยากให้ชูเท็นแตะตัวเจ้า เขาเป็นของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาหน้าสวย ๆ ของเจ้ามาล่อลวงเขา” ได้ยินเช่นนี้ อรุณนภารู้สึกเหมือนกับใครเอาน้ำเย็นสาดเธอ ทำให้
“รีบลุกขึ้นเลย” อิบารากิโดจิพูด“ขะ ข้า ชะ ช่วย คะ ใครไม่ได้เลย” ศุภมิตรพูดด้วยความลำบากยากเย็น“แล้วมานั่งอยู่นี่ มันดีกว่ากันตรงไหนวะ อรุณนภาอยู่ไหน” ชูเท็นโดจิตวาดใส่ ศุภมิตรรีบตอบว่า“อยู่ที่โรงรักษาขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชูเท็นโดจิก็รีบวิ่งไปทันทีอรุณนภายืนคุ้มเชิง พวกออร์คที่กำลังจะบุกเข้าไปที่โรงรักษา ตอนนี้อาทิตย์พยายามรักษาคนเจ็บให้มากที่สุด ด้วยจำนวนคนเจ็บมากมายทำให้เขาเริ่มอ่อนแรง อรุณนภาเองก็กำลังจะต้านไม่ไหวแล้ว ชูเท็นโดจิมาถึงเขารีบซัดหินใส่พวกออร์คทำให้มันล้มตายไป“มานี่เร็ว” ชูเท็นโดจิรีบตะโกนเรียก“อาทิตย์ยังอยู่ข้างในนั้น” อรุณนภาพูด ชูเท็นโดจิอึ้งไป อิบารากิโดจิจึงรีบอกว่า “เจ้าพานางหนีไปก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาอาทิตย์ออกมาเอง”อิบารากิโดจิกับลายเข้าไปโรงรักษา เห็นอาทิตย์กำลังใช้พลังรักษาคนจำนวนมาก จนเขาเริ่มอ่อนแรงแล้ว “หยุดได้แล้ว !” อิบารากิโดจิตะโกนเสียงดัง“แต่...ยัง...มี...คน...เจ็บ...อยู่...นะ...ขอ...รับ” อาทิตย์พูดเหมือนกับว่าการพูดแต่ละคำเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นมาก“ตอนนี้เจ้านะหายใจยังลำบากเลย หนีก่อนเถอะ พวกเจ้าน่ะ ใครพอจะพาคนเจ็บหนีได้ก็ช่วยกันเร็ว” อ
การอนสยบสามทหารเสือให้เวลาเพื่อชั่วพริบตา ทั้งสามรีบลุกขึ้นมา และเรียกอาวุธออกมาเป็นเขนคู่ทั้งสามคน ขุนสมานที่มือเจ็บ เขาเห็นว่าปล่อยไว้ไม่ดีแน่จึงคิดจะจบการต่อสู้โดยเร็ว เมื่อเห็นช่องว่างก็รีบเข้าไปโจมตีทันที ซึ่งเป็นการคิดผิดอย่างมหัน การอนใช้ฝ่ามือแทงร่างของขุนสมานทะลุ หนึ่งในสามทหารเสือสิ้นชื่อแล้ว“ท่านขุน ! แก !” ขุนเดโชกับขุนเรืองพูดพร้อมกันและเข้าไปโจมตี แต่การอนยิงลำแสงออกมาจากฝ่ามือสังหารทั้งสองในพริบตา เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าพรหมทัตจึงสั่งเคลื่อนพลทันที เพื่อแก้แค้นให้สามทหารเสือ ทหารทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กัน เสียงอาวุธกระทบกันดังสนั่น ชูเท็นโดจิไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากการอน เขาซัดหินใส่พวกออร์คทุกตัวที่ขวางทางเขา ไดเห็นชูเท็นโดจิแล้วก็พูดว่า“ยังไม่ตายอีกเหรอ” ไดดึงดาบออกมาจากหลังและขว้างไป ตาที่ดาบลืมขึ้นและพุ่งเข้าหาชูเท็นโดจิทันที แต่อิบารากิโดจิมาปัดดาบทิ้ง“พวกแกนี่อึดยังกะแมลงสาบเลยนะ แต่ยังไงก็ต้องโดนข้าบี้อยู่ดีนั้นล่ะ” ไดวาดมือไปมา ดาบบินกลับมา อิบารากิโดจิต่อสู้กับดาบทันที ชูเท็นโดจิใช้จังหวะนี้ รีบเข้าไปหาการอน ไดกำลังจะใช้ดาบอีกเล่ม“เดี๋ยวก่อนได ปล่อยมันเข้ามา” เ
“ขอต้อนรับทุกท่านสู่กองทัพแห่งเมืองพรพรหม บ้านเมืองของเราได้รับพรจากพระพรหมให้ อุดมสมบูรณ์และสงบร่มเย็นมาช้านาน แต่ในเพลานี้ มีพวกปีศาจร้ายจ้องจะทำลายพวกเรา แม้พวกเราจะรักสงบแต่ไม่ยอมให้ใครมารุกรานเราง่าย ๆ แน่ ทหารเอ๋ย จงอย่าสู้เพื่อกษัตริย์ แต่จงสู้เพื่อ ลูก เมีย บ้านเมือง และวันพรุ่งนี้ที่สงบสุข” เมื่อสิ้นคำประกาศทุกคนก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า“เพื่อ พรพรหม”ทั้งสามได้เจอกับศุภมิตร อาทิตย์ และอรุณนภาก็ทราบว่า ศุภมิตรได้ไปร่วมกับเหล่าฤาษีในเมืองนี้ ส่วนอาทิตย์กับอรุณนภานั้น ได้เข้าร่วมกับพวกหมอในเมืองหลังนั้นการฝึกก็เริ่มต้นขึ้น สิ่งแรกคือการวิ่งขึ้นเขาสูง สำหรับชูเท็นโดจิแล้วมันง่ายเขาเลยพูดว่า“นึกว่าจะทำให้ทำอะไรที่มันยากกว่านี้ซะอีก” ขุนสมานพอได้ยินเช่นนั้นก็เลยบอกว่า “คิดว่าข้าจะให้แค่วิ่งเหรอ” กระสอบจำนวนมากถูกขนมาก“เจ้าต้องแบกนี่ไปด้วย” ขุนสมานประกาศ น้ำหนักของกระสอบนั้นพอ ๆ กับผู้ชายตัวใหญ่ ๆ เลย ทำให้หลายคนแทบจะก้าวขาไม่ออก น้ำหนักของกระสอบทำให้ความเร็วในการวิ่งของอิบารากิโดจิตกลงไปแยอะ เพราะเขาไม่ได้แข็งแรงเท่า ชูเท็นโดจิที่เดินตัวปลิวเหมือนไม่ได้แบกอะไรเลย“อิบารากิ ทำไมเจ
คณะเดินทางออกเดินอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนแทบไม่พูดอะไรกัน แม้แต่ชูเท็นโดจิกับอิบารากิโดจิก็ไม่พูดจากัน ทำให้อรุณนภารู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ มาถึงเมืองหนึ่งเป็นเมืองใหญ่มีกำแพงสูงและกว้างสุดลูกหูลูกตา ที่ประตูเมืองมีป้ายชื่อ เมืองว่า เมืองพรพรหม มีประกาศติดไว้ที่กำแพงเมือง“ ประกาศจากพระเจ้าพรหมทัต ในยามนี้มีศึกสงครามเกิดขึ้น และได้รับข่าวที่น่าเชื่อถือว่า การอนจะนำทัพมาบุกเมืองของเรา จึงต้องการทหารเพิ่มอีกจำนวนมาก ใครสนใจทดสอบฝีมือเพื่อร่วมกองทัพเชิญที่ลานประลองได้” ชูเท็นโดจิดูจะสนใจประกาศนี้มาก เขาหันไปหาอิบารากิโดจิแล้วถามว่า“เจ้าเอาด้วยมั้ย อิบารากิ”“ถ้าเจ้าไปสมัคร ข้าก็เอาด้วยสหายข้า” อิบารากิโดจิตอบ ในที่สุดทั้งสองก็พูดกันแล้ว แต่อรุณนภารีบแย้งขึ้นมา“เดี๋ยว พวกเจ้าจะไปสมัครเป็นทหารเหรอ”“ก็ใช่นะสิ มีปัญหาเหรอ” ชูเท็นโดจิตอบหน้าตาเฉย อรุณนภาทำคอย่นหลับตาปี๋ แล้วรีบพูดว่า“อย่าบ้านะ เจ้าเป็นทหารไม่ได้หรอก”“เฮ้ย ! พูดงี้ดูถูกพวกเราเหรอ !” อิบารากิโดจิพูดอย่างไม่พอใจนัก“เรื่องผีมือพวกเจ้าน่ะ ข้าไม่สงสัยหรอก แต่รู้มั้ยว่าทหารต้องมีอะไรบ้าง” อรุณนภาถาม“ก็แค่สังหารข้า
ชูเท็นโดจิเอาหัวโขกหัวของทูร่าเต็มแรง ให้มันต้องปล่อยมือ เขาเอาสองมือจับหัวและหักคอของมัน เสียงกระดูกหักดังลั่น แต่ทูร่ากระหน่ำหมัดใส่มันไม่หยุด ทุกคนตะลึง นายกองเมฆถึงกับตะโกนออกมาว่า“บ้าน่ามัน คอหักไปแล้วทำไมมันไม่ตาย”“หรือว่า สหายข้า นั่นไม่ใช่หัวมัน” อิบารากิโดจิตะโกนเสียงดังลั่น“ฉลาดนี่ แต่ใครรู้เรื่องนี้ มันต้องตาย” หน้าที่ท้องของมันส่งเสียงพูดออกมา ชูเท็นโดจิตั้งท่าเตรียมตัว แต่ทูร่ายืนเฉย ๆ และหัวเราะ“อะไรของแกวะ” ชูเท็นโดจิตะโกนถาม“คิดว่า ข้ารัดเจ้าเมื่อกี้เพราะอะไรล่ะ ไอ้โง่” ชูเท็นโดจิรู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งอยู่ในตัว มีหนอนโผล่ออกมาจากร่าง เขารู้สึกเจ็บปวดจนยืนไม่ไหว ทูร่าเดินมากระทืบเข้าไปที่กล่องดวงใจของชูเท็นโดจิ ความเจ็บปวดแผ่เข้ามา มันเป็นการหยามน้ำหน้าขั้นรุนแรง เขากัดฟันกรอด ๆ ด้วยโกรธแค้น แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ เพราะตอนนี้แค่ยืนยังทำไม่ได้“อะไรคิดจะทำอะไรเหรอ ตอนนี้แกเป็นแค่อาหารหนอนเท่านั้น” มันพูดเย้ยและเอาเท้าเหยียบอกของชูเท็นโดจิเอาไว้ แต่จู่ ๆ มันก็กระโดดออกมา มันรู้สึกร้อนที่เท้าราวกับเหยียบไปบนถ่านร้อน ๆ ร่างของชูเท็นโดจิมีควันออกมา หนอนที่ไชตัวเขาระเบิด
แมงป่องยักษ์บุกเข้ามาในหมู่บ้าน ขนาดตัวมันพอ ๆ กับช้าง ไล่จับชาวบ้าน กินเป็นอาหาร ทุกย่างก้าวต้องมีมนุษย์เป็นเหยื่อของมัน นายกองเมฆนำกำลังทหารเข้าต่อสู้ กับเจ้าแมงป่อง ซึ่งเปลือกของมันหนามากทำให้อาวุธเจาะไม่เข้า มันเอาหางแทงทหารตายไปหลายคน ชูเท็นโดจิ อิบารากิโดจิ ลาย อรุณนภา มาถึง เห็น เจ้าแมงป่องยักษ์ ชูเท็นโดจิชัดหินใส่ แม้จะทะลุเปลือกของมันได้ แต่ว่า ด้วยขนาดตัวของมันทำให้เกิดบาดแผลเล็ก ๆ เท่านั้น เขานึกถึงดาบของอรุณนภา แต่ว่าตอนนี้เธอยังต่อสู้ไม่ได้ เนื่องจากอาการเมาค้าง เขาเห็นหอกที่เหล่าทหารกำลังซัดใส่เจ้าแมงป่องยักษ์จึงวิ่งไปหยิบมาเล่มหนึ่ง และขว้างออกไป หอกทะลุก้ามมันข้างหนึ่ง คราวนี้ทำให้เจ้าแมงป่องหันมาเล่นงานเขา ชูเท็นโดจิรีบเอาหอกมาพ่นไฟใส่แต่ว่า ไฟของเขาร้อนเกินไปหอกละลาย ทำให้ต้องรีบหลบ มันไล่ตามชูเท็นโดจิอย่างไม่ลดละเขาทำได้แค่วิ่งหนี อิบารากิโดจิเห็นเพื่อนรักลำบากแบบนี้เขาคิดจะเข้าไปช่วย แต่ว่าการโจมตีของเขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าแมงป่องยักษ์นี่ได้ เขานึกถึงดาบของอรุณนภาจึงหันไปหานางแล้วพูดว่า“เจ้าต่อสู้ได้หรือยัง”“ไม่ได้ก็ต้องได้แล้วแล้วล่ะ” อรุณนภาตอบ“
“ยังจะถามอีกแล้วเหรอ แล้วเจ้าคิดบ้าอะไรอยู่ !”“ข้าจะล่อมันไปไกล ๆ แล้วค่อยสังหารมัน”“แล้วจะทำไง” อิบารากิโดจิถาม ลายนิ่งคิดแล้วตอบไปว่า “ข้ายังไม่ได้คิด”อิบารากิโดจิไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ฝูงตั๊กแตนยังตามมาเรื่อย ๆ เขาเลยตัดสินใจ “จำไว้นะ ว่าแกเป็นหนี้ข้า !” อิบารากิโดจิ แปลงร่างเป็นนกยักษ์ เข้าไปต่อสู้กับกองทัพตั๊กแตน พออยู่ในร่างนี้เขาก็สังหารตั๊กแตน ไปหลายตัว ลายเห็นดังนั้นเลยแปลงร่างเป็นนกยักษ์ตาม เขาทำได้สำเร็จแต่ก็ยังมีลายเสืออยู่ แต่เจ้าตัวใหญ่ไม่ระคลายผิวมันเลยชูเท็นโดจิกับอรุณนภาตามมาทัน เขามองไปที่ร่างของเจ้าตั๊กแตนยักษ์“อรุณนภา ข้าจะเหวี่ยงเจ้าขึ้นไป ฟันมันให้ได้สักแผลนะ” ชูเท็นโดจิพูด อรุณหน้าทำหน้าตกใจแล้วถามว่า“อะไรนะ !” แต่ยังไม่ทันไร เขาก็เหวี่ยงร่างของอรุณนภาลอยขึ้นฟ้าไป เธอลงมาบนหลังของตั๊กแตนตัวเท่าม้าเทศ มันพยายามสลัดเธอให้หลุด อรุณนภาแทงดาบเข้าไปที่หลังของมัน เจ้าตั๊กแตนสลัดเธอหลุดจากหลังพร้อมกับดาบ ทำให้มีแผลลึกเข้าแผนของชูเท็นโดจิ เขากระโดดขึ้นไปขี่หลังของเจ้าตั๊กแตนยักษ์ มันพยายามสลัดเขาให้หลุด แต่ชูเท็นโดจิเอาขาหนีบเอาไว้แน่นและพ่นไฟเข้า