หยวนเสี่ยวผิงเดินลงมาจากม้าและพุ่งตัวเข้ามาหาฟางหลีม่านทันทีเมื่อนางยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมระหว่างที่คณะเดินทางได้จอดเพื่อให้ม้าได้พัก
“ตามเจ้าทันจนได้ คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้”
“ท่านโหวน้อยนี่ท่าน…มาท่องเที่ยวหรือ”
“ข้าหรือ ข้าก็ตามเจ้าไปที่ลู่โจวอย่างไรเล่าจะพูดเช่นไรดี ข้ามีจวนอยู่ที่นั่นและท่านพ่อเองก็วานให้ข้าไปดูแลกิจการผ้าไหมที่นั่นสักหน่อยจะเรียกว่าบังเอิญก็ได้กระมัง”
“หึหึ ช่างบังเอิญได้จังหวะดีเสียจริงเลยนะ”
“หลีม่านเจ้าจะไปที่ใด แล้วถ้าไปที่ลู่โจวแล้วเจ้าจะพักที่ใดงั้นหรือ คงไม่ใช่ค่ายทหารหรอกนะ ข้าว่าอย่างไรแล้วเจ้าไปพักกับข้าที่จวนสกุลหยวน...”
“ท่านตาข้าเองก็มีจวนที่นั่น ขอโทษด้วยท่านโหวน้อยข้าไม่ไปกับท่าน เราเพียงแค่บังเอิญมาพบกันเท่านั้น ม้าของข้าพักพอเมื่อใดก็จะรีบเดินทางทันที”
“ไม่เอาน่าหลีม่าน เจ้ากับข้าก็จะไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ข้าเองก็พาคนคุ้มกันมามากเดินทางหลาย ๆ คนปลอดภัยกว่านะ”
“เจียวจูข้ารู้สึกปวดหัวขอไปพักบนรถม้าหน่อยพร้อมแล้วก็มาบอกข้าก็แล้วกัน”
“อ้าว เดี๋ยวสิหลีม่าน ข้า…”
“ท่านโหวเจ้าคะ คุณหนูข้าพูดชัดเจนแล้วหวังว่าท่านจะไม่ตามนางไป ถึงอย่างไรคุณหนูข้าในตอนนี้ก็เป็นว่าที่คู่หมั้นท่านอ๋องนะเจ้าคะท่านควรจะให้เกียรตินาง เว้นระยะห่างเสียหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้า…. ข้าก็ยังไม่ทันได้ล่วงเกินอะไรนางเสียหน่อย ไม่เคยทำด้วย”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”
เจียวจูเดินตามหลีม่านเข้าไปที่รถม้า ขบวนคุ้มกันของสกุลฟางต่างหันมามองท่านโหวน้อยแต่พวกเขาก็ไม่พูดอะไรมากเพราะถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านเจ้าเมือง
“คอยดูไปเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่หวั่นไหวกับข้าเลยสักนิดฟางหลีม่าน”
คณะเดินทางของหลีม่านเดินทางออกมาจากซีโจวจนเกือบจะถึงเมืองลู่โจวแล้ว อารมณ์ที่สดชื่นของหลีม่านถูกรบกวนโดยหยวนเสี่ยวผิงที่เอาแต่ตามนางทุกครั้งที่คณะเดินทางของนางหยุดพัก จนนางแทบจะไม่อยากลงจากรถม้าทั้ง ๆ ที่แต่ละสถานที่นั้นเหมาะกับการชื่นชม
“ชาติก่อนข้าไปทำอะไรผิดกับเขาไว้หรืออย่างไรกันนะ เขาถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”
“คุณหนูเจ้าคะ แต่หากไม่นับเรื่องที่ท่านโหวน้อยทำตัวน่ารำคาญตลอดเวลาที่เดินทางมานี้เขาก็ช่วยเหลือคนของเราไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ทั้งต่อรองกับผู้คุมด่านไหนจะอาหาร ที่พักดี ๆ ที่…”
“เจียวจู เจ้าก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ”
“เปล่านะเจ้าคะ ข้าก็แค่พูดตามที่เห็นเท่านั้น ข้ารู้ดีว่าคุณหนูปักใจชื่นชอบท่านอ๋องแต่ว่าคนโหดร้ายคลั่งสงครามเช่นนั้นจะรักใครเป็นหรือเจ้าคะ”
กระโจมแม่ทัพ
“ฮัดชิ่ว!!”
“ท่านอ๋อง เป็นหวัดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่า แค่รู้สึกคันจมูกเท่านั้นมีรายงานจากกองทัพที่แม่น้ำเซียงหรือยัง”
“กำลังพลของเราถอยออกมาตั้งรับตามแผนพ่ะย่ะค่ะ และเป็นไปตามคาด พวกมันหลงกลคิดว่าเราถอยเพราะสู้ไม่ได้และข้ามฝั่งมาจนกลับไม่ทันถูกเราล้อมโจมตีไม่เหลือเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกอย่างงานนี้ได้ม้าของฝั่งข้าศึกกลับมาอีกสองร้อยสามสิบสามตัว เป็นม้าศึกที่เหมาะสำหรับเดินทางปีนเขา”
“รองแม่ทัพเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจัดการให้คนของเราฝึกม้าที่เหลือให้ดีแล้วอย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าปลอดภัยหรือไม่ที่จะใช้พวกมัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ต้าเป่า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพาทหารไปห้าสิบนาย ไปตรวจสอบให้เรียบร้อยว่าไม่หลงเหลือข้าศึกดูให้แน่ใจว่าพวกมันซุ่มกำลังเอาไว้หรือไม่แล้วอย่าให้พวกมันรู้ตัว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งนี้ท่านอ๋องวางแผนการได้อย่างแยบยล เราใช้เพียงกองหนุนที่เข้าไปปราบข้าศึกกลับชนะได้รวดเร็ว”
“เพราะพวกมันประมาทต่างหาก มิเช่นนั้นแล้วกำลังเพียงสองร้อยห้าสิบนายที่ส่งไปคงมิอาจสู้ศัตรูได้มากถึงแปดร้อยคนเช่นนั้น”
“ครั้งนี้ศึกริมแม่น้ำเซียงคงจะสงบลงอีกพักใหญ่”
“อี้หลง เจ้าบอกว่าน้องสาวของเจ้าเดินทางมาที่ลู่โจว ได้ข่าวแล้วหรือยัง”
“อ้อ เห็นว่าเดินทางออกจากซีโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ คงจะมาถึงในไม่ช้าส่วนเรื่องเวลากระหม่อมไม่แน่ใจแต่หากศึกนี้สงบพระองค์ก็คงจะพบนางในเมืองลู่โจวเพราะเห็นว่าจะไปพักที่จวนอ๋องที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นก็ค่อยว่ากันเถอะ ตราบใดที่ยังไม่แน่ใจข้าจะไม่ยกทัพกลับเข้าเมืองโดยเด็ดขาด”
ประตูเมืองลู่โจว
“ท่านตา ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“เหยาเหยาของตา เจ้ามาแล้ว”
“ท่านตาข้าชื่อฟางหลีม่าน ท่านเอาแต่เรียกชื่อเดิมตอนเด็กข้าอยู่เรื่อยเลย”
“ฮ่า ๆ ก็ข้าชอบชื่อนี้นี่ไปเถอะเข้าเมืองไปกับข้า อ้าวแล้วเจ้าหนุ่มนั่นคือผู้ใดล่ะ”
“คือว่า เขาก็แค่…”
หยวนเสี่ยวผิงเดินลงจากม้ามาคารวะ “ตงมู่ฟาน” ท่านหมอมีชื่อแห่งเมืองลู่โจวที่หันมามองหน้าหลานสาวที่ยืนทำหน้าไม่สู้ดีนักอยู่ เขาจึงเข้าใจทันที
“ข้าน้อยหยวนเสี่ยวผิงคารวะท่านหมอตง ได้ยินชื่อเสียงท่านมานานวันนี้ได้พบ ถือเป็นเกียรติของข้าน้อย”
“หยวนเสี่ยวผิง เจ้าเป็น….”
“ข้าน้อยเป็นบุตรของท่านโหว “หยวนซื่อ” เจ้าเมืองซีโจวในตอนนี้ขอรับ”
“อ่อ ที่แท้ก็คุณชายหยวน แล้วนี่พวกเจ้าเดินทางมาพร้อมกับหลานสาวข้าได้เช่นไรงั้นหรือ”
“ขอเรียนตามตรง ตัวข้าน้อยได้รับไหว้วานบิดามาดูแลกิจการที่เมืองลู่โจวแห่งนี้ บังเอิญว่าออกเดินทางพร้อมกับหลีม่านดังนั้นจึงได้ร่วมเดินทางมาด้วยขอรับ”
“อ้อ เช่นนั้นเองหรือ เช่นนั้นก็เชิญท่านเดินทางไปที่สกุลหยวนได้เลยเราไม่ทำให้ท่านเสียเวลาหรอก เออนี่เหยาเหยาเจ้ารีบกลับไปกับตาเถอะนะ ตามีเรื่องอยากจะถามเจ้ามากมายเลยล่ะ”
“เอ่อ…”
“เช่นนั้นคุณชายหยวนเราแยกกันตรงนี้เถอะนะ ขอลา”
“หลี…หลีม่านเดี๋ยวสิ”
“คุณชายหยวน ท่านยังมีอะไรอีกหรือ”
เมื่อผู้อาวุโสหันมาและสบตาเขา หยวนเสี่ยวผิงจึงหมดหนทางที่จะตามฟางหลีม่านต่อ เขาจึงยอมถอยออกมาและแยกกับนางที่หน้าเมืองลู่โจวนี้นี่เอง ขบวนรถม้าของหลีม่านเดินทางเข้าไปในเมืองแล้วส่วนหยวนเสี่ยวผิงกลับไปขึ้นม้าตามเดิม
“ช่างเถอะ จะหาจวนหมอเทวดาตงน่ะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าเลยสักนิด พวกเราเข้าไปที่จวนก่อน”
“ขอรับท่านโหวน้อย”
จวนสกุลตง
“ท่านตาที่หลานเล่าให้ฟังก็ประมาณนี้แหละเจ้าค่ะ หลานไม่ได้มีอะไรกับหยวนเสี่ยวผิงนั่นจริง ๆ นะเจ้าคะ”
“แต่ดูท่าทางเขาจะไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ คิดไม่ถึงว่าพอหลานของตาโตแล้วจะมีชายหนุ่มตามเกี้ยวเจ้า คิดไม่ถึงจริง ๆ”
“ท่านตาเจ้าคะ แล้วข่าวกองทัพของ...เอ่อ พี่ใหญ่ที่ชายแดนเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“เอ่อ…เรื่องนี้”
ตงมู่ฟานเล่าให้นางฟังว่าก่อนที่นางจะเข้าเมืองมาเพียงวันเดียว กองทัพท่านอ๋องที่กำลังยกทัพกลับถูกลอบโจมตีจากข้าศึกที่ทำท่าเหมือนว่าแพ้แต่แล้วก็ถูกพวกมันดักซุ่มโจมตีระหว่างที่พวกเขากลับค่าย พี่ใหญ่ของนางจึงยกทัพออกไปช่วยแต่กำลังที่พวกเขามีกลับสู้ข้าศึกไม่ได้
ท่านอ๋องจึงได้ยกทัพที่เหลือออกไปช่วย แม้ว่าจะชนะศึกแต่ก็สูญเสียไพร่พลไปไม่น้อยและตอนนี้ท่านอ๋องก็บาดเจ็บและพี่ใหญ่ของนางก็ได้ขอความช่วยเหลือมาที่ท่านตาของนาง
“ตากำลังจะส่งหมอและยาไปที่ค่ายของท่านอ๋อง พรุ่งนี้จะออกเดินทาง”
“ท่านตาเจ้าคะข้าเองก็มีความรู้เรื่องยา ให้ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!!”“ท่านตาท่านก็รู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด ข้าเองก็อยากจะพบพี่ใหญ่กับ…ว่าที่คู่หมั้นของข้าเสียหน่อย ในเมื่อจะต้องเป็นว่าที่พระชายาแล้วเหตุใดจะไปไม่ได้”“เจ้าคิดว่าที่นั่นเป็นอะไร สนามเด็กเล่นหรืออย่างไรไม่เอาน่าเหยาเหยา อย่าให้ตาต้องทำผิดต่อแม่ของเจ้า เพียงแค่เจ้าเดินทางมาที่นี่นางก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”“ท่านตาเจ้าคะ หากท่านไม่ยอมให้ข้าไปถึงอย่างไรข้าก็ต้องแอบไปอยู่ดี”“นี่เจ้า!!”“ท่านก็รู้นิสัยข้าดีนี่เจ้าคะ เลือดของข้ากึ่งหนึ่งมาจากสกุลหมอเทวดา อีกกึ่งหนึ่งเป็นขุนพลกอบกู้แผ่นดิน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรอกเจ้าค่ะ”“เฮ้อ…แต่ว่าเจ้าจะไปเพิ่มภาระให้พี่ชายเจ้าหรือไม่ เขาจะเป็นห่วงหากรู้ว่า…”“ท่านก็อย่าบอกพี่ใหญ่สิเจ้าคะ แค่ท่านไม่บอกพวกเขาและส่งข่าวให้พวกเขารู้ว่าข้าปลอดภัยอยู่ที่จวนท่าน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”“นี่เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดแผนการนี้มาตั้งแต่ออกจากซีโจวหรอกนะ”ตงมู่ฟานมองหลานสาวอย่างรู้ทันความคิด เขาเลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กเหตุใดจะไม่รู้นิสัยของนาง“ท่านตา หลานเป็นทายาทของหมอที่เก่งที่สุดในสามแคว้น ท่านจะไม่ให้โอกาสข้าได้ใช้วิชาที่ท่านสอนเลยหรื
“ท่านหมอ!! ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”ฟางอี้หลงเดินเข้ามาเพราะเขาคิดว่านางตะโกนเรียก แต่เมื่อเข้ามาก็เห็นว่าท่านหมอเดินหันไปมาและไม่ได้พูดอะไร นางสวมผ้าคลุมหน้าอีกครั้งเมื่อเขาเข้ามา"มะ ไม่มีอะไรตอนนี้ข้าเย็บแผลให้แล้ว ยะ ยานี่ท่านให้คนต้ม ไม่ดีกว่า ท่านไปเตรียมเตาเล็กมาให้ข้าที่นี่ ข้าจะต้มเองเพราะตำรับยานี้ต้องระวังหากต้มไม่ดีจะรักษาหายช้า“ได้ ข้าจะรีบไปให้คนเตรียมมาให้”อี้หลงเดินออกไปแล้วนางจึงได้เดินและแกะผ้าคลุมหน้าออกเพราะรู้สึกร้อนแม้ว่าอากาศข้างในนี้จะหนาวก็ตาม ท่านอ๋องที่ทำแผลเสร็จแล้วเริ่มดิ้นแต่ก็ยังไม่ได้สติ“หากทำแผลแล้วตามเวลาที่เรียนมาต้องฟื้นในอีกสองชั่วยาม รีบต้มยาก่อนดีกว่าฟื้นขึ้นมาจะได้ดื่มได้เลย”หลีม่านเริ่มแกะกล่องที่ใส่ยาสำคัญ ๆ มาและเริ่มตรวจสอบก่อนที่อี้หลงจะยกเตาต้มยาขนาดเล็กเข้ามาให้นางในห้องนอนท่านอ๋อง นางเริ่มต้มยาทันทีพร้อมกับสั่งให้คนออกไปข้างนอกให้หมดเพราะท่านอ๋องต้องการพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาที่รอต้มยานางก็มักจะหันไปเช็ดใบหน้าของเขาเพราะเหงื่อที่เริ่มท่วมออกมา“คิดไม่ถึงว่าท่านจะเปลี่ยนไป และ…รูปงามขึ้นถึงเพียงนี้”หลีม่านเผลอตัวเอานิ้วมือไปลูบตามจมู
“โอ๊ย!!”“แย่แล้ว ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…"“ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปถามเช่นนั้น ลืมไปเถอะข้าจะไม่กวนเจ้าแล้ว”นางตกใจจนเผลอกดแผลของเขาแรงเกินไปจนทำให้ท่านอ๋องร้องออกมา ฟางหลีม่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะมีสมาธิเมื่ออยู่ตรงหน้าบุรุษเช่นท่านอ๋อง แม้แต่เสียงนุ่ม ๆ ทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อยก็ทำให้หัวใจนางกระเจิดกระเจิงไปไกลเหลือเกิน กว่าจะทำแผลจนเสร็จก็ใช้เวลานานเพราะร่างที่ใหญ่กว่านางทำให้ต้องใช้เวลาพันแผลอยู่พักใหญ่“สะ เสร็จแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจ แล้วเจ้า…”“กระหม่อมจะรีบไปแจ้งท่านรองแม่ทัพว่าพระองค์ฟื้นแล้ว จะได้ยกยาที่เหลือมาให้เสวยพ่ะย่ะค่ะ”นางรีบคำนับให้เขาลวก ๆ และเดินออกไป ห่าวหรานรู้สึกแปลกใจกับท่าทีเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะตกใจแต่ก็นึกขำเพราะไม่เคยเห็นผู้ใดที่กลัวเขามากขนาดนั้นมาก่อน แม้ว่าจะพอรู้ว่าคนอื่น ๆ ร่ำลือว่าเขาเป็นอ๋องจอมโหด อ๋องกระหายเลือดก็ตาม“ข้าไม่ใช่ผีเสียหน่อย”“ท่านอ๋อง!!”อี้หลงและต้าเป่ารีบวิ่งเข้ามาเมื่อหลี่เหยาเดินออกไปแจ้งทั้งสองว่าท่านอ๋องฟื้นแล้ว ทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันที“พวกเจ้าตื่นเต้นอะไรกันข้าตกใจหมดเลย”“พระองค์ทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะพระวรกายของพระองค์มีค่าดุจทองคำ กระหม่อมเป็นเพียงผู้น้อย...”“ช่างเถอะ ๆ เจ้าออกไปได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องหันไปมองตามหลี่เหยาที่เดินออกจากห้องไปและหันกลับมาคิด แม้ว่าหลี่เหยาจะสวมผ้าคลุมที่ปิดช่วงปากเอาไว้แต่สายตากลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นสายตาคู่นี้มาก่อนเพียงแต่นึกไม่ออก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้กลิ่นกายเหมือนกับวันแรกที่พบหลี่เหยาแต่กลิ่นนั้นก็ยังติดจมูกของเขาราวกับฝังเป็นความทรงจำ“เห็นทีข้าคงบาดเจ็บจนเลอะเลือน” ห้องยา “เหยา…. หลี่เหยา!!”“อ้อ ว่าอย่างไรนะ”“ข้าถามว่าเจ้าจะฝากยาให้ข้าเอาไปให้พี่อี้หลงหรือไม่”“อ้อ มะ ไม่ต้องหรอก”“เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนละขอบใจเจ้ามากเลยสำหรับยานี้เอาไว้ข้าพบท่านรองแม่ทัพ…ถวายบังคมท่านอ๋อง”ท่านอ๋องและฟางอี้หลงเดินเข้ามาพอดี เมื่อหลี่เหยาเงยหน้าไปเห็นท่านอ๋องที่แต่งกายชุดลำลองเดินเข้ามากับพี่ใหญ่ของนางก็ทำเอาหัวใจนางเต้นแรงดุจกลองศึกอีกครั้ง นางยังไม่เคยเห็นเขาสวมชุดอื่นมาก่อนและยังเกล้าผมเผยใบหน้าที่หล่อเหลาราวเซียนปั้นนั้นด้วย“ถะ ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถอะ”“พี่อี้หลงท่านมาพอดีเลยหลี่เหยาเ
ท่านอ๋องตกตะลึงกับใบหน้าที่เรียบเนียนดุจสตรีตรงหน้า หลี่เหยานั้นยังไม่รู้ตัวว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดไปแล้วเพราะนางสนใจแต่บาดแผลและรีบซับเลือดให้กับเขาทันที“ขอประทานอภัยกระหม่อมเลินเล่อจนทำให้…”ท่านอ๋องหันมาคว้ามือนางและจับให้หันมา เขาสบตานางอีกครั้งจนแน่ใจในตอนนี้นี่เอง แม้ว่าจะใช้เสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัด แต่รูปร่างและผิวพรรณนี้เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน“เจ้า…หน้าของเจ้า…”หลี่เหยาพึ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดออกไปเสียแล้วเมื่อเริ่มควานหาแต่ท่านอ๋องจับมันโยนทิ้ง“ไม่ต้องใช้แล้ว เจ้ารีบทำแผลก่อนที่มันจะปริออกอีกรอบหนึ่งเถอะ”“แต่ว่า…”“หน้าเจ้าหรือแผลของข้าที่สำคัญกว่า”“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เสียงอ่อยที่ลืมดัดนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจและฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเป็นสตรีอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ แต่ว่า..นางคือผู้ใดแล้วเหตุใดท่านหมอตงจึงได้ส่งนางมายังค่ายทหารแห่งนี้ หรือว่าหมอตงผู้เฒ่าเขาเองก็ไม่ทราบว่านางเป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นความลับนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สินะ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยนางปิดเป็นความลับ“กระหม่อมจะเริ่ม…ตัดไหมอีกครั้ง คราวนี้หากว่าพระองค์เจ็บก็บอก
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”ห่าวหรานหันไปมองใบหน้าที่มีผ้าที่ปิดบังเอาไว้แต่เขาเห็นมาหมดแล้วรวมถึงเรือนร่างที่น่าหลงใหลนั่นด้วย ใจเขานึกอยากจะกระชากผ้าคลุมหน้านั้นออกเสียเหลือเกินจะได้เห็นริมฝีปากสีอ่อนนั้นอีกครั้ง“เปล่า ข้าไม่ได้มีธุระกับเจ้า”“เช่นนั้นพระองค์…”“ค่ายนี้ข้าเป็นแม่ทัพ ข้าจะเดินไปที่ใดต้องแจ้งใครด้วยงั้นหรือ”“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิกล้า”“ให้มันไม่กล้าอย่างที่ปากเจ้าพูดเถอะ”“เอ๊ะ กระหม่อม…”พูดเสร็จก็เดินหันกลับออกไป ท่าทีของเขาไม่ต่างกับโมโหผู้ใดมาเพราะแม้แต่องครักษ์อย่างต้าเป่าก็ยังรีบหนีทันที เหลือแค่หลี่เหยาที่เป็นสนามอารมณ์รองรับเขาอยู่คนเดียว“อะไรอีกละเนี่ย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยมิใช่หรือโมโหอะไรของเขานักหนาละนี่”เย็นวันนั้น“รายงานพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไรเหตุใดจึงแตกตื่นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”ท่านอ๋องและเหล่านายกองคนอื่น ๆ หันไปมองหน่วยลาดตระเวนที่ออกไปพร้อมกับฟางอี้หลงแต่ตอนกลับมาพวกเขากลับบาดเจ็บและกลับมาเพียงสองคน“เกิดอะไรขึ้น ฟางอี้หลงล่ะ”“ทูลท่านอ๋อง รองแม่ทัพถูกข้าศึกจับไปพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ!!”“เพล้ง!!”หมอหลี่เหยาที่กำ
หลีเหยาเบิกตากว้างตกใจที่เขาล่วงรู้ความลับนี้ของนางเข้า คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะจับได้เช่นนี้ทั้ง ๆ ที่นางระวังตัวอย่างที่สุดตามที่ท่านตาพร่ำบอก“ท่าน…รู้ได้เช่นไรหรือว่า…. บ่อน้ำร้อนนั่น!!”นางคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะใช้เรื่องบ่อน้ำร้อนเป็นสิ่งที่พิสูจน์คำโกหกของนาง แต่หากว่าเขาทราบเช่นนั้นแสดงว่าวันที่นางขึ้นไปแช่น้ำ เขาอยู่ที่นั่นงั้นหรือ นั่นก็หมายความว่า….“อย่าได้คิดจะออกจากกระโจมนี้ ข้าจะสั่งคนเฝ้าที่นี่เอาไว้ หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าแม้ว่าเจ้าจะเป็นสตรี”ท่านอ๋องปล่อยตัวนาง สายตาของเขานิ่งเรียบจนทำให้นางโกรธ หลี่เหยาจึงได้ระเบิดเสียงออกไปเพราะความโกรธที่เขาหลอกนางโดยไม่ต้องดัดเสียงอีกต่อไป“คนที่ใจร้ายคือพระองค์ต่างหาก”“อย่าให้ข้าต้องถึงกับจับเจ้ามัดเอาไว้ ที่ข้าทำก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”“อย่างไรข้าก็จะหาวิธีไปช่วยเขาให้ได้ ท่านอย่าได้คิดจะห้ามข้า”ท่านอ๋องหันไปมองสายตาที่เด็ดเดี่ยวนั่น เดิมทีเขาก็แทบจะแพ้สายตานั้นอยู่แล้วแต่ไม่ได้อยากให้นางมองเขาเช่นนี้ มันทำให้เขาโกรธแม้แต่คนที่เคยเป็นสหายร่วมศึกร่วมเป็นร่วมตายทั้ง ๆ ที่เขาคนนั้นไม่ผิด แต่กำลังจ
มีเพียงเสียงน้ำที่หยดตามร่างและแสงจันทร์ที่สาดลงมาตรงหน้าของคนทั้งสอง หลี่เหยามองไปยังพักตร์ที่เจ็บปวดของเขาตรงหน้า ไม่ใช่ว่าเขาโกรธนางแต่กำลังเข้าใจผิดเรื่องของนางกับพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองหรอกหรือ“พระองค์ปล่อยหม่อมฉันไปเถอะเพคะ”“ไม่!! ข้าพึ่งจะพูดไปมิใช่หรือ”“แต่ว่าท่านอ๋องกำลังจะหมั้นหมายมิใช่หรือ”“ข้าไม่สน การหมั้นหมายที่มิได้เลือกเองถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับ นางเป็นน้องสาวของฟางอี้หลงข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับพวกเขาเองแต่จะให้ข้ายอมปล่อยเจ้าไป…ไม่มีทาง”“เช่นนั้นเหตุใดพระองค์จึงไม่ถามหม่อมฉันสักนิด ว่ายินดีหรือไม่”นางหันไปมองพักตร์ที่สับสนตรงหน้าอีกครั้ง เขาไม่ยินยอมหมั้นหมายกับนางในนามฟางหลีม่านแต่กลับรั้งนางในนามหลี่เหยาเอาไว้กับตัวงั้นหรือ“หากเจ้าไม่ยินยอม แล้วเจ้าตอบรับจูบข้าทำไม”“ท่านบ้าไปแล้ว ข้ามิได้ตอบรับท่านแต่ท่านบังคับต่างหาก”“งั้นหรือ คนปากแข็ง!!”“อ๊ะ อย่านะ อื้อ…อา…”เขาจรดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง คราวนี้อ่อนโยนมากกว่าเดิมและค่อย ๆ ผ่อนแรงลง ลิ้นค่อย ๆ เกี่ยวและรุกล้ำเข้าไปในรวงน้ำผึ้งแสนหวานด้านใน แขนเริ่มโอบรัดนางเอาไว้อย่างหวงแหนจนหลี่เหยาเผลอใจรับสัมผัสที่เชื้อเ