“ท่านหมอ!! ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”
ฟางอี้หลงเดินเข้ามาเพราะเขาคิดว่านางตะโกนเรียก แต่เมื่อเข้ามาก็เห็นว่าท่านหมอเดินหันไปมาและไม่ได้พูดอะไร นางสวมผ้าคลุมหน้าอีกครั้งเมื่อเขาเข้ามา
"มะ ไม่มีอะไรตอนนี้ข้าเย็บแผลให้แล้ว ยะ ยานี่ท่านให้คนต้ม ไม่ดีกว่า ท่านไปเตรียมเตาเล็กมาให้ข้าที่นี่ ข้าจะต้มเองเพราะตำรับยานี้ต้องระวังหากต้มไม่ดีจะรักษาหายช้า
“ได้ ข้าจะรีบไปให้คนเตรียมมาให้”
อี้หลงเดินออกไปแล้วนางจึงได้เดินและแกะผ้าคลุมหน้าออกเพราะรู้สึกร้อนแม้ว่าอากาศข้างในนี้จะหนาวก็ตาม ท่านอ๋องที่ทำแผลเสร็จแล้วเริ่มดิ้นแต่ก็ยังไม่ได้สติ
“หากทำแผลแล้วตามเวลาที่เรียนมาต้องฟื้นในอีกสองชั่วยาม รีบต้มยาก่อนดีกว่าฟื้นขึ้นมาจะได้ดื่มได้เลย”
หลีม่านเริ่มแกะกล่องที่ใส่ยาสำคัญ ๆ มาและเริ่มตรวจสอบก่อนที่อี้หลงจะยกเตาต้มยาขนาดเล็กเข้ามาให้นางในห้องนอนท่านอ๋อง นางเริ่มต้มยาทันทีพร้อมกับสั่งให้คนออกไปข้างนอกให้หมดเพราะท่านอ๋องต้องการพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาที่รอต้มยานางก็มักจะหันไปเช็ดใบหน้าของเขาเพราะเหงื่อที่เริ่มท่วมออกมา
“คิดไม่ถึงว่าท่านจะเปลี่ยนไป และ…รูปงามขึ้นถึงเพียงนี้”
หลีม่านเผลอตัวเอานิ้วมือไปลูบตามจมูกที่ได้รูปและเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากของเขาอย่างเลื่อนลอย
“แคก แคก”
หยางห่าวหรานไอขึ้นมานางจึงรีบดึงสติและวิ่งไปที่หม้อต้มยาทันที ตอนนี้นางเริ่มหันไปสนใจที่หม้อยาแล้ว ต้าเป่าเดินเข้ามาเพราะได้ยินเสียงไอของท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”
“อีกเดี๋ยวน่าจะฟื้นแล้วข้ากำลังต้มยาอยู่ท่านช่วยไปเอาถ้วยยากับผ้าสะอาดมาให้ข้าที หากท่านอ๋องฟื้นจะได้เปลี่ยนยาและผ้าพันแผล”
“ได้ขอรับ”
ต้าเป่าเดินออกไปแล้วหลีม่านจึงได้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"นี่ขนาดแค่นอนเฉย ๆ ยังไม่ได้ลืมตานะ ให้ตายเถอะหลีม่านเจ้าต้องใจเย็น ๆ มากกว่านี้"
แต่ในใจนางเชื่อว่าหากสตรีใดได้พบเห็นใบหน้าที่หมดจดของเขาในยามที่สวมชุดแม่ทัพเต็มยศคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน
“แย่แล้ว ผ้าคลุมข้าล่ะมัวแต่มองหน้าเขาอยู่ได้ให้ตายเถอะ”
นางต้มยาเกือบครึ่งชั่วยามก่อนที่จะเทยาเอาไว้และอุ่นที่เตา เมื่อเดินออกมาจึงได้แจ้งให้กับต้าเป่าและฟางอี้หลงที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกห้อง
“หากท่านอ๋องฟื้นแล้วพวกท่านก็ค่อย ๆ เทยาให้พระองค์ดื่มเสร็จแล้วก็ใช้ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผล”
“ท่านหมอ คงต้องรบกวนเจ้าอีกครั้งพวกข้าจะต้องรีบไปดูแลคนเจ็บที่อยู่ข้างนอกและเฝ้าระวัง”
“อะไรนะ!!”
“ต้าเป่าพูดถูกแล้ว ท่านหมอในเมื่อท่านตาส่งเจ้ามาแสดงว่าท่านตามั่นใจในตัวเจ้าเช่นนั้นเรื่องทำแผลและต้มยาให้ท่านอ๋องคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“แต่ว่าข้า…ข้างนอกนั่นท่านก็บอกเองว่ามีคนเจ็บไม่น้อย”
“ตรงนั้นมีท่านหมอคนอื่นดูแลแล้วดังนั้นเจ้าควรจะอยู่ดูแลท่านอ๋อง”
“นี่พวกท่านคงมิได้กลัวว่าข้าจะพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปจึงได้…”
“ท่านหมอเจ้าคิดมากแล้ว อาการท่านอ๋องยังถือว่าน่าเป็นห่วงกว่าพวกเขาอีกทั้งเจ้าดูเขาตั้งแต่เริ่มต้น หม้อต้มยาและสมุนไพรข้าก็ให้คนยกมาให้เจ้าที่นี่แล้วคงจะสะดวกขึ้น ข้าขอตัวก่อน”
“เอ่อ พี่…อี้หลง คือว่า...”
“มีอะไรอีกงั้นหรือ เจ้าต้องการอะไรเพิ่มอีกก็บอกทหารหน้ากระโจมได้ พวกเขาจะไปแจ้งข้าเอง”
“ไม่ใช่ คือว่าเช่นนั้นในกระโจมนี้”
“ใช่ ก็มีเจ้าอยู่กับทหารยามหน้ากระโจม ข้ากับต้าเป่าก็จะอยู่แถวนี้เช่นกัน ไม่ต้องห่วงหรอก”
อี้หลงยิ้มให้และเดินออกไป ต้าเป่าเองก็เดินตามเขาออกไปเช่นกันเพื่อจะไปยกยาที่นางต้องใช้มาเพิ่มให้ หลีม่านจำใจเดินกลับเข้าไปและเมื่อเห็นว่าท่านอ๋องค่อย ๆ ขยับกายเพราะความปวดและเริ่มมีสตินางก็ตกใจจนใจเต้นแรง
“หนะ…น้ำ น้ำ”
หลีม่านหันไปรอบ ๆ และเห็นกาน้ำวางอยู่จึงรีบรินน้ำให้เขาด้วยมือที่สั่นและรีบเดินเอาไปให้
“แคก แคก”
“นะ น้ำพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องที่ยังไม่ลืมตาตื่นดีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่ไม่คุ้นเคยก็ได้ถามขึ้นทันที
“เจ้าเป็นผู้ใด”
“หม่อม…กระหม่อมเป็นหมอที่…สกุลตงส่งมาให้รักษาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เป็นหมอ…. น้ำ”
นางค่อย ๆ ยื่นถ้วยน้ำไปให้เขาจิบแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีแรงลุกขึ้นมา หลีม่านตัดสินใจวางถ้วยน้ำและค่อย ๆ พยุงตัวเขาลุกขึ้นมา กลิ่นกายของนางต้องจมูกเขาทำให้เขานึกสงสัย หรือว่ากลิ่นกายของหมอยาจะเป็นเช่นนี้ทุกคนงั้นหรือ
“นะ น้ำพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องค่อย ๆ จิบน้ำจนหมดและพิงกายพักเพราะต้องการขยับตัว แม้ว่านางพึ่งจะทำแผลให้เขาแต่ก็ต้องยอมรับว่าท่านอ๋องแข็งแรงจริง ๆ น้อยคนที่ผ่านบาดแผลที่หนักขนาดนี้แล้วยังฟื้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็แน่ล่ะ ตำรับยาของสกุลตงเองก็ไม่ธรรมดา
“เจ้า…มีนามว่าอะไร”
“ข้า…เอ่อกระหม่อม…”
นางลืมนึกเรื่องนี้ไปเลยเพราะก่อนออกมาไม่ได้คิดเอาไว้จึงได้บอกเขาไปด้วยความตกใจกับชื่อแรกที่นึกขึ้นมาได้นั่นคือชื่อที่ท่านตามักจะเรียกนาง
“กระหม่อมมีนามว่า…. หลี่เหยาพ่ะย่ะค่ะ”
“หลี่เหยางั้นหรือ ชื่อเหมือนสตรี”
“เคล้ง!!”
ท่านอ๋องค่อย ๆ หันมาเมื่อเห็นว่าท่านหมอทำเครื่องมือทำแผลของเขาร่วงกับพื้นซึ่งน่าจะเป็นคีม
“เป็นอะไร ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นเจ้าจะทำอะไร”
หลีม่านรีบลุกขึ้นพร้อมกับถือผ้าในมือ เมื่อหันมามองเขาในยามนี้นางก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว หัวใจกระตุกแทบจะหลุดออกมาได้อยู่แล้ว ภาพของบุรุษหนุ่มรูปงามกึ่งเปลือยตรงหน้าพร้อมกับผมยาวสลวยที่ยังมิได้จัดทรงนั้นทำเอานางลอบกลืนน้ำลายแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้มองนางแล้วก็ตาม
“กระหม่อมจะเตรียม ละ ล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็รีบทำเถอะ”
เขาพูดราวกับรำคาญเพราะไม่อยากพูดมากซึ่งเป็นตามนิสัยปกติของเขา เมื่อหลีม่านจัดเครื่องมือทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับค่อย ๆ เริ่มทำแผลใหม่ให้เขาเพราะนางใช้แค่ผ้าแปะที่แผลเพราะเขายังไม่ฟื้นนั่นเอง
“เจ็บหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
นางเริ่มทำแผล ท่านอ๋องเองก็มิได้มองมาที่นาง เขาเพียงแค่นั่งหลับตาและคิดอะไรไปเงียบ ๆ แต่แปลกที่กลิ่นกายของคนข้าง ๆ เอาแต่กวนหัวใจเขาไม่หยุด เหตุใดท่านหมอจากลู่โจวผู้นี้ถึงได้มีกลิ่นราวกับสตรี นั่นทำให้หยางห่าวหรานหันมามองหมอที่กำลังตั้งใจทำแผลให้เขาอีกครั้ง
“เจ้าเป็นคนรักษาข้างั้นหรือ”
“พ่ะ พ่ะย่ะค่ะ”
“เก่งไม่เบานี่ ท่านหมอคนอื่นที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าเย็บปากแผลของข้า เจ้าไม่กลัวหรือ”
“มะ ไม่กลัว”
“อืม ดี”
หลีม่านแทบจะลืมหายใจเมื่อเขาหันมามองนางอีกครั้งซึ่งทำให้นางรู้สึกวาบหวามที่หัวใจจนเกือบจะหมดเรี่ยวแรงและพยายามตั้งสมาธิอยู่ที่แผลของเขา กล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนนั่นเป็นสิ่งที่นางจดจ้องเพื่อให้เบี่ยงความสนใจจากสายพระเนตรที่มองนางอยู่
“ท่านหมอ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย”
“เชิญ…เชิญถามเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นกายคล้ายกับเครื่องหอมของสตรี อีกทั้งผิวหน้าและมือของเจ้าก็ยังบอบบางไม่ต่างกับสตรีเช่นนี้”
“โอ๊ย!!”“แย่แล้ว ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…"“ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปถามเช่นนั้น ลืมไปเถอะข้าจะไม่กวนเจ้าแล้ว”นางตกใจจนเผลอกดแผลของเขาแรงเกินไปจนทำให้ท่านอ๋องร้องออกมา ฟางหลีม่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะมีสมาธิเมื่ออยู่ตรงหน้าบุรุษเช่นท่านอ๋อง แม้แต่เสียงนุ่ม ๆ ทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อยก็ทำให้หัวใจนางกระเจิดกระเจิงไปไกลเหลือเกิน กว่าจะทำแผลจนเสร็จก็ใช้เวลานานเพราะร่างที่ใหญ่กว่านางทำให้ต้องใช้เวลาพันแผลอยู่พักใหญ่“สะ เสร็จแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจ แล้วเจ้า…”“กระหม่อมจะรีบไปแจ้งท่านรองแม่ทัพว่าพระองค์ฟื้นแล้ว จะได้ยกยาที่เหลือมาให้เสวยพ่ะย่ะค่ะ”นางรีบคำนับให้เขาลวก ๆ และเดินออกไป ห่าวหรานรู้สึกแปลกใจกับท่าทีเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะตกใจแต่ก็นึกขำเพราะไม่เคยเห็นผู้ใดที่กลัวเขามากขนาดนั้นมาก่อน แม้ว่าจะพอรู้ว่าคนอื่น ๆ ร่ำลือว่าเขาเป็นอ๋องจอมโหด อ๋องกระหายเลือดก็ตาม“ข้าไม่ใช่ผีเสียหน่อย”“ท่านอ๋อง!!”อี้หลงและต้าเป่ารีบวิ่งเข้ามาเมื่อหลี่เหยาเดินออกไปแจ้งทั้งสองว่าท่านอ๋องฟื้นแล้ว ทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันที“พวกเจ้าตื่นเต้นอะไรกันข้าตกใจหมดเลย”“พระองค์ทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะพระวรกายของพระองค์มีค่าดุจทองคำ กระหม่อมเป็นเพียงผู้น้อย...”“ช่างเถอะ ๆ เจ้าออกไปได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องหันไปมองตามหลี่เหยาที่เดินออกจากห้องไปและหันกลับมาคิด แม้ว่าหลี่เหยาจะสวมผ้าคลุมที่ปิดช่วงปากเอาไว้แต่สายตากลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นสายตาคู่นี้มาก่อนเพียงแต่นึกไม่ออก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้กลิ่นกายเหมือนกับวันแรกที่พบหลี่เหยาแต่กลิ่นนั้นก็ยังติดจมูกของเขาราวกับฝังเป็นความทรงจำ“เห็นทีข้าคงบาดเจ็บจนเลอะเลือน” ห้องยา “เหยา…. หลี่เหยา!!”“อ้อ ว่าอย่างไรนะ”“ข้าถามว่าเจ้าจะฝากยาให้ข้าเอาไปให้พี่อี้หลงหรือไม่”“อ้อ มะ ไม่ต้องหรอก”“เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนละขอบใจเจ้ามากเลยสำหรับยานี้เอาไว้ข้าพบท่านรองแม่ทัพ…ถวายบังคมท่านอ๋อง”ท่านอ๋องและฟางอี้หลงเดินเข้ามาพอดี เมื่อหลี่เหยาเงยหน้าไปเห็นท่านอ๋องที่แต่งกายชุดลำลองเดินเข้ามากับพี่ใหญ่ของนางก็ทำเอาหัวใจนางเต้นแรงดุจกลองศึกอีกครั้ง นางยังไม่เคยเห็นเขาสวมชุดอื่นมาก่อนและยังเกล้าผมเผยใบหน้าที่หล่อเหลาราวเซียนปั้นนั้นด้วย“ถะ ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถอะ”“พี่อี้หลงท่านมาพอดีเลยหลี่เหยาเ
ท่านอ๋องตกตะลึงกับใบหน้าที่เรียบเนียนดุจสตรีตรงหน้า หลี่เหยานั้นยังไม่รู้ตัวว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดไปแล้วเพราะนางสนใจแต่บาดแผลและรีบซับเลือดให้กับเขาทันที“ขอประทานอภัยกระหม่อมเลินเล่อจนทำให้…”ท่านอ๋องหันมาคว้ามือนางและจับให้หันมา เขาสบตานางอีกครั้งจนแน่ใจในตอนนี้นี่เอง แม้ว่าจะใช้เสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัด แต่รูปร่างและผิวพรรณนี้เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน“เจ้า…หน้าของเจ้า…”หลี่เหยาพึ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดออกไปเสียแล้วเมื่อเริ่มควานหาแต่ท่านอ๋องจับมันโยนทิ้ง“ไม่ต้องใช้แล้ว เจ้ารีบทำแผลก่อนที่มันจะปริออกอีกรอบหนึ่งเถอะ”“แต่ว่า…”“หน้าเจ้าหรือแผลของข้าที่สำคัญกว่า”“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เสียงอ่อยที่ลืมดัดนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจและฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเป็นสตรีอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ แต่ว่า..นางคือผู้ใดแล้วเหตุใดท่านหมอตงจึงได้ส่งนางมายังค่ายทหารแห่งนี้ หรือว่าหมอตงผู้เฒ่าเขาเองก็ไม่ทราบว่านางเป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นความลับนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สินะ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยนางปิดเป็นความลับ“กระหม่อมจะเริ่ม…ตัดไหมอีกครั้ง คราวนี้หากว่าพระองค์เจ็บก็บอก
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”ห่าวหรานหันไปมองใบหน้าที่มีผ้าที่ปิดบังเอาไว้แต่เขาเห็นมาหมดแล้วรวมถึงเรือนร่างที่น่าหลงใหลนั่นด้วย ใจเขานึกอยากจะกระชากผ้าคลุมหน้านั้นออกเสียเหลือเกินจะได้เห็นริมฝีปากสีอ่อนนั้นอีกครั้ง“เปล่า ข้าไม่ได้มีธุระกับเจ้า”“เช่นนั้นพระองค์…”“ค่ายนี้ข้าเป็นแม่ทัพ ข้าจะเดินไปที่ใดต้องแจ้งใครด้วยงั้นหรือ”“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิกล้า”“ให้มันไม่กล้าอย่างที่ปากเจ้าพูดเถอะ”“เอ๊ะ กระหม่อม…”พูดเสร็จก็เดินหันกลับออกไป ท่าทีของเขาไม่ต่างกับโมโหผู้ใดมาเพราะแม้แต่องครักษ์อย่างต้าเป่าก็ยังรีบหนีทันที เหลือแค่หลี่เหยาที่เป็นสนามอารมณ์รองรับเขาอยู่คนเดียว“อะไรอีกละเนี่ย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยมิใช่หรือโมโหอะไรของเขานักหนาละนี่”เย็นวันนั้น“รายงานพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไรเหตุใดจึงแตกตื่นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”ท่านอ๋องและเหล่านายกองคนอื่น ๆ หันไปมองหน่วยลาดตระเวนที่ออกไปพร้อมกับฟางอี้หลงแต่ตอนกลับมาพวกเขากลับบาดเจ็บและกลับมาเพียงสองคน“เกิดอะไรขึ้น ฟางอี้หลงล่ะ”“ทูลท่านอ๋อง รองแม่ทัพถูกข้าศึกจับไปพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ!!”“เพล้ง!!”หมอหลี่เหยาที่กำ
หลีเหยาเบิกตากว้างตกใจที่เขาล่วงรู้ความลับนี้ของนางเข้า คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะจับได้เช่นนี้ทั้ง ๆ ที่นางระวังตัวอย่างที่สุดตามที่ท่านตาพร่ำบอก“ท่าน…รู้ได้เช่นไรหรือว่า…. บ่อน้ำร้อนนั่น!!”นางคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะใช้เรื่องบ่อน้ำร้อนเป็นสิ่งที่พิสูจน์คำโกหกของนาง แต่หากว่าเขาทราบเช่นนั้นแสดงว่าวันที่นางขึ้นไปแช่น้ำ เขาอยู่ที่นั่นงั้นหรือ นั่นก็หมายความว่า….“อย่าได้คิดจะออกจากกระโจมนี้ ข้าจะสั่งคนเฝ้าที่นี่เอาไว้ หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าแม้ว่าเจ้าจะเป็นสตรี”ท่านอ๋องปล่อยตัวนาง สายตาของเขานิ่งเรียบจนทำให้นางโกรธ หลี่เหยาจึงได้ระเบิดเสียงออกไปเพราะความโกรธที่เขาหลอกนางโดยไม่ต้องดัดเสียงอีกต่อไป“คนที่ใจร้ายคือพระองค์ต่างหาก”“อย่าให้ข้าต้องถึงกับจับเจ้ามัดเอาไว้ ที่ข้าทำก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”“อย่างไรข้าก็จะหาวิธีไปช่วยเขาให้ได้ ท่านอย่าได้คิดจะห้ามข้า”ท่านอ๋องหันไปมองสายตาที่เด็ดเดี่ยวนั่น เดิมทีเขาก็แทบจะแพ้สายตานั้นอยู่แล้วแต่ไม่ได้อยากให้นางมองเขาเช่นนี้ มันทำให้เขาโกรธแม้แต่คนที่เคยเป็นสหายร่วมศึกร่วมเป็นร่วมตายทั้ง ๆ ที่เขาคนนั้นไม่ผิด แต่กำลังจ
มีเพียงเสียงน้ำที่หยดตามร่างและแสงจันทร์ที่สาดลงมาตรงหน้าของคนทั้งสอง หลี่เหยามองไปยังพักตร์ที่เจ็บปวดของเขาตรงหน้า ไม่ใช่ว่าเขาโกรธนางแต่กำลังเข้าใจผิดเรื่องของนางกับพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองหรอกหรือ“พระองค์ปล่อยหม่อมฉันไปเถอะเพคะ”“ไม่!! ข้าพึ่งจะพูดไปมิใช่หรือ”“แต่ว่าท่านอ๋องกำลังจะหมั้นหมายมิใช่หรือ”“ข้าไม่สน การหมั้นหมายที่มิได้เลือกเองถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับ นางเป็นน้องสาวของฟางอี้หลงข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับพวกเขาเองแต่จะให้ข้ายอมปล่อยเจ้าไป…ไม่มีทาง”“เช่นนั้นเหตุใดพระองค์จึงไม่ถามหม่อมฉันสักนิด ว่ายินดีหรือไม่”นางหันไปมองพักตร์ที่สับสนตรงหน้าอีกครั้ง เขาไม่ยินยอมหมั้นหมายกับนางในนามฟางหลีม่านแต่กลับรั้งนางในนามหลี่เหยาเอาไว้กับตัวงั้นหรือ“หากเจ้าไม่ยินยอม แล้วเจ้าตอบรับจูบข้าทำไม”“ท่านบ้าไปแล้ว ข้ามิได้ตอบรับท่านแต่ท่านบังคับต่างหาก”“งั้นหรือ คนปากแข็ง!!”“อ๊ะ อย่านะ อื้อ…อา…”เขาจรดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง คราวนี้อ่อนโยนมากกว่าเดิมและค่อย ๆ ผ่อนแรงลง ลิ้นค่อย ๆ เกี่ยวและรุกล้ำเข้าไปในรวงน้ำผึ้งแสนหวานด้านใน แขนเริ่มโอบรัดนางเอาไว้อย่างหวงแหนจนหลี่เหยาเผลอใจรับสัมผัสที่เชื้อเ
หลี่เหยาเริ่มรู้สึกผิดต่อเขาขึ้นมาจนจุกหน้าอกเมื่อเข็มที่ดึงออกอันสุดท้ายถูกถอนออกมาและนางก็เริ่มพันแผลให้เขาทั้ง ๆ ที่หมดสติอยู่ ท่านหมออีกสองคนออกไปแล้วในตอนนี้เหลือเพียงนางกับต้าเป่าเท่านั้น“ต้าเป่าข้าจะไปต้มยาให้ท่านอ๋องกับพี่อี้หลง ถ้ายังไงเจ้าก็เฝ้าอยู่ตรงนี้หากว่าท่านอ๋องฟื้นจะได้มีคนอยู่”“เจ้าอยู่เถอะข้าไปต้มยาเองได้ เจ้าสอนข้าจนต้มเป็นหมดแล้ว”“อย่าดีกว่า เมื่อครู่นี้เจ้าก็เห็นว่าท่านอ๋องไม่ให้ข้ารักษาให้พระองค์ หากตื่นมาแล้วพบข้าอยู่จะทรงกริ้ว เจ้าอยู่เถอะข้าจะไปต้มยา”“เช่นนั้นก็ได้”หลี่เหยารู้สึกว่าได้เวลาที่จะต้องกลับไปหาท่านตาแล้วหลังจากเรื่องนี้จบลง เพราะในตอนนี้ท่านอ๋องจับได้แล้วว่านางมิใช่ผู้ชาย ดังนั้นการจะอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปสำหรับนาง เมื่อยาพร้อมแล้วจึงได้ยกไปให้ฟางอี้หลงในห้อง“อ้าวหลี่เหยา เจ้าไปทำแผลให้ท่านอ๋องมาแล้วใช่หรือไม่”“ใช่แล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”“ดีแล้ว หากว่าท่านอ๋องทรงเป็นอะไรไปข้าคงรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตเป็นแน่”“ยาของท่าน”“อ้อ ขอบใจนะ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ ท่านอ๋องจึงได้เปลี่ยนแผนการกะทันหันเช่นนี้”หลี่เหยาชะงักนิ่งไปเมื่ออี้หลงพ
“อะไรนะ เจ้าบอกว่า…”“เพคะ ตะ ตอนนี้รองแม่ทัพฟางก็กลับมาแล้วและท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว อีกอย่างเรื่องที่ข้าเป็นสตรี…”“หึ เจ้าบอกเขาไปแล้วสินะ”“หม่อมฉัน!!”“ข้าเข้าใจได้ที่เจ้ารีบเผยความในใจ เอาเถอะในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วก็ตามใจเจ้า ที่จริงที่นี่ก็ไม่ได้เหมาะที่จะให้สตรีพักอยู่ และไม่ใช่สถานที่สำหรับพลอดรักกันด้วย”“ท่านอ๋อง ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”เขาเมินนางเพื่อมองไปทางอื่นอย่างน้อยจะได้ไม่ต้องสบสายตาที่กำลังมองเขาด้วยความน้อยใจด้วยคำถามนั้นอีก“ข้าพูดไปแล้ว ไหนล่ะยาของข้าเจ้าเอามาให้แล้วก็ออกไปสิ”“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอทูลลาเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงให้โอกาสอยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้”“ไม่ต้องเกรงใจ ครั้งนี้ทำให้ความปรารถนาเจ้าเป็นจริงได้ข้าก็ยินดีด้วย”หลี่เหยาหันมามองพักตร์ท่านอ๋องอีกครั้งตอนนี้เขาหันมาสบตากับนางแล้วแต่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดกับสายตาโกรธที่นางมองกลับมา นี่ไม่ใช่ว่านางตกลงกับฟางอี้หลงแล้วหรอกหรือว่าจะกลับไปรอเขาที่ในเมืองจนกว่าศึกจะสงบ“ยิ่งพูดหม่อมฉันยิ่งไม่เข้าใจในตัวพระองค์ เช่นนั้นก็อย่าลืมดื่มยา หม่อมฉันขอตัวลาเพคะ”“เดี๋ยว!!”“พระองค์ยังมีสิ่งใดจะสั่งการอีกเพคะ”หลี่เหย
ท่านอ๋องหันไปสบตากับนางเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ วันมานี้ หลีม่านเองก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วเช่นกัน“หม่อมฉันเพียงแค่แจ้งให้ทราบ มิได้ขออนุญาตพระองค์นะเพคะ”“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหน”“จะไปเตรียมของเพื่อไป ว้าย! ห่าวหรานท่านทำอะไรน่ะ”“ข้าจะดูสิว่าผ่านวันนี้ไปเจ้าจะมีแรงลุกจากเตียงกลับไปที่สกุลฟางอยู่หรือไม่”“อย่านะ หยางห่าวหรานท่านปล่อยข้าลงนะ คนบ้าท่านปล่อยข้านะ”“เงียบเถอะเหยาเหยา ยิ่งเจ้าร้องมากเท่าไหร่ข้ายิ่งรู้สึกอยากรังแกเจ้ามากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้ร้องครางบนเตียงเถอะ”ท่านอ๋องพาพระชายาเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับลงกลอนแน่นหนาเมื่อวางร่างของนางลงที่เตียงได้ก็เริ่มจับนางมากอดและซุกไปทั่วทั้งกายด้วยความคิดถึง“เหยาเหยาเจ้าใจร้ายกับข้าเกินไปแล้ว ไม่คุยกับข้าตั้งสามสี่วันนี่ยังจะหอบลูกหนีไปอีกงั้นหรือ”“อย่านะเพคะ พระองค์มิได้ต้องการ…”“ข้าต้องการ ใครพูดว่าข้าไม่ต้องการกัน เจ้าต่างหากที่เอาแต่ผลักไสข้า ไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือเจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว”“เดี๋ยวก่อนเพคะ คุยกันก่อน”“ไม่ เอาไว้คุยหลังจากนี้เถอะเจ้าจะให้ข้าทนอีกงั้นหรือ ข้าอดทนมากี่วันกี่คืนแล้วเจ้าไม่รู้หรือ เจ
ฮูหยินทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมหลีม่านและเมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของพระชายาจึงได้เอ่ยถาม หลีม่านหมดหนทางจึงได้เอ่ยปากปรึกษาเรื่องนี้ไปตอนนี้ลูกทั้งสองกำลังสนุกกับการเล่นดาบไม้และตุ๊กตาผ้าที่ท่านตาและอี้หลงนำมาให้จึงไม่ได้สนใจท่านยายทั้งสองกับท่านแม่ที่อยู่ระเบียงหน้าเรือนรับรองแขก“เช่นนั้นเจ้าก็ลองคิดดูสักหน่อยเถิด แม่ว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องก็น่าเห็นใจไม่น้อย คงจะอยากได้บุตรเพิ่มจริง ๆ”“นั่นสิม่านเอ๋อร์ แม่รองคิดว่าที่แม่เจ้าพูดมาก็ถูก หานเยว่กับหลินอิงก็อายุจะสี่ขวบแล้ว เจ้าเว้นช่วงมานานท่านอ๋องก็คงอยากจะได้บุตรเพิ่ม อีกอย่างเจ้าดูสิ ทั้งสองคนติดท่านตากับท่านลุงเช่นนี้ท่านอ๋องก็คงอยากจะมีลูกสาวลูกชายเพิ่มเพื่อจะได้เล่นกับพวกเขาบ้าง”“แต่ว่าพี่ใหญ่กับฉวนหลานเองก็มีบุตรสองคนเช่นกัน เหตุใดพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ”“ไม่ใช่ไม่มีแต่สุขภาพของหลานเอ๋อร์เจ้าก็รู้อยู่นี่นา นางเองก็สุขภาพพึ่งจะฟื้นฟูได้ไม่กี่ปี มีลูกสองคนก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่เจ้าที่สุขภาพแข็งแรงดีอีกอย่างเชื้อพระวงศ์อื่น ๆ ก็มีลูกมากเป็นธรรมดา”“ช่างเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เอาไว้ข้าจะคุยกับท่านอ๋องอีกครั้ง”“อืม เช่นนั้นวันน
สี่ปีต่อมา“ยกขาขึ้นสูง ๆ อาเจินไปเอาไม้มา”“แต่ว่าพระชายาเพคะ”“ข้าบอกให้ไปเอาไม้มา”อาเจินหันไปมองท่านหญิงและท่านชายที่ถูกพระชายาทำโทษเพราะแย่งขอเล่นจนทะเลาะกัน ซึ่งนางเคยสอนและตักเตือน “หยางหานเยว่” กับ “หยางหลินอิง” ฝาแฝดแสนซนที่อายุยังไม่ครบสี่ขวบดีก็ซนและเริ่มทะเลาะกัน อาเจินถือไม้ไผ่ที่หลีม่านเคยสั่งให้เหลาเอาไว้มาและถือไว้ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นไม้ในมือท่านแม่ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง“รู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด”“ฮึก ฮึก ท่านแม่ขอรับลูกสำนึกแล้วแต่ว่า…”“รู้แล้วเหตุใดถึงยังทำอีก แม่เคยพูดแล้วว่าถ้าทะเลาะกันอีกก็ต้องถูกลงโทษ เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่เจ้าเดินออกมาก่อน”“แต่ข้า…”“อาเยว่ของตา!! เดี๋ยวก่อน ๆ ม่านเอ๋อร์นี่เจ้าทำอะไรน่ะ”“ท่านตา! ฮิือ….”หานเยว่รีบวิ่งไปหาท่านตาทันทีเมื่อเห็นท่านแม่ที่ถลึงตามองด้วยความโกรธ พวกเขารู้ดีว่าท่านแม่จะไม่ทำโทษหากว่ามีแขกมาที่จวน “อิงเอ๋อร์หลานลุงเป็นอะไรไป”“ท่านลุง ฮือ….”“นี่พวกท่าน…. กลับมานี่นะ หานเยว่ หลินอิง”หลินอิงรีบวิ่งไปหาฟางอี้หลงที่เดินมาพร้อมกับท่านตาได้ทันเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกทำโทษ ไม้ไผ่เหลาอย่างดีในมือของหลีม่านสั่นเมื่อเห็นลู
ประทัดหน้าจวนอ๋องเดิมซึ่งเป็นที่พักขององค์หญิงเจ็ด “เอี้ยฉวนหลาน” ดังขึ้นเมื่อขบวนเกี้ยวเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูจวน องค์รัชทายาทแห่งซีเป่ยมาพร้อมกับชินหยางอ๋องและพระชายาที่เริ่มมีครรภ์โตขึ้นจากเดิมก็หันไปมองทันที“พี่ใหญ่มาแล้วเพคะ”“ฉางซือท่านจะทำจริง ๆ น่ะหรือ นี่เป็นธรรมเนียมของซีโจวท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้”“ไม่ได้ ๆ ห่าวหรานท่านอย่าได้ปรามาสเรา นี่งานแต่งของหลานเอ๋อร์ทั้งทีข้าในฐานะพี่ชายของนางก็ต้องทำให้ครบพิธี มิเช่นนั้นคงรู้สึกผิดกลับไปซีเป่ยเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ ไปเถอะเหยาเหยา เจ้าค่อย ๆ เดินนะ”“เพคะ”ท่านอ๋องไม่ยอมให้พระชายาอยู่ห่างพระวรกายเลยตั้งแต่ครรภ์นางมากขึ้น ทั้งคู่เดินออกมาด้านนอกเพื่อรับแขกที่มาร่วมในงาน ฟางอี้หลงในชุดเจ้าบ่าวหล่อเหลาสง่างามเมื่อลงจากม้ามาคำนับท่านอ๋อง“ยินดีด้วยอี้หลง ในที่สุดก็ถึงวันมงคลเสียที ข้ากับเหยาเหยาขออวยพรให้เจ้าและฉวนหลานมีความสุขยั่งยืนนานลูกหลานเต็มเมือง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าสาวมาแล้ว!”เสียงของแม่สื่อดังออกมาพร้อมกับขบวนเจ้าสาวที่มีสาวใช้ของฉวนหลานพยุงเพื่อพาเจ้าสาวเดินออกมา องค์รัชทายาทของซีเป่ยเ
หลีม่านค่อย ๆ เดินเข้าไปเพื่อถอดชุดเจ้าบ่าวของท่านอ๋องออกแต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ทันใจของอีกฝ่ายที่ทนเห็นอกอวบอิ่มตรงหน้าที่พุ่งเข้ามาไม่ไหว ปลายเริ่มโลมเลียผ่านชั้นในบางสีแดง มือเริ่มดึงเชือกที่ผูกลำคอและดึงสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ออกจนหมด ร่างบางแหงนหงายตามแรงดูดกระชากจากลิ้นสวาทของพระสวามี“อ๊าา ห่าวหราน อ๊าา…”ไม่นานหลีม่านก็ถูกดึงขึ้นมาที่เตียง ชุดที่เหลือถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็วจนนางมองตามไม่ทัน ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกันราวกับโหยหามานานแสนนาน ผ้าห่มถูกละเลยอีกทั้งม่านรอบเตียงก็ยังค่อย ๆ ถูกดึงลงมา“อ๊าา ห่าวหราน อื้อ”“เหยาเหยาของข้าช่างงดงามนัก กลิ่นของเจ้าและตัวเจ้าทั้งหอมและหวานมากกว่าครั้งใด ๆ”ท่านอ๋องปวดกายหนึบจนเกือบจะทนไม่ไหว มังกรยักษ์ของพระองค์ไม่เคยเรียกร้องมากถึงเพียงนี้มาก่อนแม้ว่าพระองค์อยากจะค่อย ๆ ทำพิธีส่งตัวไปอย่างช้า ๆ แต่ความเร่าร้อนของพระชายาตรงหน้ากลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย“ข้าทนไม่ไหวแล้วเหยาเหยา เริ่มกันเถอะนะ อาา…อุ่นเหลือเกิน ยังแน่นไม่เปลี่ยน อาา…”เสียงครางแหบต่ำทำให้พระชายาเริ่มตอดรับตามจังหวะพร้อมกับเบียดกายเรียกร้องให้ท่านอ๋องชื่นชมส่วนอื่น ซึ่
ท่านอ๋องขึ้นม้าพร้อมกับสายสะพายโบสีแดงที่ฉวนหลานยื่นให้ด้วยสีหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ“ยินดีด้วยเพคะท่านอ๋อง”“ขอบใจองค์หญิง แล้วพบกันในวังนะ”“เพคะเสด็จพี่รอง”ชินหยางอ๋องยิ้มให้ฉวนหลานก่อนจะค่อย ๆ ดึงบังเหียนของเสี่ยวเซินออกจากจวนสกุลฟาง ขบวนเจ้าสาวของชินหยางอ๋องเริ่มเคลื่อนออกจากจวนสกุลฟางแล้ว ครั้งนี้งานอภิเษกถูกจัดขึ้นในวังหลวงซึ่งฮ่องเต้มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทเป็นผู้จัดการงานทั้งหมดท้องพระโรง เมื่อเจ้าบ่าวรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก็ค่อย ๆ พยุงนางออกมาและทั้งคู่ก็รับโบแดงซึ่งมีหมัวมัวในวังยื่นให้ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงที่มีฝ่าบาทและฮองเฮา แม่ทัพฟางและฮูหยินทั้งสอง แขกเหรื่อในงานพร้อมกับเหล่าขุนนางที่รอร่วมยินดีกับทั้งคู่อยู่ด้านใน เมื่อทั้งสองเข้ามาในท้องพระโรงแล้ว กงกงจึงดำเนินการตามประเพณี“คำนับที่หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน”“คำนับสอง คำนับบิดามารดา”“คำนับสาม… คำนับกันและกัน”กงกงเดินนำไม้มงคลมายื่นให้ชินหยางอ๋องก่อนจะกระซิบ“ท่านอ๋องเชิญเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณกงกง”หยางห่าวหรานรับไม้บนพานออกมาและค่อย ๆ เปิดหน้าเจ้าส
หยางห่าวหรานนิ่งอึ้งไปทันทีราวกับถูกสาปให้ตัวแข็งเมื่อหลีม่านหันมาบอกเขา นางรู้สึกเหมือนกับพูดผิดจังหวะเมื่อเห็นสีพักตร์ที่นิ่งราวกับน้ำแข็งของท่านอ๋องตรงหน้าซึ่งนางไม่คิดว่าเขาจะตกใจถึงเพียงนี้“ท่านอ๋องเพคะ…”“เจ้าพูดจริงหรือเหยาเหยา”จู่ ๆ ท่านอ๋องก็จับตัวนางเอาไว้แน่นและเบิกพระเนตรกว้างขึ้นมาเพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง ฟางหลีม่านเริ่มนึกหวาดกลัวท่าทีเช่นนั้นเล็กน้อยแต่ก็รีบตอบไป“เพคะ หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้วเพคะ”สิ้นคำของฟางหลีม่าน หยดน้ำตาของคนตรงหน้าก็เริ่มรื้นขึ้นมาและหยดลง หลีม่านตกใจแทบสิ้นสติเพราะนางไม่เคยคิดว่าบุรุษเช่นท่านอ๋องจะหลั่งน้ำตาออกมาได้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันขออภัยที่…”“เหยาเหยา! ข้าดีใจยิ่งนักในที่สุดข้าก็จะมีบุตรแล้วจริง ๆ เหยาเหยาของข้า เจ้าช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าแล้วจริง ๆ ให้ตายเถอะข้าดีใจมาก”เสียงของท่านอ๋องยังคงสั่นเมื่อค่อย ๆ ทรุดกายลงคุกเข่าและกอดนางเอาไว้แน่น “ท่านอ๋องเพคะ อย่าทำเช่นนี้”“ลูกพ่อเจ้ามาเกิดแล้วจริง ๆ พ่อให้สัญญากับเจ้าว่าจากนี้จะดูแลเอาใจใส่ท่านแม่ของเจ้าให้มาก ๆ แต่พ่อขออย่างเดียว เจ้าอย่าทำให้แม่เจ้าโกรธจน
“เจ้านี่ช่าง… อาาา อย่านะฉวนหลาน อย่าบีบรัดเช่นนั้นข้า…โอว….”นางขยิบร่องรักจนฟางอี้หลงแทบจะทนความเสียดเสียวไม่ไหว เขาถึงกับสั่นและเร่งกระแทกเพื่อให้นางปล่อยแต่อีกฝ่ายกลับสู้กลับด้วยท่าทางที่ยั่วยวนนั่น ไม่นานน้ำรักขุ่นใสก็พุ่งพรวดเข้าไปจนล้นออกมาเพราะพวกเขาใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้วกับป่าแห่งนี้“แฮก แฮก”“อือ….”ฟางอี้หลงรีบคว้าเสื้อคลุมของนางมาคลุมร่างเอาไว้เพื่อป้องกันอันตรายและเขาก็หวงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากให้สายตาของสิ่งมีชีวิตอื่นได้มองนาง แม้แต่ม้าคู่ใจของเขาก็ตาม“ปิงปิงเจ้าหันไปนะ!”เจ้าม้าหนุ่มหันกลับไปสนใจน้ำในลำธารทันทีเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายสั่งด้วยเสียงที่ข่มขู่โดยที่มันไร้ความผิด เอี้ยฉวนหลานหมดแรงในอ้อมกอดของเขาแต่ก็ต้องยอมรับว่านางเอาชนะเขาได้จริง ๆ “ข้าชนะแล้วฟางอี้หลง ท่านแพ้แล้ว”“ก็ได้ ๆ ข้ายอมแพ้เจ้าตั้งนานแล้วเด็กโง่เพียงแต่ชอบหาโอกาสพาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นและรอให้เจ้าทนไม่ไหวเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะความอดทนสูงเช่นนี้กันล่ะ ดังนั้นก็เลยต้องใช้ทางลัดนิดหน่อย”เอี้ยฉวนหลานเริ่มนิ่งและคิดตามคำพูดของเขาก่อนจะหันมามองหน้าฟางอี้หลงที่นอน
“เยี่ยมไปเลย เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำนะ”“แต่เจ้ากับพี่ห่าวหรานก็จะไปด้วยมิใช่หรือ”“ก็ใช่แต่ว่าข้าไม่ชอบล่าสัตว์น่ะ ทานอ๋องเองก็ทรงทราบและไม่อยากฝืนใจข้าด้วยก็เลยจะเข้าร่วมพอเป็นพิธีเท่านั้น”“ข้าชักจะหมั่นไส้พวกคนคลั่งรักอย่างพวกเจ้าขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วสิ”หลังจากที่องค์หญิงแห่งซีเป่ยรับการรักษาจนหายดีเมื่อสองเดือนก่อน ท่านอ๋องจึงได้กราบทูลฝ่าบาทเกี่ยวกับผลงานใหญ่ของสกุลตงและสกุลฟางที่ลู่โจวฝ่าบาทจึงได้ประทานยศให้ฟางอี้หลงเป็นแม่ทัพองครักษ์หลวง แทนแม่ทัพหม่าที่จะปลดเกษียณตัวเองลงในไม่ช้านี้พร้อมกับมอบราชโองการสมรสให้กับเขาและองค์หญิงเอี้ยฉวนหลานแห่งซีเป่ย งานล่าสัตว์ สิบวันถัดมา“ฉวนหลาน ข้าได้กวางมาแล้ว ตอนนี้เจ้าน่าจะแพ้แล้วล่ะ”“ฟางอี้หลงคนขี้โกง ท่านเล่นบุกเข้าป่าลึกแต่ห้ามข้าเข้าไปข้างในนั้นอ้างว่าจะเป็นอันตราย แต่กลับไปล่ากวางออกมาเยาะเย้ยข้า จะเอาชนะข้างั้นหรือฝันไปเถอะ”ฉวนหานหันหัวม้าวิ่งเข้าไปในป่าอีกครั้ง ฟางอี้หลงตกใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่านางจะบุ่มบ่ามวิ่งเข้าไปทันที“ฉวนหลาน! อย่าเข้าไปแบบนั้นมันอันตรายนะ!”อี้หลงหันหัวอาชาคู่ใจวิ่งตามนางไปทันทีพร้อมกับนำของที่เหลือให้คนต