จวนแม่ทัพฟาง / ซีโจว
“เรื่องนี้ยังไม่มีราชโองการลงมาดังนั้นข้าคิดว่า…”
“ลูกจะไปเจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกตกลงรับการหมั้นหมายครั้งนี้”
“ฟางหลีม่าน” บุตรสาวคนกลางของแม่ทัพใหม่แห่งเมืองซีโจว “ฟางเฉิน” หันไปตวาดบุตรสาวขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาในจวนและแจ้งเรื่องสำคัญที่มาจากราชสำนัก
“ม่านเอ๋อร์!! เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือไม่ถึงเจ้าจะโตแล้วแต่แม่ก็ไม่ยอมให้เจ้าไปลำบากที่เมืองลู่โจวที่กันดารนั่นหรอกนะ ท่านพี่เจ้าคะเรื่องนี้…”
“ฟางฮูหยิน” เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินบุตรสาวพูดออกมา นางหันไปมองฮูหยินรองและบุตรสาวที่นั่งงอตัวอยู่ที่เก้าอี้ นางเองก็มีบุตรสาวซึ่งแม้จะอายุน้อยกว่า “ฟางหลีม่าน” อยู่สองปีแต่ก็พ้นพิธีปักปิ่นมาแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านคงจะไม่คิดที่จะ…”
“ข้ายังไม่ทันได้พูดสิ่งใด "หลงเยี่ยน" เหตุใดเจ้าจึงต้องรีบตีตนไปก่อนไข้"
“เฮ้อ...เอาเถอะพวกเจ้าอย่าได้ถกเถียงกันให้มากเลยตราบใดที่ยังไม่มีราชโองการมาก็ยังมีเวลาให้หายใจหายคอ วันนี้ข้าก็แค่เรียกพวกเจ้าทุกคนมาแจ้งให้รับรู้เท่านั้น แยกย้ายกันกลับไปเถอะ”
ห้องของหลีม่าน
“คุณหนูเจ้าคะเหตุใดท่านจึงขันอาสาอยากจะแต่งงานกับอ๋องแม่ทัพที่โหดเหี้ยมผู้นั้นเจ้าคะ ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงที่น่ากลัวของเขามาก่อน อ๋องกระหายเลือด อ๋องมัจจุราชแห่งสนามรบ แล้วยังอ๋อง…”
“แต่ไม่ใช่กับข้า เจ้าน่ะฟังแค่คำร่ำลือแล้วเอามาพูดเป็นตุเป็นตะ ข้าก็แค่อยากจะออกจากจวนแม่ทัพนี่เสียบ้าง เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้างนอกนั่นกว้างใหญ่น่าท่องเที่ยวมากขนาดไหน”
“คุณหนู หากว่าท่านแต่งงานออกไปแล้วท่านจะได้ท่องเที่ยวไปทั่วได้เช่นไรเจ้าคะ แต่งไปแล้วก็ต้องเป็นพระชายาท่านอ๋องที่สำคัญที่องค์ชายเก้าผู้นี้ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องก็เพราะ….”
“เพราะว่าเขาเก่งเรื่องการทหารและไม่ชอบอยู่กับที่ อีกอย่างเขาก็ตามล้างแค้นให้กับพ่อบุญธรรมที่เคยเลี้ยงเขามา ข้ารู้แล้วน่าเจ้าออกไปเถอะข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักหน่อย”
“คุณหนูวันนี้ท่านไม่ออกไปฟังละครหรือเจ้าคะ เห็นว่ามีคณะละครมาใหม่”
“ไม่ล่ะ ๆ เรื่องนี้น่าตื่นเต้นกว่ากันเยอะเลยเจ้าออกไปเถอะอย่ามากวนข้า”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
“เจียวจู” สาวใช้ของฟางหลีม่านจำใจเดินออกมาเมื่อเกลี้ยกล่อมผู้เป็นนายไม่สำเร็จ แต่นางเป็นเพียงบ่าวที่รับใช้ที่เติบโตมาพร้อมกันดังนั้นไม่ว่าหลีม่านจะเลือกเส้นทางใด นางก็พร้อมจะติดตามผู้เป็นนายไปทุกที่
“เป็นอย่างไรเจียวจู คุณหนูของเจ้าไม่ยอมหรือ”
“เรียนฮูหยิน ดูเหมือนว่าคุณหนูจะกระตือรือร้นจนไม่สนใจสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ ขนาดละครที่นางโปรดปรานยังไม่อยากจะไปดูเลยแล้วยังไล่ข้าออกมาจากห้องด้วยเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ…. ข้าจะทำเช่นไรดีนะ หากว่ามีราชโองการลงมาจริง ๆ คงไม่พ้นที่จะต้องส่งนางไปที่นั่น แม้ว่าจะอยากส่งหรูเอ๋อร์ไปแทน แต่นางขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรของฮูหยินรอง ศักดิ์ไม่เทียบเท่ากับม่านเอ๋อร์ ข้าจะทำเช่นไรดี”
ห้องของหลีม่าน
“อยู่ไหนนะข้าจำได้ว่าเอาเก็บไว้ตรงนี้ ไม่ใช่นี่ตำราแพทย์ นี่ก็ตำรากลยุทธ์ศึกของท่านปู่ นี่วิชายา อยู่ไหนล่ะหรือว่าเจียวจูจะเก็บไปแล้ว”
หลีม่านขลุกตัวอยู่แต่ในห้องตำราของตัวเองเพื่อหาบางอย่างตั้งแต่นางไล่สาวใช้ออกไป และเมื่อเดินมาถึงตู้เก็บตำราตู้ที่สาม ซึ่งนางเป็นบุตรของแม่ทัพแม้ภายนอกจะดูไม่เอาไหน
“ฟางหลีม่าน” ชอบท่องเที่ยวและชอบความสนุกแต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าสตรีในจวนอย่างนางมีสรรพวิชาทั้งด้านตำราและการแพทย์จากฝั่งท่านตา และความรู้เรื่องศาสตราวุธ การขี่ม้ายิงธนูจากทางบิดาและท่านปู่ อีกทั้งยังเก่งเรื่องการเดินหมากเป็นที่สุด แม้ว่าเรื่องกาพย์ กลอน ดีดพิณหรือการวาดภาพนางจะไม่เอาไหนเลยก็ตาม
“เจอแล้ว!! ที่แท้ข้าก็เอาท่านมาแอบเอาไว้ตรงนี้นี่เอง”
นางหยิบม้วนภาพออกมาพร้อมกับปัดฝุ่นเพราะมันกองอยู่รวมกันกับแผนที่ภูมิศาสตร์ของแคว้นเฉินอานของนางซึ่งบัดนี้ปกครองโดยฮ่องเต้ “หยางซื่อจวิ่นหรง” เป็นระยะเวลาเกือบสิบปีนับตั้งแต่ศึกครั้งสุดท้ายกับลั่วข่านซึ่งครั้งนั้นท่านปู่และบิดาของนางก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
“ฝุ่นจับนิดหน่อย ไม่เป็นไรข้าจะค่อย ๆ ทำความสะอาดให้ท่านเอง”
ภาพวาดของแม่ทัพหนุ่มค่อย ๆ ถูกเปิดออกมาหลังจากที่ม้วนเก็บเอาไว้จนเก่า ใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่ก็ยังดูน่าเกรงขามในชุดลำลองสีทองปักเลื่อมลายมังกรผูกผมด้วยกวานสีทองอันเล็กในมือนางค่อย ๆ เผยออกมา หลีม่านบรรจงใช้นิ้วลูบไปทั่วแผ่นภาพนั้นเบา ๆ อย่างทะนุถนอม
“ไม่พบกันเสียนานเลยนะเจ้าคะ พี่ห่าวหราน”
สิบปีก่อน
“เจ้าแพ้แล้วอี้หลง ม้าตัวนี้เป็นของข้า”
“องค์ชายเก้าท่านขี้โกงนี่ หลอกให้ข้ามองไปที่อื่นส่วนท่านก็ยิงหมาป่า”
“ช่วยไม่ได้มันเป็นกลยุทธ์นี่นา”
“เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ม้าตัวนี้เป็นของท่านแล้ว”
ม้าสีขาวงดงามที่ใช้เป็นเดิมพันขององค์ชายเก้า “หยางห่าวหราน” กับบุตรชายคนโตของแม่ทัพฟาง “ฟางอี้หลง” พี่ชายคนเดียวของฟางหลีม่านถูกจูงไปที่คอกม้าตามสัญญาหลังจากการแข่งขันล่าสัตว์ได้จบลง
“พี่ใหญ่ท่านแพ้อีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“หลีม่าน เจ้าจะพูดเช่นนั้นได้เช่นไร วันนี้ข้าพลาดไปนิดหน่อยเอง วันหลังก็ชนะ”
“แพ้ก็คือแพ้ พี่ใหญ่ท่านยอมรับเถอะ”
“เจ้า!! หน็อยแค่แพ้ครั้งเดียวถึงกับเยาะเย้ยข้า ข้าจะฟ้องท่านแม่ว่าเจ้าแอบออกมาจากกระโจม”
“พี่ใหญ่ท่านใจร้ายเกินไปแล้วข้าก็แค่…”
“น้องสาวของเจ้าหรืออี้หลง”
“องค์ชายเก้า ใช่แล้วนี่น้องสาวข้าเองนางชื่อว่า…”
“ฟางหลีม่านเพคะ ได้ยินชื่อเสียงขององค์ชายเก้ามานานวันนี้เลยอยากเห็นกับตาไม่น่าเชื่อว่าท่านจะเก่งกว่าพี่ใหญ่ของข้าจริง ๆ ท่านล่าหมาป่ามาได้ตั้งสองตัวแล้วยังมีกวางอีก”
“หยางห่าวหราน” คลี่ยิ้มออกมาเมื่อถูกเด็กน้อยในวัยเจ็ดขวบชื่นชม นั่นเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หลีม่านประทับใจและยังจดจำได้จนถึงตอนนี้ แม้ว่ามันจะเป็นเวลาสั้น ๆ ก็ตามเพราะว่าหลังจากวันนั้น นางก็ไม่เคยเห็นองค์ชายเก้ายิ้มอีกเลย
“พระสนมหยางลี่เฟยถูกลอบปลงพระชนม์!!”
ข่าวนั้นถูกส่งไปยังจวนแม่ทัพ แม่ทัพฟางและพี่ใหญ่ของนางรีบเข้าวังไปทันที นางจำได้ว่าวันที่ฝังพระศพของพระสนมหยาง แม้ว่าองค์ชายเก้าในวัยสิบเจ็ดปีจะไม่มีแม้แต่น้ำตา แต่ใบหน้าที่อ่อนโยนเหมือนกับที่นางพบเขาที่ลานล่าสัตว์นั้นไม่มีให้เห็นอีกเลย
สองปีหลังจากนั้น
“องค์ชายเก้าชนะศึกเจียงหยางแล้ว”
“องค์ชายเก้าบุกตีเมืองเซี่ยเฉินสำเร็จแล้ว”
“ท่านอ๋องหยางยกทัพบุกอะเซ่อลี่เป่ย ฆ่าแม่ทัพได้สำเร็จแล้ว!!”
ข่าวที่องค์ชายเก้ายกทัพปราบศัตรูทั่วแคว้นเป็นที่โด่งดังจนฝ่าบาทประทานยศชินอ๋องและแม่ทัพสามดินแดนให้กับเขา ชื่อเสียงของ “หยางห่าวหราน” โด่งดังไปทั่วแคว้น
แม้แต่นักเล่านิทานและโรงละครยังต้องเขียนเป็นเรื่องเล่าขานเพื่อสรรเสริญเขา จิตรกรชื่อดังก็ยังวาดภาพขององค์ชายเก้าออกมาซึ่งถือเป็นภาพที่ทำกำไรได้งดงามที่สุดในช่วงนั้น
“ไม่รู้ว่าเจ็ดปีที่ไม่ได้พบกัน ท่านจะเป็นเช่นไรบ้างนะ พี่ห่าวหราน”
ลู่โจว / ค่ายดินแดนประจิม “กองทัพของเราสูญเสียไพร่พลไปร้อยห้าสิบนายที่เหลือบาดเจ็บแต่ก็ปราบข้าศึกที่รุกล้ำดินแดนได้ทันก่อนที่พวกมันจะข้ามมาพ่ะย่ะค่ะ”“อืม สั่งการลงไป ให้ถอนกำลังลงมาอีกสิบลี้”“เอ่อ ท่านอ๋อง เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”“ล่อมันเข้ามา แล้วฆ่าให้หมด!!”เสียงที่หนักแน่นและสายตาแข็งกร้าวดุจพยัคฆ์ทำเอารองแม่ทัพเหรียนเจินไม่กล้าสบเนตรนั้น เขารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดเหี้ยมเพียงใด ครั้งนี้สูญเสียไปร้อยห้าสิบนายแต่สิ่งที่ท่านอ๋องจะเอาคืนคือ “ทั้งกองทัพ” ของผู้ที่กล้ามารุกรานเขตแดนของพระองค์“ท่านอ๋อง มีราชโองการของฝ่าบาทส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”“หยางฮ่าวหราน” หันกลับมาและขมวดคิ้วเลิกถามอย่างแปลกใจ เขากรำศึกอยู่กลางดินแดนประจิมมาได้สองปี แทบจะไม่เคยได้รับราชโองการใด ๆ จากเสด็จพ่อของเขานอกจากเรื่องการแต่งตั้งยศใหม่ให้ซึ่งเขาไม่เคยต้องการ จวนใหม่และเงินที่ประทานมาให้เขาก็นำเข้ากองทัพเพื่อซื้อยา อาวุธและเสบียงเสริม“นี่มันเรื่องอะไรกัน "ต้าเป่า" เจ้าไปรับมา"“พ่ะย่ะค่ะ”“ต้าเป่า” องครักษ์คนสนิทเพียงคนเดียวเดินไปรับกล่องที่ใส่ราชโองการ ด้านในนั้นมีม้วนราชโองการสีทองลายมังกรอยู่“คาดผ้าสีแดง นี่หรื
“ท่านพี่นี่ท่านกำลังข่มขู่ข้างั้นหรือเจ้าคะ”แม่ทัพฟางรู้ดีว่าต่อให้ต้องเลือกนางก็ไม่อยากได้ท่านโหวน้อยที่ดูกะล่อนของสกุลหยวน“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าไม่ได้ชอบ "หยวนเสี่ยวผิง" ท่านวางใจได้ข้าไม่มีทางแต่งกับเขาหรอกเจ้าค่ะ"“แต่ว่า…เฮ้อ ช่างเถอะหากว่าเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นแล้วแม่ก็คงสุดจะห้าม เช่นนั้นแม่จะเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านตาเจ้า ท่านพี่ท่านเองก็ส่งไปที่กองทัพเพื่อให้หลงเอ๋อร์ด้วย”“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก แม้ว่าท่านอ๋องจะทรงกรำศึกหนักขนาดไหนแต่ข้าเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ละทิ้งม่านเอ๋อร์ของพวกเรา เจ้าอย่าลืมสิว่าหลงเอ๋อร์เป็นสหายร่วมศึกของพระองค์”“ข้าทราบเจ้าค่ะ”หอหงซื่อ ก่อนเดินทางเพียงสามวันฟางหลีม่านก็ออกมาเดินเล่นและฟังละครที่โรงละครเลื่องชื่อของซีโจวกับสาวใช้ของนางซึ่งพวกนางมาที่นี่เป็นประจำอยู่แล้วแต่วันนี้กลับมีแขกที่นางเองก็ไม่คิดว่าจะพบที่นี่“หลีม่าน เจ้าจะรับหมั้นกับท่านอ๋องจอมโหดผู้นั้นจริงเหรอ”“ท่านโหวน้อย ท่านมาที่นี่ได้เช่นไรกัน”“หยวนเสี่ยวผิง” ไม่เพียงเข้ามาแต่เขาเดินมานั่งข้าง ๆ นางอีกด้วย หยวนเสี่ยวผิงชอบพอฟางหลีม่านมานานแล้วนับตั้งแต่นางเข้าพิธีปักปิ่น เขาก็ลดนิสัยเจ้าชู้แล
หยวนเสี่ยวผิงเดินลงมาจากม้าและพุ่งตัวเข้ามาหาฟางหลีม่านทันทีเมื่อนางยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมระหว่างที่คณะเดินทางได้จอดเพื่อให้ม้าได้พัก“ตามเจ้าทันจนได้ คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้”“ท่านโหวน้อยนี่ท่าน…มาท่องเที่ยวหรือ”“ข้าหรือ ข้าก็ตามเจ้าไปที่ลู่โจวอย่างไรเล่าจะพูดเช่นไรดี ข้ามีจวนอยู่ที่นั่นและท่านพ่อเองก็วานให้ข้าไปดูแลกิจการผ้าไหมที่นั่นสักหน่อยจะเรียกว่าบังเอิญก็ได้กระมัง”“หึหึ ช่างบังเอิญได้จังหวะดีเสียจริงเลยนะ”“หลีม่านเจ้าจะไปที่ใด แล้วถ้าไปที่ลู่โจวแล้วเจ้าจะพักที่ใดงั้นหรือ คงไม่ใช่ค่ายทหารหรอกนะ ข้าว่าอย่างไรแล้วเจ้าไปพักกับข้าที่จวนสกุลหยวน...”“ท่านตาข้าเองก็มีจวนที่นั่น ขอโทษด้วยท่านโหวน้อยข้าไม่ไปกับท่าน เราเพียงแค่บังเอิญมาพบกันเท่านั้น ม้าของข้าพักพอเมื่อใดก็จะรีบเดินทางทันที”“ไม่เอาน่าหลีม่าน เจ้ากับข้าก็จะไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ข้าเองก็พาคนคุ้มกันมามากเดินทางหลาย ๆ คนปลอดภัยกว่านะ”“เจียวจูข้ารู้สึกปวดหัวขอไปพักบนรถม้าหน่อยพร้อมแล้วก็มาบอกข้าก็แล้วกัน”“อ้าว เดี๋ยวสิหลีม่าน ข้า…”“ท่านโหวเจ้าคะ คุณหนูข้าพูดชัดเจนแล้วหวังว่าท่านจะไม่ตามนางไป ถึงอย่างไรคุณหนูข้าในตอนน
“เจ้าว่าอะไรนะ!!”“ท่านตาท่านก็รู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด ข้าเองก็อยากจะพบพี่ใหญ่กับ…ว่าที่คู่หมั้นของข้าเสียหน่อย ในเมื่อจะต้องเป็นว่าที่พระชายาแล้วเหตุใดจะไปไม่ได้”“เจ้าคิดว่าที่นั่นเป็นอะไร สนามเด็กเล่นหรืออย่างไรไม่เอาน่าเหยาเหยา อย่าให้ตาต้องทำผิดต่อแม่ของเจ้า เพียงแค่เจ้าเดินทางมาที่นี่นางก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”“ท่านตาเจ้าคะ หากท่านไม่ยอมให้ข้าไปถึงอย่างไรข้าก็ต้องแอบไปอยู่ดี”“นี่เจ้า!!”“ท่านก็รู้นิสัยข้าดีนี่เจ้าคะ เลือดของข้ากึ่งหนึ่งมาจากสกุลหมอเทวดา อีกกึ่งหนึ่งเป็นขุนพลกอบกู้แผ่นดิน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรอกเจ้าค่ะ”“เฮ้อ…แต่ว่าเจ้าจะไปเพิ่มภาระให้พี่ชายเจ้าหรือไม่ เขาจะเป็นห่วงหากรู้ว่า…”“ท่านก็อย่าบอกพี่ใหญ่สิเจ้าคะ แค่ท่านไม่บอกพวกเขาและส่งข่าวให้พวกเขารู้ว่าข้าปลอดภัยอยู่ที่จวนท่าน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”“นี่เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดแผนการนี้มาตั้งแต่ออกจากซีโจวหรอกนะ”ตงมู่ฟานมองหลานสาวอย่างรู้ทันความคิด เขาเลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กเหตุใดจะไม่รู้นิสัยของนาง“ท่านตา หลานเป็นทายาทของหมอที่เก่งที่สุดในสามแคว้น ท่านจะไม่ให้โอกาสข้าได้ใช้วิชาที่ท่านสอนเลยหรื
“ท่านหมอ!! ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”ฟางอี้หลงเดินเข้ามาเพราะเขาคิดว่านางตะโกนเรียก แต่เมื่อเข้ามาก็เห็นว่าท่านหมอเดินหันไปมาและไม่ได้พูดอะไร นางสวมผ้าคลุมหน้าอีกครั้งเมื่อเขาเข้ามา"มะ ไม่มีอะไรตอนนี้ข้าเย็บแผลให้แล้ว ยะ ยานี่ท่านให้คนต้ม ไม่ดีกว่า ท่านไปเตรียมเตาเล็กมาให้ข้าที่นี่ ข้าจะต้มเองเพราะตำรับยานี้ต้องระวังหากต้มไม่ดีจะรักษาหายช้า“ได้ ข้าจะรีบไปให้คนเตรียมมาให้”อี้หลงเดินออกไปแล้วนางจึงได้เดินและแกะผ้าคลุมหน้าออกเพราะรู้สึกร้อนแม้ว่าอากาศข้างในนี้จะหนาวก็ตาม ท่านอ๋องที่ทำแผลเสร็จแล้วเริ่มดิ้นแต่ก็ยังไม่ได้สติ“หากทำแผลแล้วตามเวลาที่เรียนมาต้องฟื้นในอีกสองชั่วยาม รีบต้มยาก่อนดีกว่าฟื้นขึ้นมาจะได้ดื่มได้เลย”หลีม่านเริ่มแกะกล่องที่ใส่ยาสำคัญ ๆ มาและเริ่มตรวจสอบก่อนที่อี้หลงจะยกเตาต้มยาขนาดเล็กเข้ามาให้นางในห้องนอนท่านอ๋อง นางเริ่มต้มยาทันทีพร้อมกับสั่งให้คนออกไปข้างนอกให้หมดเพราะท่านอ๋องต้องการพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาที่รอต้มยานางก็มักจะหันไปเช็ดใบหน้าของเขาเพราะเหงื่อที่เริ่มท่วมออกมา“คิดไม่ถึงว่าท่านจะเปลี่ยนไป และ…รูปงามขึ้นถึงเพียงนี้”หลีม่านเผลอตัวเอานิ้วมือไปลูบตามจมู
“โอ๊ย!!”“แย่แล้ว ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…"“ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปถามเช่นนั้น ลืมไปเถอะข้าจะไม่กวนเจ้าแล้ว”นางตกใจจนเผลอกดแผลของเขาแรงเกินไปจนทำให้ท่านอ๋องร้องออกมา ฟางหลีม่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะมีสมาธิเมื่ออยู่ตรงหน้าบุรุษเช่นท่านอ๋อง แม้แต่เสียงนุ่ม ๆ ทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อยก็ทำให้หัวใจนางกระเจิดกระเจิงไปไกลเหลือเกิน กว่าจะทำแผลจนเสร็จก็ใช้เวลานานเพราะร่างที่ใหญ่กว่านางทำให้ต้องใช้เวลาพันแผลอยู่พักใหญ่“สะ เสร็จแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจ แล้วเจ้า…”“กระหม่อมจะรีบไปแจ้งท่านรองแม่ทัพว่าพระองค์ฟื้นแล้ว จะได้ยกยาที่เหลือมาให้เสวยพ่ะย่ะค่ะ”นางรีบคำนับให้เขาลวก ๆ และเดินออกไป ห่าวหรานรู้สึกแปลกใจกับท่าทีเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะตกใจแต่ก็นึกขำเพราะไม่เคยเห็นผู้ใดที่กลัวเขามากขนาดนั้นมาก่อน แม้ว่าจะพอรู้ว่าคนอื่น ๆ ร่ำลือว่าเขาเป็นอ๋องจอมโหด อ๋องกระหายเลือดก็ตาม“ข้าไม่ใช่ผีเสียหน่อย”“ท่านอ๋อง!!”อี้หลงและต้าเป่ารีบวิ่งเข้ามาเมื่อหลี่เหยาเดินออกไปแจ้งทั้งสองว่าท่านอ๋องฟื้นแล้ว ทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันที“พวกเจ้าตื่นเต้นอะไรกันข้าตกใจหมดเลย”“พระองค์ทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะพระวรกายของพระองค์มีค่าดุจทองคำ กระหม่อมเป็นเพียงผู้น้อย...”“ช่างเถอะ ๆ เจ้าออกไปได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องหันไปมองตามหลี่เหยาที่เดินออกจากห้องไปและหันกลับมาคิด แม้ว่าหลี่เหยาจะสวมผ้าคลุมที่ปิดช่วงปากเอาไว้แต่สายตากลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นสายตาคู่นี้มาก่อนเพียงแต่นึกไม่ออก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้กลิ่นกายเหมือนกับวันแรกที่พบหลี่เหยาแต่กลิ่นนั้นก็ยังติดจมูกของเขาราวกับฝังเป็นความทรงจำ“เห็นทีข้าคงบาดเจ็บจนเลอะเลือน” ห้องยา “เหยา…. หลี่เหยา!!”“อ้อ ว่าอย่างไรนะ”“ข้าถามว่าเจ้าจะฝากยาให้ข้าเอาไปให้พี่อี้หลงหรือไม่”“อ้อ มะ ไม่ต้องหรอก”“เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนละขอบใจเจ้ามากเลยสำหรับยานี้เอาไว้ข้าพบท่านรองแม่ทัพ…ถวายบังคมท่านอ๋อง”ท่านอ๋องและฟางอี้หลงเดินเข้ามาพอดี เมื่อหลี่เหยาเงยหน้าไปเห็นท่านอ๋องที่แต่งกายชุดลำลองเดินเข้ามากับพี่ใหญ่ของนางก็ทำเอาหัวใจนางเต้นแรงดุจกลองศึกอีกครั้ง นางยังไม่เคยเห็นเขาสวมชุดอื่นมาก่อนและยังเกล้าผมเผยใบหน้าที่หล่อเหลาราวเซียนปั้นนั้นด้วย“ถะ ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถอะ”“พี่อี้หลงท่านมาพอดีเลยหลี่เหยาเ
ท่านอ๋องตกตะลึงกับใบหน้าที่เรียบเนียนดุจสตรีตรงหน้า หลี่เหยานั้นยังไม่รู้ตัวว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดไปแล้วเพราะนางสนใจแต่บาดแผลและรีบซับเลือดให้กับเขาทันที“ขอประทานอภัยกระหม่อมเลินเล่อจนทำให้…”ท่านอ๋องหันมาคว้ามือนางและจับให้หันมา เขาสบตานางอีกครั้งจนแน่ใจในตอนนี้นี่เอง แม้ว่าจะใช้เสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัด แต่รูปร่างและผิวพรรณนี้เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน“เจ้า…หน้าของเจ้า…”หลี่เหยาพึ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดออกไปเสียแล้วเมื่อเริ่มควานหาแต่ท่านอ๋องจับมันโยนทิ้ง“ไม่ต้องใช้แล้ว เจ้ารีบทำแผลก่อนที่มันจะปริออกอีกรอบหนึ่งเถอะ”“แต่ว่า…”“หน้าเจ้าหรือแผลของข้าที่สำคัญกว่า”“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เสียงอ่อยที่ลืมดัดนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจและฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเป็นสตรีอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ แต่ว่า..นางคือผู้ใดแล้วเหตุใดท่านหมอตงจึงได้ส่งนางมายังค่ายทหารแห่งนี้ หรือว่าหมอตงผู้เฒ่าเขาเองก็ไม่ทราบว่านางเป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นความลับนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สินะ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยนางปิดเป็นความลับ“กระหม่อมจะเริ่ม…ตัดไหมอีกครั้ง คราวนี้หากว่าพระองค์เจ็บก็บอก