ลู่โจว / ค่ายดินแดนประจิม
“กองทัพของเราสูญเสียไพร่พลไปร้อยห้าสิบนายที่เหลือบาดเจ็บแต่ก็ปราบข้าศึกที่รุกล้ำดินแดนได้ทันก่อนที่พวกมันจะข้ามมาพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม สั่งการลงไป ให้ถอนกำลังลงมาอีกสิบลี้”
“เอ่อ ท่านอ๋อง เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ล่อมันเข้ามา แล้วฆ่าให้หมด!!”
เสียงที่หนักแน่นและสายตาแข็งกร้าวดุจพยัคฆ์ทำเอารองแม่ทัพเหรียนเจินไม่กล้าสบเนตรนั้น เขารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนโหดเหี้ยมเพียงใด ครั้งนี้สูญเสียไปร้อยห้าสิบนายแต่สิ่งที่ท่านอ๋องจะเอาคืนคือ “ทั้งกองทัพ” ของผู้ที่กล้ามารุกรานเขตแดนของพระองค์
“ท่านอ๋อง มีราชโองการของฝ่าบาทส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
“หยางฮ่าวหราน” หันกลับมาและขมวดคิ้วเลิกถามอย่างแปลกใจ เขากรำศึกอยู่กลางดินแดนประจิมมาได้สองปี แทบจะไม่เคยได้รับราชโองการใด ๆ จากเสด็จพ่อของเขานอกจากเรื่องการแต่งตั้งยศใหม่ให้ซึ่งเขาไม่เคยต้องการ จวนใหม่และเงินที่ประทานมาให้เขาก็นำเข้ากองทัพเพื่อซื้อยา อาวุธและเสบียงเสริม
“นี่มันเรื่องอะไรกัน "ต้าเป่า" เจ้าไปรับมา"
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ต้าเป่า” องครักษ์คนสนิทเพียงคนเดียวเดินไปรับกล่องที่ใส่ราชโองการ ด้านในนั้นมีม้วนราชโองการสีทองลายมังกรอยู่
“คาดผ้าสีแดง นี่หรือว่า…”
“ถึงเวลาเลือกพระชายาแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ ใครกันนะที่จะ…”
“พูดมากน่ะอี้หลง เจ้าไปดูคนเจ็บมาแล้วงั้นหรือ”
“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะสั่งยามาเพิ่มให้แล้ว ข้าส่งข่าวไปขอความช่วยเหลือจากท่านตาได้ทันเวลา ท่านตาส่งคนพร้อมกับหมอและยามาให้แล้วอีกสองวันก็น่าจะถึง”
“ขอบใจมาก…. นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!”
ต้าเป่าและฟางอี้หลงหันไปมองหน้ากัน พวกเขาสนิทกันเพียงแค่มองตาก็รู้ใจ เมื่อเห็นท่านอ๋องที่ดูหงุดหงิดหลังจากที่อ่านราชโองการจบแล้วจึงได้หันไปมองที่ราชโองการที่ถูกทิ้งลงไปที่กล่อง
“มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอ่านเอาเองสิ ข้าเองก็อยากถามเจ้าเหมือนกัน”
“ถามกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่า…”
ฟางอี้หลงรู้สึกร้อนวูบวาบแปลก ๆ หากว่าท่านอ๋องตรัสเช่นนี้หรือว่าราชโองการนั้นจะเกี่ยวข้องกับสกุลฟางของเขา ต้าเป่ากะพริบตามองอี้หลง เขาจึงพยักหน้าให้ต้าเป่าเดินเข้ามาอ่านพร้อมกัน อี้หลงเมื่ออ่านจบก็รู้ทันที ในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ท่านอ๋องเท่านั้นที่หงุดหงิด แม้แต่เขาเองก็คิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นในเวลานี้
“อะไรกันนี่ เหตุใดจึง…เป็นนาง”
“เสด็จพ่อคงเกรงว่าข้าจะทำผลงานมากเกินไปจนล้ำหน้าองค์รัชทายาทหรืออย่างไรถึงได้สร้างเรื่องเหลวไหลนี่ขึ้นมา เอ่อ ข้าไม่ได้ว่าเจ้ากับสกุลฟางนะอี้หลงแต่การจับคู่เช่นนี้ข้าคงยอมไม่ได้”
“กระหม่อมเข้าใจพระองค์ดีพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อไม่ได้รักกันเหตุใดจึงประทานสมรสเช่นนี้”
“น้องสาวของเจ้า หากข้าจำไม่ผิดมีอยู่สองคนใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าน้องสาวคนเล็กน่าจะยัง…ไม่สิ อายุนางปีนี้ก็น่าจะครบสิบห้าพอดีแต่ถ้าถามกระหม่อม ในราชโองการนี้คงจะหมายถึงหลีม่านมากกว่าเพราะว่านางอายุย่างเข้าสิบแปดแล้ว”
“ช่างเถอะ เอาไว้เสร็จศึกนี้แล้วเข้าเมืองซีโจวสอบถามดูก็คงจะรู้ความ”
หยางห่าวหรานมาแช่น้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ แม้ว่าเรื่องราชโองการสมรสจะเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายแต่เพราะเจ้าสาวมาจากสกุลฟางซึ่งนับเป็นสกุลแม่ทัพ อีกทั้งฟางอี้หลงเป็นสหายคนสนิทที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาหลายสมรภูมิ หากว่าเกี่ยวดองเป็นญาติกันก็คงไม่แปลกอันใด
“ฟางหลีม่านงั้นหรือ”
ห่าวหรานจำได้เพียงแค่เสียงแหลม ๆ ของเด็กหญิงวัยที่อ่อนกว่าเขาแต่ใบหน้านั้นเขาจำไม่ได้เพราะพบนางเพียงสองครั้งที่ลานล่าสัตว์ อีกครั้งดูเหมือนจะเป็นพิธีศพของพระสนมหยางซึ่งนางมากับอี้หลงแต่เขาในตอนนั้นแทบจะจดจำใครไม่ได้เลยสักคน เพราะในหัวใจเขามีเพียงความแค้น หลังจากนั้นจึงขออาสาฮ่องเต้ออกศึกไม่หยุดพักจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นมาจนถึงตอนนี้
“แต่งงาน พระชายางั้นหรือ มีผู้ใดที่อยากจะเป็นพระชายาอ๋องกระหายเลือดอย่างข้ากันเล่า นี่มันเรื่องน่าขำอันใดกัน”
...............................................
“ข้าอย่างไรเล่า ข้าอยากจะเป็นพระชายาท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าจะรับราชโองการครั้งนี้เอง”
“ม่านเอ๋อร์…. เฮือก!!”
“ฮูหยินใหญ่!! เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอายาหอมมาเร็ว!!”
ฮูหยินรองและน้องสามของนางรีบวิ่งเข้าไปพยุงมารดาของนางที่กำลังจะเป็นลมอีกครั้งหลังจากที่สกุลฟางได้รับราชโองการตามที่แม่ทัพฟางได้เกริ่นเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะส่งราชโองการนั้นมารวดเร็วจนนางรับไม่ทัน
“ราชโองการแห่งโอรสสวรรค์ บุตรีของสกุลฟางมากล้นด้วยความสามารถเปี่ยมคุณธรรม สกุลฟางทำชื่อเสียงให้กับซีโจวและแคว้นฉางอานเป็นที่ประจักษ์ ข้าในนามโอรสสวรรค์ขอประทานการหมั้นหมายระหว่างบุตรีสกุลฟางและชินหยางอ๋องแห่งราชวงศ์ จบราชโองการ”
หลังจากอ่านราชโองการจบ ฮูหยินใหญ่ก็ทรุดกายลงทันทีเพราะไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้ว่าชื่อเสียงของชินอ๋อง “หยางห่าวหราน” จะเป็นที่โด่งดังไปทั่วแคว้นแต่การที่สมรสกับเขาก็เท่ากับพร้อมจะเป็นหม้ายได้ตลอดเวลาซึ่งนางไม่หวังจะให้เป็นเช่นนั้น
“ไม่นะ ม่านเอ๋อร์แม่ไม่ยอม ท่านพี่….”
“เฮ้อ ราชโองการมาถึงแล้วเราทำสิ่งใดไม่ได้แล้วล่ะ”
“พี่รอง ท่านจะไปจริง ๆ หรือ เช่นนั้นให้ข้า...”
“หรูเอ๋อร์!! เจ้าหุบปากไป”
“แม่รองท่านไม่ต้องห่วงข้าไม่ให้นางไปแทนข้าหรอก ข้าจะไปเองท่านพ่อเจ้าคะ ตามราชโองการต้องส่งลูกไปที่เมืองลู่โจวก่อนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ม่านเอ๋อร์ เจ้า…ตัดสินใจแน่แล้วงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะลูกตัดสินใจแล้ว นอกจากนี้ลูกก็จะได้พบพี่ใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ไม่ได้กลับมาเกือบห้าปีแล้วนะเจ้าคะ”
แม่ทัพฟางหันไปมองฮูหยินที่น้ำตาไหลรินแต่ในยามนี้ความตั้งใจของบุตรสาวคงไม่มีสิ่งใดห้ามได้ ฟางฮูหยินทราบอยู่แล้วว่าหลีม่านเป็นคนที่ตั้งมั่น หากว่านางจะทำสิ่งใดแล้วไม่มีทางถอยจนกว่านางจะพ่ายแพ้
“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็อยู่แต่ในจวนที่เมืองลู่โจว ที่นั่นมีพี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ พิธีสมรสก็ยังไม่ได้ประกาศมีเพียงประทานการหมั้นหมายเท่านั้น เอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ”
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะเจ้าคะ ท่านอย่าลืมสิว่าที่เมืองลู่นั่นมีจวนของท่านตาอยู่ ข้าไม่ได้ตัวคนเดียวหากว่ามีใครรังแกข้าละก็ข้าจะวิ่งไปฟ้องท่านตา”
“ม่านเอ๋อร์เจ้าไม่เข้าใจแม่เสียเลย พี่ใหญ่ของเจ้าก็ออกศึกกับท่านอ๋องร่วมห้าปีโดยที่ไม่กลับบ้าน แล้วนี่เจ้ายังจะ…. เจ้าจะให้แม่ขาดใจตายเลยหรืออย่างไร”
“ท่านแม่เจ้าคะ”
“ฮูหยิน ใช่ว่าม่านเอ๋อร์จะต้องไปอยู่ที่ลู่โจวตลอดเสียหน่อย ครั้งนี้หากจบศึกท่านอ๋องและหลงเอ๋อร์ก็ได้กลับมาประจำที่ซีโจวแล้ว รออีกไม่นานหรอกเจ้าก็อย่าได้คิดมากไป”
“ท่านพี่ก็พูดเช่นนี้แต่ว่าม่านเอ๋อร์เป็นสตรี นางไม่เคยออกจากจวนไปที่ใดนานขนาดนี้”
“แต่ว่าจะช้าหรือเร็วม่านเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงานออกเรือนไปอยู่ดี เทียบกับต้องแต่งออกไปที่จวนท่านโหวหยวนกับชินหยางอ๋อง เจ้าจะเลือกผู้ใดเล่าฮูหยิน”
“ท่านพี่นี่ท่านกำลังข่มขู่ข้างั้นหรือเจ้าคะ”แม่ทัพฟางรู้ดีว่าต่อให้ต้องเลือกนางก็ไม่อยากได้ท่านโหวน้อยที่ดูกะล่อนของสกุลหยวน“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าไม่ได้ชอบ "หยวนเสี่ยวผิง" ท่านวางใจได้ข้าไม่มีทางแต่งกับเขาหรอกเจ้าค่ะ"“แต่ว่า…เฮ้อ ช่างเถอะหากว่าเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นแล้วแม่ก็คงสุดจะห้าม เช่นนั้นแม่จะเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านตาเจ้า ท่านพี่ท่านเองก็ส่งไปที่กองทัพเพื่อให้หลงเอ๋อร์ด้วย”“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก แม้ว่าท่านอ๋องจะทรงกรำศึกหนักขนาดไหนแต่ข้าเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ละทิ้งม่านเอ๋อร์ของพวกเรา เจ้าอย่าลืมสิว่าหลงเอ๋อร์เป็นสหายร่วมศึกของพระองค์”“ข้าทราบเจ้าค่ะ”หอหงซื่อ ก่อนเดินทางเพียงสามวันฟางหลีม่านก็ออกมาเดินเล่นและฟังละครที่โรงละครเลื่องชื่อของซีโจวกับสาวใช้ของนางซึ่งพวกนางมาที่นี่เป็นประจำอยู่แล้วแต่วันนี้กลับมีแขกที่นางเองก็ไม่คิดว่าจะพบที่นี่“หลีม่าน เจ้าจะรับหมั้นกับท่านอ๋องจอมโหดผู้นั้นจริงเหรอ”“ท่านโหวน้อย ท่านมาที่นี่ได้เช่นไรกัน”“หยวนเสี่ยวผิง” ไม่เพียงเข้ามาแต่เขาเดินมานั่งข้าง ๆ นางอีกด้วย หยวนเสี่ยวผิงชอบพอฟางหลีม่านมานานแล้วนับตั้งแต่นางเข้าพิธีปักปิ่น เขาก็ลดนิสัยเจ้าชู้แล
หยวนเสี่ยวผิงเดินลงมาจากม้าและพุ่งตัวเข้ามาหาฟางหลีม่านทันทีเมื่อนางยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมระหว่างที่คณะเดินทางได้จอดเพื่อให้ม้าได้พัก“ตามเจ้าทันจนได้ คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้”“ท่านโหวน้อยนี่ท่าน…มาท่องเที่ยวหรือ”“ข้าหรือ ข้าก็ตามเจ้าไปที่ลู่โจวอย่างไรเล่าจะพูดเช่นไรดี ข้ามีจวนอยู่ที่นั่นและท่านพ่อเองก็วานให้ข้าไปดูแลกิจการผ้าไหมที่นั่นสักหน่อยจะเรียกว่าบังเอิญก็ได้กระมัง”“หึหึ ช่างบังเอิญได้จังหวะดีเสียจริงเลยนะ”“หลีม่านเจ้าจะไปที่ใด แล้วถ้าไปที่ลู่โจวแล้วเจ้าจะพักที่ใดงั้นหรือ คงไม่ใช่ค่ายทหารหรอกนะ ข้าว่าอย่างไรแล้วเจ้าไปพักกับข้าที่จวนสกุลหยวน...”“ท่านตาข้าเองก็มีจวนที่นั่น ขอโทษด้วยท่านโหวน้อยข้าไม่ไปกับท่าน เราเพียงแค่บังเอิญมาพบกันเท่านั้น ม้าของข้าพักพอเมื่อใดก็จะรีบเดินทางทันที”“ไม่เอาน่าหลีม่าน เจ้ากับข้าก็จะไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ข้าเองก็พาคนคุ้มกันมามากเดินทางหลาย ๆ คนปลอดภัยกว่านะ”“เจียวจูข้ารู้สึกปวดหัวขอไปพักบนรถม้าหน่อยพร้อมแล้วก็มาบอกข้าก็แล้วกัน”“อ้าว เดี๋ยวสิหลีม่าน ข้า…”“ท่านโหวเจ้าคะ คุณหนูข้าพูดชัดเจนแล้วหวังว่าท่านจะไม่ตามนางไป ถึงอย่างไรคุณหนูข้าในตอนน
“เจ้าว่าอะไรนะ!!”“ท่านตาท่านก็รู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด ข้าเองก็อยากจะพบพี่ใหญ่กับ…ว่าที่คู่หมั้นของข้าเสียหน่อย ในเมื่อจะต้องเป็นว่าที่พระชายาแล้วเหตุใดจะไปไม่ได้”“เจ้าคิดว่าที่นั่นเป็นอะไร สนามเด็กเล่นหรืออย่างไรไม่เอาน่าเหยาเหยา อย่าให้ตาต้องทำผิดต่อแม่ของเจ้า เพียงแค่เจ้าเดินทางมาที่นี่นางก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”“ท่านตาเจ้าคะ หากท่านไม่ยอมให้ข้าไปถึงอย่างไรข้าก็ต้องแอบไปอยู่ดี”“นี่เจ้า!!”“ท่านก็รู้นิสัยข้าดีนี่เจ้าคะ เลือดของข้ากึ่งหนึ่งมาจากสกุลหมอเทวดา อีกกึ่งหนึ่งเป็นขุนพลกอบกู้แผ่นดิน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรอกเจ้าค่ะ”“เฮ้อ…แต่ว่าเจ้าจะไปเพิ่มภาระให้พี่ชายเจ้าหรือไม่ เขาจะเป็นห่วงหากรู้ว่า…”“ท่านก็อย่าบอกพี่ใหญ่สิเจ้าคะ แค่ท่านไม่บอกพวกเขาและส่งข่าวให้พวกเขารู้ว่าข้าปลอดภัยอยู่ที่จวนท่าน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”“นี่เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดแผนการนี้มาตั้งแต่ออกจากซีโจวหรอกนะ”ตงมู่ฟานมองหลานสาวอย่างรู้ทันความคิด เขาเลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กเหตุใดจะไม่รู้นิสัยของนาง“ท่านตา หลานเป็นทายาทของหมอที่เก่งที่สุดในสามแคว้น ท่านจะไม่ให้โอกาสข้าได้ใช้วิชาที่ท่านสอนเลยหรื
“ท่านหมอ!! ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”ฟางอี้หลงเดินเข้ามาเพราะเขาคิดว่านางตะโกนเรียก แต่เมื่อเข้ามาก็เห็นว่าท่านหมอเดินหันไปมาและไม่ได้พูดอะไร นางสวมผ้าคลุมหน้าอีกครั้งเมื่อเขาเข้ามา"มะ ไม่มีอะไรตอนนี้ข้าเย็บแผลให้แล้ว ยะ ยานี่ท่านให้คนต้ม ไม่ดีกว่า ท่านไปเตรียมเตาเล็กมาให้ข้าที่นี่ ข้าจะต้มเองเพราะตำรับยานี้ต้องระวังหากต้มไม่ดีจะรักษาหายช้า“ได้ ข้าจะรีบไปให้คนเตรียมมาให้”อี้หลงเดินออกไปแล้วนางจึงได้เดินและแกะผ้าคลุมหน้าออกเพราะรู้สึกร้อนแม้ว่าอากาศข้างในนี้จะหนาวก็ตาม ท่านอ๋องที่ทำแผลเสร็จแล้วเริ่มดิ้นแต่ก็ยังไม่ได้สติ“หากทำแผลแล้วตามเวลาที่เรียนมาต้องฟื้นในอีกสองชั่วยาม รีบต้มยาก่อนดีกว่าฟื้นขึ้นมาจะได้ดื่มได้เลย”หลีม่านเริ่มแกะกล่องที่ใส่ยาสำคัญ ๆ มาและเริ่มตรวจสอบก่อนที่อี้หลงจะยกเตาต้มยาขนาดเล็กเข้ามาให้นางในห้องนอนท่านอ๋อง นางเริ่มต้มยาทันทีพร้อมกับสั่งให้คนออกไปข้างนอกให้หมดเพราะท่านอ๋องต้องการพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาที่รอต้มยานางก็มักจะหันไปเช็ดใบหน้าของเขาเพราะเหงื่อที่เริ่มท่วมออกมา“คิดไม่ถึงว่าท่านจะเปลี่ยนไป และ…รูปงามขึ้นถึงเพียงนี้”หลีม่านเผลอตัวเอานิ้วมือไปลูบตามจมู
“โอ๊ย!!”“แย่แล้ว ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…"“ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปถามเช่นนั้น ลืมไปเถอะข้าจะไม่กวนเจ้าแล้ว”นางตกใจจนเผลอกดแผลของเขาแรงเกินไปจนทำให้ท่านอ๋องร้องออกมา ฟางหลีม่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะมีสมาธิเมื่ออยู่ตรงหน้าบุรุษเช่นท่านอ๋อง แม้แต่เสียงนุ่ม ๆ ทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อยก็ทำให้หัวใจนางกระเจิดกระเจิงไปไกลเหลือเกิน กว่าจะทำแผลจนเสร็จก็ใช้เวลานานเพราะร่างที่ใหญ่กว่านางทำให้ต้องใช้เวลาพันแผลอยู่พักใหญ่“สะ เสร็จแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจ แล้วเจ้า…”“กระหม่อมจะรีบไปแจ้งท่านรองแม่ทัพว่าพระองค์ฟื้นแล้ว จะได้ยกยาที่เหลือมาให้เสวยพ่ะย่ะค่ะ”นางรีบคำนับให้เขาลวก ๆ และเดินออกไป ห่าวหรานรู้สึกแปลกใจกับท่าทีเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะตกใจแต่ก็นึกขำเพราะไม่เคยเห็นผู้ใดที่กลัวเขามากขนาดนั้นมาก่อน แม้ว่าจะพอรู้ว่าคนอื่น ๆ ร่ำลือว่าเขาเป็นอ๋องจอมโหด อ๋องกระหายเลือดก็ตาม“ข้าไม่ใช่ผีเสียหน่อย”“ท่านอ๋อง!!”อี้หลงและต้าเป่ารีบวิ่งเข้ามาเมื่อหลี่เหยาเดินออกไปแจ้งทั้งสองว่าท่านอ๋องฟื้นแล้ว ทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันที“พวกเจ้าตื่นเต้นอะไรกันข้าตกใจหมดเลย”“พระองค์ทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะพระวรกายของพระองค์มีค่าดุจทองคำ กระหม่อมเป็นเพียงผู้น้อย...”“ช่างเถอะ ๆ เจ้าออกไปได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องหันไปมองตามหลี่เหยาที่เดินออกจากห้องไปและหันกลับมาคิด แม้ว่าหลี่เหยาจะสวมผ้าคลุมที่ปิดช่วงปากเอาไว้แต่สายตากลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นสายตาคู่นี้มาก่อนเพียงแต่นึกไม่ออก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้กลิ่นกายเหมือนกับวันแรกที่พบหลี่เหยาแต่กลิ่นนั้นก็ยังติดจมูกของเขาราวกับฝังเป็นความทรงจำ“เห็นทีข้าคงบาดเจ็บจนเลอะเลือน” ห้องยา “เหยา…. หลี่เหยา!!”“อ้อ ว่าอย่างไรนะ”“ข้าถามว่าเจ้าจะฝากยาให้ข้าเอาไปให้พี่อี้หลงหรือไม่”“อ้อ มะ ไม่ต้องหรอก”“เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนละขอบใจเจ้ามากเลยสำหรับยานี้เอาไว้ข้าพบท่านรองแม่ทัพ…ถวายบังคมท่านอ๋อง”ท่านอ๋องและฟางอี้หลงเดินเข้ามาพอดี เมื่อหลี่เหยาเงยหน้าไปเห็นท่านอ๋องที่แต่งกายชุดลำลองเดินเข้ามากับพี่ใหญ่ของนางก็ทำเอาหัวใจนางเต้นแรงดุจกลองศึกอีกครั้ง นางยังไม่เคยเห็นเขาสวมชุดอื่นมาก่อนและยังเกล้าผมเผยใบหน้าที่หล่อเหลาราวเซียนปั้นนั้นด้วย“ถะ ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถอะ”“พี่อี้หลงท่านมาพอดีเลยหลี่เหยาเ
ท่านอ๋องตกตะลึงกับใบหน้าที่เรียบเนียนดุจสตรีตรงหน้า หลี่เหยานั้นยังไม่รู้ตัวว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดไปแล้วเพราะนางสนใจแต่บาดแผลและรีบซับเลือดให้กับเขาทันที“ขอประทานอภัยกระหม่อมเลินเล่อจนทำให้…”ท่านอ๋องหันมาคว้ามือนางและจับให้หันมา เขาสบตานางอีกครั้งจนแน่ใจในตอนนี้นี่เอง แม้ว่าจะใช้เสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัด แต่รูปร่างและผิวพรรณนี้เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน“เจ้า…หน้าของเจ้า…”หลี่เหยาพึ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดออกไปเสียแล้วเมื่อเริ่มควานหาแต่ท่านอ๋องจับมันโยนทิ้ง“ไม่ต้องใช้แล้ว เจ้ารีบทำแผลก่อนที่มันจะปริออกอีกรอบหนึ่งเถอะ”“แต่ว่า…”“หน้าเจ้าหรือแผลของข้าที่สำคัญกว่า”“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เสียงอ่อยที่ลืมดัดนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจและฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเป็นสตรีอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ แต่ว่า..นางคือผู้ใดแล้วเหตุใดท่านหมอตงจึงได้ส่งนางมายังค่ายทหารแห่งนี้ หรือว่าหมอตงผู้เฒ่าเขาเองก็ไม่ทราบว่านางเป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นความลับนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สินะ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยนางปิดเป็นความลับ“กระหม่อมจะเริ่ม…ตัดไหมอีกครั้ง คราวนี้หากว่าพระองค์เจ็บก็บอก
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”ห่าวหรานหันไปมองใบหน้าที่มีผ้าที่ปิดบังเอาไว้แต่เขาเห็นมาหมดแล้วรวมถึงเรือนร่างที่น่าหลงใหลนั่นด้วย ใจเขานึกอยากจะกระชากผ้าคลุมหน้านั้นออกเสียเหลือเกินจะได้เห็นริมฝีปากสีอ่อนนั้นอีกครั้ง“เปล่า ข้าไม่ได้มีธุระกับเจ้า”“เช่นนั้นพระองค์…”“ค่ายนี้ข้าเป็นแม่ทัพ ข้าจะเดินไปที่ใดต้องแจ้งใครด้วยงั้นหรือ”“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิกล้า”“ให้มันไม่กล้าอย่างที่ปากเจ้าพูดเถอะ”“เอ๊ะ กระหม่อม…”พูดเสร็จก็เดินหันกลับออกไป ท่าทีของเขาไม่ต่างกับโมโหผู้ใดมาเพราะแม้แต่องครักษ์อย่างต้าเป่าก็ยังรีบหนีทันที เหลือแค่หลี่เหยาที่เป็นสนามอารมณ์รองรับเขาอยู่คนเดียว“อะไรอีกละเนี่ย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยมิใช่หรือโมโหอะไรของเขานักหนาละนี่”เย็นวันนั้น“รายงานพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไรเหตุใดจึงแตกตื่นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”ท่านอ๋องและเหล่านายกองคนอื่น ๆ หันไปมองหน่วยลาดตระเวนที่ออกไปพร้อมกับฟางอี้หลงแต่ตอนกลับมาพวกเขากลับบาดเจ็บและกลับมาเพียงสองคน“เกิดอะไรขึ้น ฟางอี้หลงล่ะ”“ทูลท่านอ๋อง รองแม่ทัพถูกข้าศึกจับไปพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ!!”“เพล้ง!!”หมอหลี่เหยาที่กำ