เธอหยิบรากบัวที่ดึงขึ้นมาจากน้ำได้รากบัวอวบๆก็ถูกจับมุ่งหน้าไปยังครัวไฟ หลินเฟิงมีดเล่มเล็กที่มีอยู่เล่มเดียวในครัวมาปลูกเปียกนอกของรากบัวออกก่อนจะเอาไปล้างน้ำให้สะอาด พร้อมขึ้นเคียงหั่น รากบัวสีขาวราวหิมะถูกหั่นออกมาเป็นแว่นๆอย่างสวยงาม
ร่างบางหลังจากหั่นรากบัวแช่น้ำเรียบร้อยแล้วเธอจึงหันไปทางตะเเกรงไฟสามขาที่ไฟกำลังลุกอีกทั้งประกายไฟก็แตกออกมาอย่างร่าเริง
หม้อดินเผาที่ใส่น้ำครึ่งหม้อถูกยกขึ้นค้างบนตะแกรงเหนือไฟ หญิงสาวทิ้งน้ำในหม้อร้อนเดือดขึ้นจึงหยิบตะเกียงไฟเก่าๆฝุ่นเขลอะเหมือนไม่ได้ใช้งานมาราวๆร้อยกว่าปีแล้วอีกทั้งเชื้อเทียนที่อยู่ด้านในก็ยังเหลือเยอะอยู่
หญิงสาวรีบจุดไฟในตะเกียงเพื่อให้ใช้น้ำทางไปยังสระบัวหลังบ้านอีกครั้งเพื่อที่จะไปเก็บฝักบัวเพื่อนำดีบัวด้านในมาต้มชาให้กลายเป็น "ชาดีบัว" พอเธอไปถึงก็พบว่าน้ำขึ้นสูงกว่าเมื่อตอนกลางวันมาก
นั่นก็เป็นเพราะนี่คือตอนกลางแถมซ้ำยังเป็นคืนจันทร์เต็มดวงแสงจันทร์สีทองอร่ามไปทั่วพอกระทบกับน้ำที่อยู่ในสระก็เป็นแสงระยิบระยับชวนมอง
มือเรียวรีบเอื้อมลงไปเก็บฝักบัวและเมื่อได้ตามต้องการแล้วจึงใคร่ยืนดูน้ำที่มีแสงจันทร์สะท้อนเกือบลืมไปว่าเธอค้างหม้อดินต้มน้ำไว้อยู่
จางหมิ่นบังคับร่างกายของหลิงเฟิงวิ่งกุลีกุจอตรงไปยังครัวไฟพร้อมฝักบัวหลายฝักกับตะเกียงในมือทันทีพอมาถึงก็เห็นน้ำที่เดือดในหม้อดินผุดๆอย่างสำราญใจ
"ชู่วว~ เกือบไปแล้วช้ากว่านี้ไฟคงได้ไหม้หม้อเป็นแน่"
มือเรียวเริ่มคว้ารากบัวหยิบลงไปในหม้ออย่างระมัดระวังไม่ให้น้ำกระเด็นขึ้นมาลวกมือตนเองจนสุกเสียก่อนรากบัวจะสุก
มือเรียวๆหยิบฝาหม้อดินที่ถูกขัดหยาบๆมาปิดไว้ก่อนจะลงมือแกะฝักบัวพร้อมหั่นเอาดีบัวออกมาเตรียมทำน้ำชา
"ไม่เเปลกที่จะไม่เจริญอาหารกระเพาะอาหารมีรสจืดชืดนี่เองหลินเฟิงถึงไม่ยอมกินจนไม่เหลือเคล้าคุณหนูตระกูลผู้ดีมีสตางค์ขนาดนี้"
จางหม่นพึมพำในริมฝีปากเบาๆก่อนจะมีเสียงขึ้นมาขัดความคิดของเธอ
"นั่นเจ้ากำลังทำอะไร?"
เสียงเย็นชาประดุจน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือของผู้ชายหน้าตายดังขึ้นข้างหลังเธอ หญิงสาวไม่จำเป็นต้องหันมองก็รู้ว่าเป็นใคร
"อ่อข้ากำลังเดินขึ้นเขา"
หญิงสาวตอบสวนกลับไปอย่างไม่คิดเมื่อตัวของชายปริศนายิงคำถามว่าหาเธอ แต่คำตอบของเธอทำให้ใบหน้าที่ตายอยู่แล้วของชายหนุ่มยิ่งแข็งทื่อเข้าไปใหญ่
"อย่ามาปลิ้นปล้อนตลบตะแลงต่อหน้าข้านะก็เห็นๆอยู่ว่าเจ้ากำลังทำกับข้าว"
"ก็รู้นิแล้วจะถามทำไม"
จางหมิ่นพึมพำเบาๆ คิ้วของชายหนุ่มกระตุกเห็นเมื่อว่าหญิงสาวพึมพำบ่นเขาในลำคอ
"นั่นเจ้าพูดอะไรเมื่อครู่"
"ก็เปล่านะเจ้าคะ"
"โกหก"
"ก็ในเมื่อรู้ว่าข้าโกหกแล้วจะถามทำไมล่ะเจ้าคะ"
"สามหาว"
สิ้นเสียงโต้กลับของชายหนุ่มร่างกายของหลินเฟิงค่อยๆ หันไปหาเขาพบคนที่เธอยังคิดว่าเป็นเจี้ยนหยียืนอยู่แต่ก็คงไม่ใช่แค่คิดแล้วเพราะหานเจียเจิงชายชราคนนั้นมีลูกชายแค่ 2คนลูกสาวอีก 1คนและเจี้ยนหยีเป็นลูกชายคนโตของเขา
ซึ่งชายแก่หานเจียเจิงเลี้ยงลูกสามคนมาตัวคนเดียวเหตุเป็นเพราะฮูหยินหาน หานจินเยว่ สียไปตั้งแต่นางคลอดหานจื่อรุ่ย กสาวคนเล็กของตระกูลหาน ป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่หานเจียเจิงหวงแหนราวกับหยกมณีล้ำค่าในชีวิตดวงน้อยๆ ของเขา
ร่างกายของหลินเฟิงแกล้งทำเป็นหาวฟอดๆสามครั้งพลันใบหน้าตายซ้ำซากของชายหนุ่นเกิดแดงขึ้นจากความโมโหแต่เขาก็ยังคงพยายามนิ่งเฉยตามเดิม
"อ่าวทำไมหน้าแดงล่ะข้าคิดว่าเป็นคำสั่งให้ข้าหาวเสียอีก"
จางหมิ่นพูดล้อเลียนชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านกอดอกแววตาบึ้งตึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามทำหน้าว่างเปล่าก็ตาม แต่ความพยายามของเขาก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิงมีแต่จะทำให้หน้าตาเคล้าโคลงผู้ดีมีวาสนาของเขาบูดบึ้งไปด้วย
"น่ารำคาญจริงๆ"
เสียงทุ้มแผ่วเบาเล็ดออกมาตามไรฟันของเจี้ยนหยีชายหนุ่มมาดขรึมแต่ก็เถอะนะ มันก็ไม่ได้ทำให้จางหมิ่นกลัวเธอเพียงแค่ขำเบาๆ กับกิริยาของเขาเท่านั้น
"พอเถียงไม่สู้ก็บอกว่าข้าน่ารำคาญเจ้านี่มันเป็นคนยังไงกัน"
นั่นทำให้ใบหน้าที่แดงเหมือนเลือดไปเลี้ยงส่วนหัวของเขามากเกินไปก็ยิ่งสีเข้มขึ้นเหมือนกับว่าอีกนิดเลือดคงจะทะลักออกมาตามรูขุมขนหรือออกมาจากหูเขาแน่ๆ
"อย่าโกรธไปเลยหน่าข้าพูดความจริง รู้มั้ยตอนที่เจ้าโกรธหน้าเจ้าแก่ลงไปอีกสามปีเลยนะ"
หญิงสาวยังยุแหย่ชายหนุ่มต่อไปจนเขาทนไม่ได้จึงสะบัดชายผ้าและเดินหายลับเข้าไปในทางเดินมืดๆที่ไม่มีโคมไฟคอยติดไว้ตามทางเพราะว่าต้องประหยัดคบเทียนไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ
หลังจากที่ชายหนุ่มออกไปตอนนี้อาหารก็ถูกจัดอย่างเรียบร้อยแล้วแม้ว่าอาหารจะยังไม่ครับห้าหมู่แต่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย
รากบัวมีรสหวานทั้งยังช่วยบำรุงคนแก่เยี่ยงหานเจียเจิงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ต้มรากบัวค่อยๆถูกตัดใส่ถ้วยดินเผาห้าถ้าอย่างบรรจงสวยงามก่อนเธอจะยกออกไปและเห็นสาวน้อยจื่อรุ่ยนั่งกุมท้องอย่างเจ็บปวด
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมจางหมิ่นที่อดีตเคยเป็นหมอแม้จะอยู่ในแผนกผ่าตัดเธอก็เคยเรียนเรื่องนี้มาบ้างถาดสำรับถูกวางลงบนโต๊ะ
แล้วจึงรีบเข้าไปดูอาการของเด็กสาวแม้นทีแรกเธอจะดูรังเกียจรังชังจางหมิ่นอยู่แต่ด้วยอาการปวดท้องหนักขึ้นจนเธอแทบจะลงไปกองกับพื้นและดิ้นทุรนทุราย
สุดท้ายก็ยอมให้จางหมิ่นดูอาการแต่โดยดีพบว่าเธอเป็นโรคกระเพาะเข้าเสียแล้วจึงสั่งให้หรงเหยาที่ยืนมองอยู่ตรงนั้นรินชาดีบัวที่อยู่ในกามาให้เธอ
แม้นว่าหรงเหยาไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็คงต้องยอมทำตามแต่โดยดีเพราะน้องเล็กของเขาดิ้นเหมือนกำลังจะขาดใจก็ไม่ปาน
"อ่ะนี่กินนี่ก่อนมันช่วยบำรุงม้ามและยังอุ่นท้อง"
จางหมิ่นค่อยๆพยุงเด็กสาวขึ้นมาและป้อนน้ำชาให้เธอแม้น้ำชาจะไม่ขมมากพอที่เด็กสาวพอที่จะกลืนลงไปได้แต่จื่อรุ่ยไม่ได้รับสารอาหารที่มีรสชาติมาหลายปีแล้วนั่นทำให้หน้าเธอออกจะเหยเกอยู่บ้าง
"หรงเหยาไปตามพ่อกับพี่ใหญ่เจ้ามากินมื้อค่ำ"
เสียงใสๆของหลินเฟิงดังขึ้นเพื่อออกคำสั่งกับหรงเหยาเด็กหนุ่มแสนจะดื้อรั้นก่อนที่เขาจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปทางห้องเก็บฟืน
ในหมู่นี้มาในชาวเมืองของเสฉวนมักเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนบ่อยครั้ง แต่ซ้ำร้ายที่เหตุมักเกิดในบริเวณจุดเดียวกันราวกับว่าเป็นตัวตายตัวแทน ซึ่งในระยะหลายๆปีที่ผ่านมาก็เห็นจะมีเพียงปีนี้ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นติดต่อกันหลายเคส ร่วมๆก็ย่างเข้าเคสที่ 35 ไปแล้วแพทย์เองก็ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอนเคยหวั่นใจว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นอีกหรือไม่ยิ่งกู้ภัยก็ขยันเก็บเคสมากๆซึ่งในโค้งที่ว่านี้ตั้งอยู่ในที่เป็นทางผ่านออกนอกเมืองแต่กลับมีสถานที่รกร้าง สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบที่มองไม่เห็นทางออก ต้นไม้โค้งงอมาเชื่อมกันบนเหนือถนนราวกับว่าเป็นอุโมงค์ยักษ์ที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่งที่ย่างกลายเข้าไป ไม่มีผู้คนอาศัย ดูอับชื้นและวังเวงแม้จะเป็นตอนกลางวันต้นไม้เหล่านี้ก็ปิดแสงจากดวงอาทิตย์เหมือนกับว่าเป็นตอนกลางคืนอยู่ตลอดเวลาจึงไม่แปลกที่อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นที่นี่ผู้คนที่อาศัยในชนบทละแวกใกล้เคียงเล่าลือและล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า ทางเส้นนี้ 'น่ากลัว' ซึ่งจะเป็นหัวข้อหยิบยกขึ้นมาตั้งวงนินทาหากจะมีลูกหลานใครในละแวกต้องเดินทางผ่านอุโมงค์นี้ ผู้คนมักจะมากล่าวคำร่ำลาเหมือนกับว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วของคนผู้นั้นเรื่องนี้ถูกนำ
ดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนเหมือนลูกกวางทรายค่อยๆ ปรือขึ้นมา สายตาคู่นั้นค่อยๆ กวาดไปในสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ควรซึ่งจะเป็นโรงพยาบาลหรือในรถของเธอเอง แต่ในใจลึกๆเธอยังภาวนาให้เธอเห็นว่านี่คือห้องนอนของเธอและทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันฉากนึงเท่านั้นแต่ที่เธอคาดหวังและคิดไว้ก็ไม่ใช่สักอย่างแต่ภาพที่เธอเห็นคือห้องเก่าๆ ฝุ่นเขลอะหยากไย่เกาะทั่วมุมหลังคาสังกะสีที่เก่าเหมือนร้อยปีที่แล้วดวงตาสีใสเริ่มค่อยๆมองไปทางทิศที่แสงแยงเข้ามาในดวงตาของเธอ พบบานหน้าต่างเก่าๆที่ปิดเข้ามาไม่สนิท'แต่หากก็คงจะพอบังฝนได้แต่หากลมพัดมาแรงๆคงไม่วายหลุดกระเด็น'จางหมิ่นที่คิดคำนึงภายในใจก็แต่คิดใคร่หัวเราะออกมาพร้อมๆ กับการพยุงตัวขึ้นและอวดครวญจากการเมื่อยตัวเพราะนอนอยู่บนพื้นแข็งๆ ที่มีเพียงฟางปูนอนเท่านั้นสายตาคู่สวยมองไปยังฝุ่นที่เขลอะฉาบหนาหลายชั้นบนพื้นที่มีฟางวางระนาบยาวไปทั่วห้องก่อนจะลองใช้นิ้วแตะๆ จิ้มๆ จึงพบว่าที่เธอเห็นใต้ฟางหาได้ใช่ฝุ่นไม่แต่มันคือดินแห้งๆ อย่างกับสภาพอากาศร้อนจนดินแตกกร้าน"ก็ท่านพี่เจี้ยนหยีไม่รู้จะแต่งนางเข้ามาทำไมขี้เกียจตัวเป็นขน!"เสียงผู้หญิงที่มีวัยประมาณ 12-13 ปีเล็ดผ่า
จางหมิ่นในร่างของสาวน้อยหลินเฟิงนั่งพินิจดอกบัวและสระบัวอยู่ครู่ใหญ่ราวๆหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้พลันก็หมุนเม็ดบัวรสฝาดไปมาในมือเรียวยาว"เม็ดบัวนี้ดูเหี่ยวเร็วจังทั้งๆที่พึ่งเด็ดขึ้นมา"ร่างบางพึมพำก่อนที่ฟันซี่สวยจะค่อยๆบรรจงลงที่เนื้อเม็ดบัวอีกครา มันมีรสชาติดีขึ้นนิดหน่อยดีบัวก็ไม่ขมมากเหมาะยิ่งกับการนำไปทำอาหารหากแต่ทว่าเม็ดบัวนี้คงมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์สูงในน้ำเนื่องจากแดดร้อนและสภาพอากาศที่แห้งแล้งแต่ก็ดูขัดแย้งที่สระน้ำแห้งนี้น้ำใสอีกทั้งดอกบัวยังบานสะพรั่งเต็มสระอีก"คนเขียนนิยายเล่มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงได้สร้างให้ออกมาย้อนแย้งขนาดนี้"เธอไม่ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวมือเรียวของเธอยื่นไปคว้าก้านใบบัวก้านหนึ่งและหักมัน'แกร๊ก'ใบบัวก้านนั้นถูกมือเรียวยาวหักพลันสอดส่องดูในข้อต่อที่ถูกหักเมื่อสักครู่อย่างใคร่รู้ใคร่เห็นและสิ่งที่เธอได้พบก็เป็นที่น่ายินดีและประหลาดใจนักเหตุเพราะก้านบัวทั่วไปหากถูกหักจะมีใยๆคล้ายคลึงกับใยแมงมุมบางๆยาวแต่หากสิ่งที่เธอพบคือในใยบัวเป็นช่องลึกโหลมีเนื้อหุ้มขาวๆเป็นเส้นอยู่รอบภายในก้านของใบเบาอย่างสม่ำเสมอและยาวสั้นเท่าๆ กันเพียงแต่ภายนอกของก้านบัว
แสงแดดแก่ๆของยามเว่ยส่องกระทบแผดเผาร่างบางของสาวน้อยหลินเฟิง ที่นอนขนาบราบบนโขดหินข้างสระบัว หญ้าสูงรอบสระบังเรือนร่างของสาวน้อยจนมิดเหตุเพราะบัดนี้ผู้คนในบ้านได้ขึ้นเขาเพื่อไปในป่าลึกที่จะหาของป่ามาไว้ทำอาหารเย็นเสียจนหมดแล้วเหลือเพียงร่างเล็กที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าบ้านราวกับลูกหมาเหตุเพราะความคิดมากมายที่อยู่ในใจแม้แสงแดดจะร้อนหญิงสาวก็ลืมความร้อนไปจนสิ้นเหลือเพียงความคิดยิ่งใหญ่ของเธอที่จะทำอย่างไรให้เม็ดบัวในสระนำมาขายสร้างกำไรให้กับครอบครัวนี้ได้"อืม.. แดดร้อนขนาดนี้แต่บัวก็ยังอยู่ได้คาร์บอนในน้ำคงจะสูงมากแน่ๆอีกทั้งค่า ph คงจะสูงตาม""แต่หากให้แสงแดดส่องลงมาแต่พอดีล่ะ?"จางหมิ่นครุ่นคิดว่าหากจะสร้างซุ้มบังแดดให้ส่องเข้ามาได้แต่เพียงพอดีกรดในน้ำก็จะน้อยลงแล้วเม็ดบัวก็จะไม่เหี่ยวเร็วและฝาดกว่าเม็ดบัวจะฝาดก็คงมีเวลาพอที่เธอจะสามารถเก็บเม็ดบัวเหล่านี้เข้าไปขายอยู่ในตัวตำบลไข่โจวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านพระเอกก็ได้อยู่ ให้พอได้หาทุนได้สักนิดจะได้ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก แต่จะซื้ออะไรมาปลูกล่ะ? ในเมื่อดินก็แห่งกรังได้ขนาดนี้ตัวเธอเรียนจบหมอนะไม่ได้เรียนจบเกษตรกรความคิดของจางหมิ่นแล่นอยู่ในหัวข
เธอหยิบรากบัวที่ดึงขึ้นมาจากน้ำได้รากบัวอวบๆก็ถูกจับมุ่งหน้าไปยังครัวไฟ หลินเฟิงมีดเล่มเล็กที่มีอยู่เล่มเดียวในครัวมาปลูกเปียกนอกของรากบัวออกก่อนจะเอาไปล้างน้ำให้สะอาด พร้อมขึ้นเคียงหั่น รากบัวสีขาวราวหิมะถูกหั่นออกมาเป็นแว่นๆอย่างสวยงามร่างบางหลังจากหั่นรากบัวแช่น้ำเรียบร้อยแล้วเธอจึงหันไปทางตะเเกรงไฟสามขาที่ไฟกำลังลุกอีกทั้งประกายไฟก็แตกออกมาอย่างร่าเริงหม้อดินเผาที่ใส่น้ำครึ่งหม้อถูกยกขึ้นค้างบนตะแกรงเหนือไฟ หญิงสาวทิ้งน้ำในหม้อร้อนเดือดขึ้นจึงหยิบตะเกียงไฟเก่าๆฝุ่นเขลอะเหมือนไม่ได้ใช้งานมาราวๆร้อยกว่าปีแล้วอีกทั้งเชื้อเทียนที่อยู่ด้านในก็ยังเหลือเยอะอยู่หญิงสาวรีบจุดไฟในตะเกียงเพื่อให้ใช้น้ำทางไปยังสระบัวหลังบ้านอีกครั้งเพื่อที่จะไปเก็บฝักบัวเพื่อนำดีบัวด้านในมาต้มชาให้กลายเป็น "ชาดีบัว" พอเธอไปถึงก็พบว่าน้ำขึ้นสูงกว่าเมื่อตอนกลางวันมากนั่นก็เป็นเพราะนี่คือตอนกลางแถมซ้ำยังเป็นคืนจันทร์เต็มดวงแสงจันทร์สีทองอร่ามไปทั่วพอกระทบกับน้ำที่อยู่ในสระก็เป็นแสงระยิบระยับชวนมองมือเรียวรีบเอื้อมลงไปเก็บฝักบัวและเมื่อได้ตามต้องการแล้วจึงใคร่ยืนดูน้ำที่มีแสงจันทร์สะท้อนเกือบลืมไปว่าเธอค้างห
แสงแดดแก่ๆของยามเว่ยส่องกระทบแผดเผาร่างบางของสาวน้อยหลินเฟิง ที่นอนขนาบราบบนโขดหินข้างสระบัว หญ้าสูงรอบสระบังเรือนร่างของสาวน้อยจนมิดเหตุเพราะบัดนี้ผู้คนในบ้านได้ขึ้นเขาเพื่อไปในป่าลึกที่จะหาของป่ามาไว้ทำอาหารเย็นเสียจนหมดแล้วเหลือเพียงร่างเล็กที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าบ้านราวกับลูกหมาเหตุเพราะความคิดมากมายที่อยู่ในใจแม้แสงแดดจะร้อนหญิงสาวก็ลืมความร้อนไปจนสิ้นเหลือเพียงความคิดยิ่งใหญ่ของเธอที่จะทำอย่างไรให้เม็ดบัวในสระนำมาขายสร้างกำไรให้กับครอบครัวนี้ได้"อืม.. แดดร้อนขนาดนี้แต่บัวก็ยังอยู่ได้คาร์บอนในน้ำคงจะสูงมากแน่ๆอีกทั้งค่า ph คงจะสูงตาม""แต่หากให้แสงแดดส่องลงมาแต่พอดีล่ะ?"จางหมิ่นครุ่นคิดว่าหากจะสร้างซุ้มบังแดดให้ส่องเข้ามาได้แต่เพียงพอดีกรดในน้ำก็จะน้อยลงแล้วเม็ดบัวก็จะไม่เหี่ยวเร็วและฝาดกว่าเม็ดบัวจะฝาดก็คงมีเวลาพอที่เธอจะสามารถเก็บเม็ดบัวเหล่านี้เข้าไปขายอยู่ในตัวตำบลไข่โจวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านพระเอกก็ได้อยู่ ให้พอได้หาทุนได้สักนิดจะได้ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก แต่จะซื้ออะไรมาปลูกล่ะ? ในเมื่อดินก็แห่งกรังได้ขนาดนี้ตัวเธอเรียนจบหมอนะไม่ได้เรียนจบเกษตรกรความคิดของจางหมิ่นแล่นอยู่ในหัวข
จางหมิ่นในร่างของสาวน้อยหลินเฟิงนั่งพินิจดอกบัวและสระบัวอยู่ครู่ใหญ่ราวๆหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้พลันก็หมุนเม็ดบัวรสฝาดไปมาในมือเรียวยาว"เม็ดบัวนี้ดูเหี่ยวเร็วจังทั้งๆที่พึ่งเด็ดขึ้นมา"ร่างบางพึมพำก่อนที่ฟันซี่สวยจะค่อยๆบรรจงลงที่เนื้อเม็ดบัวอีกครา มันมีรสชาติดีขึ้นนิดหน่อยดีบัวก็ไม่ขมมากเหมาะยิ่งกับการนำไปทำอาหารหากแต่ทว่าเม็ดบัวนี้คงมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์สูงในน้ำเนื่องจากแดดร้อนและสภาพอากาศที่แห้งแล้งแต่ก็ดูขัดแย้งที่สระน้ำแห้งนี้น้ำใสอีกทั้งดอกบัวยังบานสะพรั่งเต็มสระอีก"คนเขียนนิยายเล่มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงได้สร้างให้ออกมาย้อนแย้งขนาดนี้"เธอไม่ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวมือเรียวของเธอยื่นไปคว้าก้านใบบัวก้านหนึ่งและหักมัน'แกร๊ก'ใบบัวก้านนั้นถูกมือเรียวยาวหักพลันสอดส่องดูในข้อต่อที่ถูกหักเมื่อสักครู่อย่างใคร่รู้ใคร่เห็นและสิ่งที่เธอได้พบก็เป็นที่น่ายินดีและประหลาดใจนักเหตุเพราะก้านบัวทั่วไปหากถูกหักจะมีใยๆคล้ายคลึงกับใยแมงมุมบางๆยาวแต่หากสิ่งที่เธอพบคือในใยบัวเป็นช่องลึกโหลมีเนื้อหุ้มขาวๆเป็นเส้นอยู่รอบภายในก้านของใบเบาอย่างสม่ำเสมอและยาวสั้นเท่าๆ กันเพียงแต่ภายนอกของก้านบัว
ดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนเหมือนลูกกวางทรายค่อยๆ ปรือขึ้นมา สายตาคู่นั้นค่อยๆ กวาดไปในสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ควรซึ่งจะเป็นโรงพยาบาลหรือในรถของเธอเอง แต่ในใจลึกๆเธอยังภาวนาให้เธอเห็นว่านี่คือห้องนอนของเธอและทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันฉากนึงเท่านั้นแต่ที่เธอคาดหวังและคิดไว้ก็ไม่ใช่สักอย่างแต่ภาพที่เธอเห็นคือห้องเก่าๆ ฝุ่นเขลอะหยากไย่เกาะทั่วมุมหลังคาสังกะสีที่เก่าเหมือนร้อยปีที่แล้วดวงตาสีใสเริ่มค่อยๆมองไปทางทิศที่แสงแยงเข้ามาในดวงตาของเธอ พบบานหน้าต่างเก่าๆที่ปิดเข้ามาไม่สนิท'แต่หากก็คงจะพอบังฝนได้แต่หากลมพัดมาแรงๆคงไม่วายหลุดกระเด็น'จางหมิ่นที่คิดคำนึงภายในใจก็แต่คิดใคร่หัวเราะออกมาพร้อมๆ กับการพยุงตัวขึ้นและอวดครวญจากการเมื่อยตัวเพราะนอนอยู่บนพื้นแข็งๆ ที่มีเพียงฟางปูนอนเท่านั้นสายตาคู่สวยมองไปยังฝุ่นที่เขลอะฉาบหนาหลายชั้นบนพื้นที่มีฟางวางระนาบยาวไปทั่วห้องก่อนจะลองใช้นิ้วแตะๆ จิ้มๆ จึงพบว่าที่เธอเห็นใต้ฟางหาได้ใช่ฝุ่นไม่แต่มันคือดินแห้งๆ อย่างกับสภาพอากาศร้อนจนดินแตกกร้าน"ก็ท่านพี่เจี้ยนหยีไม่รู้จะแต่งนางเข้ามาทำไมขี้เกียจตัวเป็นขน!"เสียงผู้หญิงที่มีวัยประมาณ 12-13 ปีเล็ดผ่า
ในหมู่นี้มาในชาวเมืองของเสฉวนมักเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนบ่อยครั้ง แต่ซ้ำร้ายที่เหตุมักเกิดในบริเวณจุดเดียวกันราวกับว่าเป็นตัวตายตัวแทน ซึ่งในระยะหลายๆปีที่ผ่านมาก็เห็นจะมีเพียงปีนี้ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นติดต่อกันหลายเคส ร่วมๆก็ย่างเข้าเคสที่ 35 ไปแล้วแพทย์เองก็ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอนเคยหวั่นใจว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นอีกหรือไม่ยิ่งกู้ภัยก็ขยันเก็บเคสมากๆซึ่งในโค้งที่ว่านี้ตั้งอยู่ในที่เป็นทางผ่านออกนอกเมืองแต่กลับมีสถานที่รกร้าง สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบที่มองไม่เห็นทางออก ต้นไม้โค้งงอมาเชื่อมกันบนเหนือถนนราวกับว่าเป็นอุโมงค์ยักษ์ที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่งที่ย่างกลายเข้าไป ไม่มีผู้คนอาศัย ดูอับชื้นและวังเวงแม้จะเป็นตอนกลางวันต้นไม้เหล่านี้ก็ปิดแสงจากดวงอาทิตย์เหมือนกับว่าเป็นตอนกลางคืนอยู่ตลอดเวลาจึงไม่แปลกที่อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นที่นี่ผู้คนที่อาศัยในชนบทละแวกใกล้เคียงเล่าลือและล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า ทางเส้นนี้ 'น่ากลัว' ซึ่งจะเป็นหัวข้อหยิบยกขึ้นมาตั้งวงนินทาหากจะมีลูกหลานใครในละแวกต้องเดินทางผ่านอุโมงค์นี้ ผู้คนมักจะมากล่าวคำร่ำลาเหมือนกับว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วของคนผู้นั้นเรื่องนี้ถูกนำ