“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
ในหมู่นี้มาในชาวเมืองของเสฉวนมักเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนบ่อยครั้ง แต่ซ้ำร้ายที่เหตุมักเกิดในบริเวณจุดเดียวกันราวกับว่าเป็นตัวตายตัวแทน ซึ่งในระยะหลายๆปีที่ผ่านมาก็เห็นจะมีเพียงปีนี้ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นติดต่อกันหลายเคส ร่วมๆก็ย่างเข้าเคสที่ 35 ไปแล้วแพทย์เองก็ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอนเคยหวั่นใจว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นอีกหรือไม่ยิ่งกู้ภัยก็ขยันเก็บเคสมากๆซึ่งในโค้งที่ว่านี้ตั้งอยู่ในที่เป็นทางผ่านออกนอกเมืองแต่กลับมีสถานที่รกร้าง สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบที่มองไม่เห็นทางออก ต้นไม้โค้งงอมาเชื่อมกันบนเหนือถนนราวกับว่าเป็นอุโมงค์ยักษ์ที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่งที่ย่างกลายเข้าไป ไม่มีผู้คนอาศัย ดูอับชื้นและวังเวงแม้จะเป็นตอนกลางวันต้นไม้เหล่านี้ก็ปิดแสงจากดวงอาทิตย์เหมือนกับว่าเป็นตอนกลางคืนอยู่ตลอดเวลาจึงไม่แปลกที่อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นที่นี่ผู้คนที่อาศัยในชนบทละแวกใกล้เคียงเล่าลือและล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า ทางเส้นนี้ 'น่ากลัว' ซึ่งจะเป็นหัวข้อหยิบยกขึ้นมาตั้งวงนินทาหากจะมีลูกหลานใครในละแวกต้องเดินทางผ่านอุโมงค์นี้ ผู้คนมักจะมากล่าวคำร่ำลาเหมือนกับว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วของคนผู้นั้นเรื่องนี้ถูกนำ
ดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนเหมือนลูกกวางทรายค่อยๆ ปรือขึ้นมา สายตาคู่นั้นค่อยๆ กวาดไปในสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ควรซึ่งจะเป็นโรงพยาบาลหรือในรถของเธอเอง แต่ในใจลึกๆเธอยังภาวนาให้เธอเห็นว่านี่คือห้องนอนของเธอและทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันฉากนึงเท่านั้นแต่ที่เธอคาดหวังและคิดไว้ก็ไม่ใช่สักอย่างแต่ภาพที่เธอเห็นคือห้องเก่าๆ ฝุ่นเขลอะหยากไย่เกาะทั่วมุมหลังคาสังกะสีที่เก่าเหมือนร้อยปีที่แล้วดวงตาสีใสเริ่มค่อยๆมองไปทางทิศที่แสงแยงเข้ามาในดวงตาของเธอ พบบานหน้าต่างเก่าๆที่ปิดเข้ามาไม่สนิท'แต่หากก็คงจะพอบังฝนได้แต่หากลมพัดมาแรงๆคงไม่วายหลุดกระเด็น'จางหมิ่นที่คิดคำนึงภายในใจก็แต่คิดใคร่หัวเราะออกมาพร้อมๆ กับการพยุงตัวขึ้นและอวดครวญจากการเมื่อยตัวเพราะนอนอยู่บนพื้นแข็งๆ ที่มีเพียงฟางปูนอนเท่านั้นสายตาคู่สวยมองไปยังฝุ่นที่เขลอะฉาบหนาหลายชั้นบนพื้นที่มีฟางวางระนาบยาวไปทั่วห้องก่อนจะลองใช้นิ้วแตะๆ จิ้มๆ จึงพบว่าที่เธอเห็นใต้ฟางหาได้ใช่ฝุ่นไม่แต่มันคือดินแห้งๆ อย่างกับสภาพอากาศร้อนจนดินแตกกร้าน"ก็ท่านพี่เจี้ยนหยีไม่รู้จะแต่งนางเข้ามาทำไมขี้เกียจตัวเป็นขน!"เสียงผู้หญิงที่มีวัยประมาณ 12-13 ปีเล็ดผ่า
จางหมิ่นในร่างของสาวน้อยหลินเฟิงนั่งพินิจดอกบัวและสระบัวอยู่ครู่ใหญ่ราวๆหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้พลันก็หมุนเม็ดบัวรสฝาดไปมาในมือเรียวยาว"เม็ดบัวนี้ดูเหี่ยวเร็วจังทั้งๆที่พึ่งเด็ดขึ้นมา"ร่างบางพึมพำก่อนที่ฟันซี่สวยจะค่อยๆบรรจงลงที่เนื้อเม็ดบัวอีกครา มันมีรสชาติดีขึ้นนิดหน่อยดีบัวก็ไม่ขมมากเหมาะยิ่งกับการนำไปทำอาหารหากแต่ทว่าเม็ดบัวนี้คงมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์สูงในน้ำเนื่องจากแดดร้อนและสภาพอากาศที่แห้งแล้งแต่ก็ดูขัดแย้งที่สระน้ำแห้งนี้น้ำใสอีกทั้งดอกบัวยังบานสะพรั่งเต็มสระอีก"คนเขียนนิยายเล่มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงได้สร้างให้ออกมาย้อนแย้งขนาดนี้"เธอไม่ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวมือเรียวของเธอยื่นไปคว้าก้านใบบัวก้านหนึ่งและหักมัน'แกร๊ก'ใบบัวก้านนั้นถูกมือเรียวยาวหักพลันสอดส่องดูในข้อต่อที่ถูกหักเมื่อสักครู่อย่างใคร่รู้ใคร่เห็นและสิ่งที่เธอได้พบก็เป็นที่น่ายินดีและประหลาดใจนักเหตุเพราะก้านบัวทั่วไปหากถูกหักจะมีใยๆคล้ายคลึงกับใยแมงมุมบางๆยาวแต่หากสิ่งที่เธอพบคือในใยบัวเป็นช่องลึกโหลมีเนื้อหุ้มขาวๆเป็นเส้นอยู่รอบภายในก้านของใบเบาอย่างสม่ำเสมอและยาวสั้นเท่าๆ กันเพียงแต่ภายนอกของก้านบัว
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม
ร่างของเขาถึงแม้จะเสร็จไปแล้วแต่ยังกระแทกต่อได้อีกหลายครั้ง นางพยายามที่จะดันเขาแต่ก็ไร้ผลเพราะมันแทบจะไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของเข้ายังวิ่งเข้าออกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นฤทธิ์ และแล้วเสียงครางจากปากเขาและพลิกตัวขึ้นนอนหงายโอบกอดนางเอาไว้ นางนอนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง นางจ้องมองมาที่เจี้ยนหยีอย่างนิ่งๆก่อนจะเอ่ยปากถาม"เจ้าเมาแล้ว""ข้าเมาหรือ ข้ามีสติเจ้ากับข้าคือสามีภรรยา ร่วมหลับนอนกันคือเรื่องปกติ""เจ้าอยากนอนกับข้าหรือ""ข้า..""มิใช่ว่าข้านั้นทำให้เจ้าหึงหวงข้างหรอกนะ เจ้าถึงมีท่าทีเช่นนี้""เรียกข้าว่าท่านพี่""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น""ทำไมกัน""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น ข้าเคยเรียกเจ้าว่าเจ้าจะให้เรียกท่านพี่ได้อย่างไรกัน""เจ้าคือภรรยาของข้า เรียกท่านพี่ถึงจะถูก""คนยุคนี้แปลกเสียจริง""เจ้าว่าอันใดนะ ข้าฟังไม่ถนัด""ไม่มีอันใดข้าแค่จะบอกว่าเจ้า...""ท่านพี่""อ่า ท่านพี่ก็ได้""ข้าเหมือนบังคับเจ้า""ใช่ ท่านบังคับข้าให้เรียกท่านเช่นนั้น ข้าไม่อยากเรียกด้วยซ้ำไป" หลินเฟิงจับจ้องไปยังผู้เป็นสามีที่เอาแต่ใจตนเอง เวลาปกติเขาไม่เคยที่จะพูดมากเช่นนี้เลยสักครั้ง แต่ในเวลานี
ร่างสูงใหญ่ของเจี้ยนหยีเดินซวนเซไปตามแนวทางจับจ้องไปยังประตูบ้านของตน ร่างกายของเขาขยับตามความเคยชินที่ต้องกลับบ้านในทางนี้ ร่างกายของเขาเซไปมาแต่ก็สามารถพยุงตนเองให้ถึงประตูบ้านได้สำเร็จ เมื่อมาถึงเขาผลักประตูบ้านเข้าไป สายตาจับจ้องไปยังภรรยาของเขา แม้ว่านางจะเงียบขรึมไปบ้าง แต่นางก็หาใช่คนที่สงบเสงี่ยมเช่นสตรีทั่วไป ชอบเถียงเขาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งนางใกล้ชิดกับคนอื่นเขายิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก ความหึงหวงก่อเกิดขึ้นมาภายในใจ ภรรยาผู้งดงามของเขานั้นกำลังนั่งพับผ้าโดยเพียงปรายตามองมาที่เขาเพียงนิดและไม่สนใจเขาอีก เขาพุ่งตรงไปหานางอย่างรวดเร็วก่อนที่จะดึงนางเขาห้องในทันที"เจ้าจะทำอันใด เจ้าเมามากแล้วอย่าทำเช่นนี้เลย""เจ้าจะดื้อกับข้าทำไมกันกับคนอื่นเจ้าไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลยสักนิด""เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ากับใครเจ้าพูดมาให้ดี ข้าไหนเลยจะไปทำเช่นนี้กับคนอื่น เจ้ากล้าใส่ความข้าหรือ!'"เจ้ากับคนผู้นั้นสนิทกันถึงขั้นใกล้ชิดกันเพียงนั้นเลยหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือสามี!""แล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือภรรยาเจ้า!! อื้อออ!!!"เขาอดทนไม่ไหวปากเล็กๆ นั้นเอาแต่เถียงเขาอยู่อย่างนั้นจนเขาหม
หลินเฟิงเดินเข้ามาในหมูบ้านพร้อมกับหวังจิ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเก่าเล็กท้ายหมูบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงชรา“ท่านยายท่านเป็นอะไร” หลินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เห็นยายเฒ่ากำลังนั่งกอดร่างของเด็กชายคนหนึ่งไว้“หลานของข้าป่วยกำลังจะสิ้นใจ ช่วยหลานข้าด้วย” ยายเฒ่าร้องไห้ออกมาอีกรอบ“ท่านยาย” หลินเฟิงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และจับมือเพื่อดูชีพจรของเด็กชายผู้นั้น ในเมื่อนางเป็นหมอต้องรักษาชีวิตคนได้จะมาทำตัวไร้ค่าแบบนี้ได้อย่างไร“ข้ามีกันแค่สองคน ท่านโปรดเมตตา” ยายเฒ่าอ้อนวอนขอให้หลินเฟิงช่วย“หลานของท่านยายอาการเป็นอย่างไร” หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการ หากพูดตามภาษาบ้านเกิดก็คงป่วยเป็นไข่ป่าสมัยนั้นเครื่องมือแพทย์ทันสมัยแต่ในยุคนี้หลินเฟิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะรักษาได้หรือไม่“หลานของข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการไม่สู้ดีเลย”“อาจึ้ง เตรียมขิง ไผ่หยก ชะเอมเทศ เปลือกรากโบตั๋น” หลินเฟิงให้หวังจึ้งเตรียมสมุนไพรที่ต้องการให้พร้อม“เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลขอรับ”“บ้านข้ามี”หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนางหยิบจับทุกอย่างจนดูคล่องแคล่วไปหมดแม่แต่หวังจึ้งยังสงสัยว่าหลินเฟ