แสงแดดแก่ๆของยามเว่ยส่องกระทบแผดเผาร่างบางของสาวน้อยหลินเฟิง ที่นอนขนาบราบบนโขดหินข้างสระบัว หญ้าสูงรอบสระบังเรือนร่างของสาวน้อยจนมิด
เหตุเพราะบัดนี้ผู้คนในบ้านได้ขึ้นเขาเพื่อไปในป่าลึกที่จะหาของป่ามาไว้ทำอาหารเย็นเสียจนหมดแล้วเหลือเพียงร่างเล็กที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าบ้านราวกับลูกหมา
เหตุเพราะความคิดมากมายที่อยู่ในใจแม้แสงแดดจะร้อนหญิงสาวก็ลืมความร้อนไปจนสิ้นเหลือเพียงความคิดยิ่งใหญ่ของเธอที่จะทำอย่างไรให้เม็ดบัวในสระนำมาขายสร้างกำไรให้กับครอบครัวนี้ได้
"อืม.. แดดร้อนขนาดนี้แต่บัวก็ยังอยู่ได้คาร์บอนในน้ำคงจะสูงมากแน่ๆอีกทั้งค่า ph คงจะสูงตาม"
"แต่หากให้แสงแดดส่องลงมาแต่พอดีล่ะ?"
จางหมิ่นครุ่นคิดว่าหากจะสร้างซุ้มบังแดดให้ส่องเข้ามาได้แต่เพียงพอดีกรดในน้ำก็จะน้อยลงแล้วเม็ดบัวก็จะไม่เหี่ยวเร็วและฝาด
กว่าเม็ดบัวจะฝาดก็คงมีเวลาพอที่เธอจะสามารถเก็บเม็ดบัวเหล่านี้เข้าไปขายอยู่ในตัวตำบลไข่โจวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านพระเอกก็ได้อยู่ ให้พอได้หาทุนได้สักนิดจะได้ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก แต่จะซื้ออะไรมาปลูกล่ะ? ในเมื่อดินก็แห่งกรังได้ขนาดนี้ตัวเธอเรียนจบหมอนะไม่ได้เรียนจบเกษตรกร
ความคิดของจางหมิ่นแล่นอยู่ในหัวของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่องหญิงสาวเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้สภาพการเป็นอยู่ดีขึ้น
ก่อนที่ร่างกายเล็กๆจะลุกพลวดขึ้นเหมือนกับระบบในร่างกายทำงานผิดพลาดและถูกไวรัสกัดกินจนรวนนั้นเป็นเพราะเธอคิดบางอย่างได้แล้ว
"ในเมื่อที่นี่มีหญ้าแห้งยืนต้นสูงมากมายหากจะเกี่ยวไปสานเป็นหลังคาของซุ้มครอบสระบัวนี้ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดีเลยทีเดียวนะเนี่ย"
หญิงสาวคิดได้ดังนั้นก็ลุกยืนวิ่งผลุนผลันเข้าไปในบ้านเพื่อจะไปหาอุปกรณ์มาเกี่ยวหญ้าแต่สิ่งที่ดวงตาใสๆของหลินเฟิงพอจะมองเห็นได้มีเพียงขวานผ่าฟืนเก่าๆที่บิ่นจนไม่คิดว่าจะสามารถผ่าอะไรได้แล้วแม้จะเป็นเพียงกระดาษบางๆก็ตาม
'หลินเฟิงเป็นคนเกียจคร้านอีกทั้งยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่แปลกที่เธอจะทำตัวให้คนอื่นเกลียดได้มากขนาดนี้'
จางหมิ่นทำได้เพียงเดินกลับไปก่อนจะใช้มือเรียวๆเล็กๆของเธอลงแรงเด็ดหญ้าไปได้ไม่กี่ต้นก็โดนหญ้าบาดนิ้วเสียแล้ว
จางหมิ่นถึงได้รู้ความลับอีกอย่างของหลินเฟิงเจ้าของร่างนี้เมื่อเลือดสีชมพูใสๆไหลออกมาจากนิ้วของเธอ อย่างที่ควรจะเป็นสีแดงสดก็ตามแต่หากแต่เป็นสีแดงใสก็พอเข้าใจว่าหลินเฟิงเป็นคนเลือดจาง แต่นี่เป็นสีชมพูใสอันตรายมากแน่ๆ
มือเรียวอีกข้างเอื้อมไปดึงเศษผ้าเก่าๆซีดๆที่เธอนำมาใช้เป็นริบบิ้นผูกผมมาพันแผลเสียก่อนเลือดจะไหลหมดตัวตอนนี้เลือดของเธอก็จางมากหากยิ่งไหลไม่หยุดจางหมิ่นได้ตายรอบสองแน่ๆ
แต่เธอก็ยังคงที่จะเก็บและดึงหญ้าต่อไปเพราะจางหมิ่นในวัยเด็กลำบากกว่านี้มากเรื่องแค่นี้ถือว่าพอสบายสำหรับเธอแล้ว
เธอเก็บไปเรื่อยๆจนแสงเเดดยามเว่ยเปลี่ยนเป็นแสงแดดยามโหย่วและดวงอาทิตย์ก็ใกล้ที่จะถูกกลืนกินลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นเดียวกัน
มือเรียวเริ่มที่จะอ้าแขนกอบโกยเอาหญ้าทั้งหมดที่เธอสามารถเด็ดได้วันนี้ขึ้นมาไว้บนแขนแล้วจึงเดินทุลักทุเลเข้าไปในบ้าน
"หญ้าขนาดนี้คงได้เพียงหลังคาซุ้มแผ่นบางๆแผ่นเดียว"
ร่างอรชรหอบหญ้าเข้ามากองไว้ข้างๆกองฟืนบัดนี้ครอบครัวของเจี้ยนหยีรวมทั้งตัวเขาก็ลงจากเขาแล้วพอถึงบ้านก็เห็นว่าหลินเฟิงหญิงสาวแสนเกียจคร้านไปเด็ดหญ้ามากมายทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งนัก
สายตาสี่ดวงถูกจับจ้องมาที่เธออย่างจับผิดและไม่ไว้ใจในหัวพวกเขาคงจะคิดว่าเธอกำลังวางแผนทำเรื่องสกปรกอีกตามเคย
"ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่นางวางแผนที่จะเผาบ้านหรือขอรับท่านพ่อ"
เสียงเด็กหนุ่มหรงเหยาพยายามยุยงพ่อของตนแต่ชายชราก็เพียงแต่มองอยู่อย่างนั้นหนวดเคราสีเงินถูกพัดตามแรงลมอ่อนๆที่กำลังจะเป็นจากฤดูคิมหันต์เป็นฤดูสารทในอีกเพียงไม่กี่วัน
"พี่ใหญ่ดูพี่สะใภ้สิคงวางแผนจะเผาเรือนนี้แล้วกระมังนางจะได้กลับบ้านนางไป"
หรงเหยายังคงเปล่งวาจาเสียดสีหลินเฟิงแต่ตัวของเจี้ยนหยีกลับไม่ได้พูดจาแก้ต่างให้แต่อย่างใดเหตุเพราะตัวเจี้ยนหยีนั้นก็ไม่ได้ใคร่แม่นางผู้นี้สักเท่าไหร่หากจะเป็นตัวเขาหมายปองแม่นางซูหรานที่เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตาและสติปัญญา
ถึงตัวของของอ้ายตงหยางบิดาของนางจะเคยสัญญากับพ่อของเจี้ยนหยีเอาไว้ว่าหากเจี้ยนหยีอายุพลันเข้า18หนาวแล้วเขาจะยกลูกสาวให้เจี้ยนหยีเลือกนางนึงแต่เพราะตัวของแม่นางอ้ายอี้เหมยนั้นออกเรือนเป็นชายาองค์ชาย8ของราชวังเฟยเจินแล้วซ้ำยังมีอายุมากกว่าถึงสองขวบปี
จึงเหลือเพียงซูหรานกับหลินเฟิงให้เขาได้เลือกเขาเลือกแม่นางซูหรานแต่เจ้าตัวกลับไม่อยากแต่งกับเขาสุดท้ายตัวของตงหยางเองก็ไม่สามารถมอบลูกสาวคนรองที่เป็นแก้วตาดวงใจและเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านมาให้เขาได้จริงๆ
จึงยกอ้ายหลินเฟยลูกคนสุดท้องให้เขาแทนตัวหลินเฟิงผู้นี้มีหลายสิ่งที่เขารังเกียจแต่กระไรก็แต่งเข้ามาในแซ่ของเขาแล้วจำต้องคุ้มครองเธอ
แต่เขาพอจะรู้มาว่าหลินเฟิงผู้นี้แม้จะเป็นคนเกียจคร้านแต่เธอก็มีความสามารถด้านการค้าอยู่ไม่น้อยเพราะวาจาของเธอมักจะสะกดจิตผู้คนได้ราวกับว่าแม่นางผู้นี้สามารถสัมผัสลมปราณและความคิดของผู้อื่นได้
หากไม่ใช่เพราะความเกียจคร้านวันๆไม่ทำอะไรทำเพียงนั่งอยู่หน้ากระจกอ้ายตงหยางก็คงหอบหิ้วเธอไปเจรจาค้าขายด้วยทุกหนแห่งเป็นแน่
ตัวของเจี้ยนหยียกตะกร้าไม้ไผ่ที่ขึ้นเขาไปหาของป่าวันนี้ได้มาวางไว้ที่โต๊ะไม้ไผ่ตอกพอแต่ใช้ได้ซึ่งเป็นโต๊ะตัวดีกันที่ใช้วางสำหรับเมื่อเช้านี้
จางหมิ่นเห็นจึงเดินไปดูพบเพียงตะกร้าเปล่าๆ ไม่มีอะไรในนั้นเลยตัวสาวน้อยจึงได้แต่อ้าปากค้าง ที่วันนี้ครอบครัวนี้คงต้องอดอีกแล้วเป็นแน่
"ดูอะไร ดูให้ได้อะไร มันไม่มี อะไรให้เจ้ากินทั้งนั้นแหละ "
เสียงเด็กสาวหานจื่อรุ่ยพูดออกมาอย่างอารมณ์เสียขณะเห็นหลินเฟิงพี่สะใภ้ที่เธอไม่เคยชอบขี้หน้าเลยเดินไปดูที่ตะกร้าของพี่ชายคนโต
เสียงท้องของเจี้ยนหยีคำรามแต่เขามองเธอหน้าตายเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกหิวโหยหรือรู้สึกอะไรเลย
"วันๆเกียจคร้านไม่ทำอะไรสักอย่างเจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูตระกูลสูงอยู่รึไงกัน เจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลเราแล้วเจ้าเป็นฮูหยินของพี่ชายข้าทำไมเจ้าถึงทำตัว'ไร้ประโยชน์'ขนาดนี้"
ด้วยความโมโหหิวของจื่อรุ่ยเธอก็เปล่งวาจาที่คิดออกมาจนหมดไม่มีคำใดๆ กักไว้ส่วนตัวของหลินเฟิงที่จะด่ากลับตลอดตอนนี้เธอเพียงยืนเงียบๆ ไม่พูดจา
'ไร้ประโยชน์งั้นเหรอ.. อืมก็จริง ' จางหมิ่นคิดครวญในใจคำพูดโดยไม่ยั้งของน้องสาวสามีกรทันหันเธอพูดจี้ใจดำเธอเช้าเสียแล้ว เธอหันหลังกลับพลันก้าวย่างขาเล็กๆของเธอตรงไปทางสระบัว
น้ำตาไหลเอ่อจนล้นเบ้าแก้มนวลราวลูกซาลาเปาก็ชื้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินราวกับเขื่อนทะลักลงมาจากแววตาคู่สวย
มือเรียวเล็กค่อยๆสาวเอารากบัวอ่อนๆขึ้นมาหลายรากเธอคิดว่าตอนค่ำแล้วค่าคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำก็จะลดลงแล้ว
มือสาวไปน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปสาวน้อยหลินเฟิงสาวและออกแรงหักขึ้นมาสองถึงสามราก
เธอหยิบรากบัวที่ดึงขึ้นมาจากน้ำได้รากบัวอวบๆก็ถูกจับมุ่งหน้าไปยังครัวไฟ หลินเฟิงมีดเล่มเล็กที่มีอยู่เล่มเดียวในครัวมาปลูกเปียกนอกของรากบัวออกก่อนจะเอาไปล้างน้ำให้สะอาด พร้อมขึ้นเคียงหั่น รากบัวสีขาวราวหิมะถูกหั่นออกมาเป็นแว่นๆอย่างสวยงามร่างบางหลังจากหั่นรากบัวแช่น้ำเรียบร้อยแล้วเธอจึงหันไปทางตะเเกรงไฟสามขาที่ไฟกำลังลุกอีกทั้งประกายไฟก็แตกออกมาอย่างร่าเริงหม้อดินเผาที่ใส่น้ำครึ่งหม้อถูกยกขึ้นค้างบนตะแกรงเหนือไฟ หญิงสาวทิ้งน้ำในหม้อร้อนเดือดขึ้นจึงหยิบตะเกียงไฟเก่าๆฝุ่นเขลอะเหมือนไม่ได้ใช้งานมาราวๆร้อยกว่าปีแล้วอีกทั้งเชื้อเทียนที่อยู่ด้านในก็ยังเหลือเยอะอยู่หญิงสาวรีบจุดไฟในตะเกียงเพื่อให้ใช้น้ำทางไปยังสระบัวหลังบ้านอีกครั้งเพื่อที่จะไปเก็บฝักบัวเพื่อนำดีบัวด้านในมาต้มชาให้กลายเป็น "ชาดีบัว" พอเธอไปถึงก็พบว่าน้ำขึ้นสูงกว่าเมื่อตอนกลางวันมากนั่นก็เป็นเพราะนี่คือตอนกลางแถมซ้ำยังเป็นคืนจันทร์เต็มดวงแสงจันทร์สีทองอร่ามไปทั่วพอกระทบกับน้ำที่อยู่ในสระก็เป็นแสงระยิบระยับชวนมองมือเรียวรีบเอื้อมลงไปเก็บฝักบัวและเมื่อได้ตามต้องการแล้วจึงใคร่ยืนดูน้ำที่มีแสงจันทร์สะท้อนเกือบลืมไปว่าเธอค้างห
หลังจากที่หลงเหยาเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปตามหานเจียเจิงผู้เป็นพ่อและหานเจี้ยนหยีพี่ใหญ่ของเขาตัวหลินเฟิงจึงค่อยๆ หยิบดินเผาที่ต้มรากบัวในนั้นมาถ้วยหนึ่งก่อนจะตักขึ้นมาเป่าให้เย็น"ในนี้คือต้มรากบัวมันมีรสหวานอ่อนๆ เจ้าไม่ควรกินของรสจัดรากบัวนี้ไม่มีพิษเหมือนเห็ดที่เจ้ากินเข้าไปเมื่อเช้าหรอกนะ"เธอพูดคาดโทษหญิงสาวตัวน้อยที่นั่งเอามือกุมท้องเบาๆแต่อย่างน้อยเด็กสาวก็ไม่ร้องไห้ทุรนทุรายแล้วละ"รากบัวกินได้ด้วยเหรอพี่สะใภ้ใหญ่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"หญิงสาวถามเสียงอ่อนน้ำเสียงของเธอดีขึ้นกว่าตอนที่พูดกับเธอก่อนหน้านี้มากโข จนจางหมิ่นเองยังปรับตัวด้วยไม่ทันเลย"อืมกินได้สิอร่อยด้วยลองกินดูนะ"เธอค่อยๆป้อนน้ำซุปของต้มรากบัวเข้าปากเด็กสาวจื่อรุ่ยอย่างอ่อนโยนแววตากลมโตของเด็กสาวก็ลุกเป็นมันวาวอย่างประหลาดใจจากน้ำซุปรสละมุน ที่ออกหวานนิดๆมันเป็นรสชาติที่เธอโหยหามาหลายปีจนแทบจะลืมว่าหวานรสชาติเป็นอย่างไร"อร่อยจัง ท่านทำอาหารเป็นด้วยหรือข้าไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยท่านคงไม่ได้คิดจะวางยาข้าใช่มั้ย"เมื่อจบประโยคของจื่อรุ่ยหลินเฟิงถึงกลับกั้นขำแทบตายเพราะเด็กน้อยคนนี้ไร้เดียงสาเสียจริงแต่ก็คงผ่านมรส
ขนตาหนาเป็นแพค่อยๆ ปรือตื่นขึ้นในรุ่งอรุณวันถัดมาดวงตาสีน้ำตาลสวยกวาดไปรอบๆ บริเวณเสียงเเดดเรไรสาดส่องกระทบผิวหน้านวลผ่องของหญิงสาวร่างกายของหลินเฟิงค่อยๆ พยุงตื่นขึ้นพร้อมทั้งบิดขี้เกียจฟังเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วตอนเช้าอย่างสดชื่น แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนน้ำตาตกอยู่หมาดๆก็ตาม"ตื่นเถอะยามเหม่าแล้วถ้ายังไม่ตื่นจะทิ้งไว้บ้านอีกวันนะ แต่ก็คงจะดีใจสิท่า"เสียงดังประชดประชันของชายหนุ่มเมื่อคืนดังอยู่อีกฝากของประตูไม้ไผ่บานเก่าดังเข้ามาข้างใน แต่เดี๋ยวก่อนนี่ยามเหม่าแล้วเหรอ.. ว่าแต่ยามเหม่านี่กี่โมงนะ จางหมิ่นใคร่ครวญในใจ'อืม...คงไม่น่าถึง7โมงเช้าหรอกมั้งเเดดยังอ่อนๆอยู่เลย"หญิงสาวร่างบางพึมพำเงียบๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู ด้วยที่เธอติดนิสัยรีบเร่งทำให้สะดุดเกือบหัวคะมำโชคยังดีที่ไม่ทันได้ล้มเพราะมีเจี้ยนหยียืมเฝ้าอยู่หน้าประตูเขารับร่างกายบางๆ ของเธอไว้ได้สบายๆ"เจ้าจะรีบใยกันข้าไม่ได้จักไปเดี๋ยวนี้ ก็รอเจ้าอยู่แต่ท่านพ่อกับน้องรองน้องเล็กขึ้นเขาไปเสียตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง""ในเมื่อตื่นขึ้นมาได้แล้วก็ไปเตรียมตัวตะกร้าอยู่ตรงนั้นสะพายออกมาข้าจะไปรอเจ้าอยู่หน้าบ้าน"หลังจากที่ชายหนุ่มเสียงทุ้
ลี่อินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่นเหมือนกับว่านางจะพร้อมทำทุกอย่างที่ทำได้ถึงทำไม่ได้นางก็จะทำหากคุณหนูของนางถูกเขารังแกก็จริงอยู่ที่ลี่อินกับแม่ของนางไม่ได้ทำงานให้กับตระกูลอ้ายแล้วก็ตามแต่ถึงยังไงกับหลินเฟิงก็ยังใคร่และผูกพันแน่นแฟ้นเจี้ยนหยีทำได้เพียงคำนับกลับเท่านั้นเขาไม่ได้ตอบโต้ใดๆหรือเปล่งเสียงพูดใดๆออกมาเลยแม้แต่คำเดียวก็ตาม"แม่นมข้ากับสามีคงต้องไปก่อน ถนอมตนด้วย"แม่นมกอดคุณหนูอย่างแนบแน่นก่อนจะโบกมือให้อย่างอาลัยอาวรณ์แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป นางกับลี่อินลูกสาวก็ค่อยๆก้าวย่างออกไปจากป่าต้นไม้ยืนต้นตายนี้ในทางที่เธอกับเจี้ยนหยีเดินเข้ามาสายตาของหลินเฟิงจับจ้องไปที่หญิงทั้งสองคนที่วัยต่างกันจนพวกเธอหายลับไปจากระยะสายตาสาวน้อยจึงได้ก้มดูกำไรหยกที่ดูล้ำค่ายิ่งในมือเรียวของเธอ"ดูพวกนางคงรักเจ้ามาก"เสียงเจี้ยนหยีดังขึ้นเป็นครั้งแรกในระยะเวลาเกือบสองเค่อที่เขาไม่พูดไม่จาอะไรเลย ที่ทำเพียงแต่ยืนมองเธอคุยกัน"คงอย่างนั้น.. "หลินเฟิงพูดขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กำไลในมือแต่ไม่ได้ยินเสียงของเจี้ยนหยีตอบกลับมาเธอจึงหันไปมองแต่ก็ไม่พบเขาแล้ว"เจี้ยนหยี! เจ้าอยู่ไหน!"จ
ทั้งสามคนเดินทางออกจากตีนเขาในป่าแห้งเเล้งเพื่อกลับไปยังบ้าน ที่พ่อน้องชายและน้องสาวเจี้ยนหยีรออยู่พอไปถึงก็พบว่าทุกคนกำลังรอกินข้าวพร้อมกัน แต่ที่ยิ่งทำให้สงสัยคือมือของหลินเฟิงมีมือเล็กๆของเด็กน้อยจับอยู่แน่นเขาดูประหม่าแต่พอเห็นจื่อรุ่ยหน้าตาพลันระรื่นขึ้นมาเพราะเขาเห็นจื่อรุ่ยขึ้นเขาบ่อยๆ และชอบขอลูกไม้ป่ากับนางบ้างหากมีเยอะ"พี่หญิงจื่อรุ่ย!"เสียงเจื้อยแว้วดังขึ้นพร้อมความตกตะลึงของคนในครอบครัวมีเพียงหานเจียเจิงที่พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเขาไม่ได้ว่าอะไรเพราะครั้งหนึ่งเคยเอ่ยปากชวนเด็กคนนี้กลับบ้านแล้ว แต่เด็กน้อยเกรงใจเกินจะตอบว่าตกลง"หวัง..หวังจิ้ง"จื่อรุ่ยที่เห็นก็โผลเข้ากอดเด็กน้อยอย่างอารมณ์ดีตัวเธอเองก็เคยชวนเด็กน้อยคนนี้กลับบ้านเหมือนกันแต่เขาก็ไม่ยอมแต่แปลกที่เขายอมกลับมากับหลินเฟิง"พี่หญิงจื่อนั่นพี่สาวของข้า!"เสียงเด็กน้อยเจื้อยแจ้วพลันชี้มือไปทางหลินเฟิงโดยที่ไม่รู้เลยว่าหลินเฟิงเป็นอะไรกับครอบครัวนี้"พี่สาวงั้นเหรอ?"เสียงหรงเหยาดังมาจากโต๊ะไม้เก่าๆที่ถัดจากตัวของจื่อรุ่ยไปไม่กี่ก้าว ขาดูสงสัยที่เด็กน้อยพูดมาว่าใช่ความจริงหรือเปล่า? หัวหน้าตระกูลอ้ายมีลูกสาวส
จื่อรุ่ยพูดทีเล่นทีจริงอย่างสนุกสนานพลันแกล้งผละตัวออกจากหลินเฟิงไปด้วย ตัวหลินเฟิงถึงกับขำแห้งเลยในทันทีมือเรียวเล็กก็เอื้อมไปตีแขนเด็กสาวเบาๆอย่างอยากล้อหรือทำตัวไม่ถูกอันนี้ก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วจริงๆ"นี่เจ้าตีข้าทำไมข้าพูดความจริงนะหลินเฟิง"จื่อรุ่ยโวยวายเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงขบขันของสองสาว ไม่นานมากต้มรากบัวก็เสร็จสมบูรณ์แต่วันนี้พิเศษกว่าสักหน่อยเพราะมีเม็ดบัวเชื่อมกับต้มมันม่วงด้วยอาหารถูกจื่อรุ่ยนำมาจัดไว้บนโต๊ะอย่างสวยงามทุกอย่างดำเนินต่อไปเหมือนกับเมื่อวานแต่วันนี้กลับมีเสียงเด็กน้อยเจื้อยแจ้วตัวของจื่อรุ่ยก็ไม่ปวดท้องทุกคนกินอาหารกันอย่างสบายใจมากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลว่าในอาหารจะถูกวางยาพิษแล้ว"เจี้ยนหยีหากแต่จะนับเป็นน้อง เจ้าเองก็รับหวังจิ้งเป็นลูกเถอะ เด็กมันจะได้สมบูรณ์ ซ้ำยังเป็นเด็กชายอีก ชื่อแซ่ก็ไม่มี ช่างอาภัพนัก "ชายวัยย่างหกสิบเสนอพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้า ตัวของหลินเฟิงสังเกตเห็นและรู้ว่านี่คือแผนของหานเจียเจิงเป็นแน่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรหากเจี้ยนหยีตกลงเธอก็จะทำหน้าที่แม่บุญธรรมของเด็กน้อยคนนี้ให้เป็นอย่างดีเท่าที่จะเป็นไปได้"ถ้าท่านพ่อเห็นสมควรข้า
"ร่ำลากันพอแล้วละมั้งออกเดินทางได้แล้ว"เสียงชายชราดังขึ้นมาจากด้านหลัง เด็กน้อยที่นั่งกอดขาอยู่จึงยอมลุกออกไปและเดินไปอยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสอย่างรวดเร็วเพราะเดี๋ยวโดนดุจึงรีบไปออดอ้อน"ขอรับท่านพ่อ" เจี้ยนหยีและหลินเฟิงคำนับผู้อาวุโสเจียเจิงก่อนที่เจี้ยนหยีจะเดินนำเหมือนเหาะออกไปตามที่เคยเป็นเขาเดินเร็วมากๆ ส่วนตัวของหลินหยางก็พยายามตามให้ทัน"โม่โฉว"เจี้ยนหยีอ่านป้ายทางเข้าตำบลที่โดนเถาไม้และหญ้าขึ้นรกจนปิดแทบมิดแต่เหมือนกับว่าเธอจะละสายตาไปจ้องมองป้ายนานเสียหน่อย เจี้ยนหยีหายลับสายตาของหลินเฟิงไปอีกครั้งแล้วหลินเฟิงรีบวิ่งไปตามทางหวังว่าอาจจะพบเจี้ยนหยีแต่ก็ไม่เจอหลินเฟิงนั่งย่อลงกับพื้นกับความสิ้นหวังเธอไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนต่อดี"หลินเฟิงนั่นเจ้าไปนั่งทำอะไรตรงนั้น"เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง เขาเดินไปด้านหน้าแล้วมายื่นมือให้กับหลินเฟิงเพื่อจะได้ยืนขึ้นได้แต่หลินเฟิงก็เอาแต่มองเธอกลัวว่าหากจับไปมืออาจจะเย็นจนแข็งหลินเฟิงค่อยๆยืนขึ้นตอนนี้ใบหน้าของเธอก็สีหม่นๆจากการที่เธอคิดไม่ตกเมื่อครู่จนกำลังจจะร้องไห้ออกมาในอีกไม่นานหากเจี้ยนหยียังไม่ปรากฏตัว"เจี้ยนหยีเจ้าหายไปไ
"งั้นข้าให้ 20 ตำลึงเงินเจ้ายินดีกับการซื้อขายครั้งนี้หรือไม่"เถ้าแก่เนี้ยในชุดคลุมสีแดงสว่างตาพูดอย่างใจดีและราคานี้ก็สูงไม่ใช่เล่นหากเป็นเห็ดธรรมดาก็คงจะขายได้เพียงสามถึงสี่ตำลึงเงินเพียงเท่านั้น"ยินดีเจ้าค่ะ ให้ข้าเอาเห็ดไปไว้ไหนเจ้าคะ" หลินเฟิงยังคงถามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมีคนนำตะกร้าใบใหญ่มาให้หลินเฟิงค่อยๆ บรรจงเทเห็ดลงในตะกร้าเพื่อไม่ให้เห็ดเกิดอาการช้ำพร้อมทั้งเดินออกไปเอาตะกร้าที่เจี้ยนหยีสะพายอยู่ซึ่งเขาขอยืนรออยู่นอกภัตตาคารมาเทด้วยซึ่งเจี้ยนหยีตอนนี้ดูเหมือนไม่มีวิญญาณมากๆเขาแทบเป็นลมเวลาต้องเจอกับคนมากๆ หรือเวลาที่ไปในที่คนแออัดเยอะๆนั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกจะขึ้นป่าหาของมากินประทังชีวิตไปวันๆ แทนที่จะหาของมีขายลงทุนสร้างกำไรต่อเสริมเติมแต่ง เพราะเขาพูดจาไม่เก่งหากมาขายคงถูกกดกำไรจนไม่เหลือเป็นแน่"เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะเถ้าแก่เนี้ย"หลินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มสดใสระรื่น ตะกร้าถูกเก็บเข้าครัวตามสัญญาเถ้าแก่เนี่ยใจดีมอบเงินให้หลินเฟิง 40 ตำลึงเงิน"เถ้าแก่เนี้ยนี่คือ...""ข้าให้ไว้มีเห็ดมาห้ามไปขายให้เจ้าอื่นที่นี่รับซื้อตลอดถือว่าเป็นค่ามัดจำรับไปเถอะ"หญิงสวยในชุดสีแดงสง่าพูดอ
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม
ร่างของเขาถึงแม้จะเสร็จไปแล้วแต่ยังกระแทกต่อได้อีกหลายครั้ง นางพยายามที่จะดันเขาแต่ก็ไร้ผลเพราะมันแทบจะไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของเข้ายังวิ่งเข้าออกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นฤทธิ์ และแล้วเสียงครางจากปากเขาและพลิกตัวขึ้นนอนหงายโอบกอดนางเอาไว้ นางนอนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง นางจ้องมองมาที่เจี้ยนหยีอย่างนิ่งๆก่อนจะเอ่ยปากถาม"เจ้าเมาแล้ว""ข้าเมาหรือ ข้ามีสติเจ้ากับข้าคือสามีภรรยา ร่วมหลับนอนกันคือเรื่องปกติ""เจ้าอยากนอนกับข้าหรือ""ข้า..""มิใช่ว่าข้านั้นทำให้เจ้าหึงหวงข้างหรอกนะ เจ้าถึงมีท่าทีเช่นนี้""เรียกข้าว่าท่านพี่""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น""ทำไมกัน""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น ข้าเคยเรียกเจ้าว่าเจ้าจะให้เรียกท่านพี่ได้อย่างไรกัน""เจ้าคือภรรยาของข้า เรียกท่านพี่ถึงจะถูก""คนยุคนี้แปลกเสียจริง""เจ้าว่าอันใดนะ ข้าฟังไม่ถนัด""ไม่มีอันใดข้าแค่จะบอกว่าเจ้า...""ท่านพี่""อ่า ท่านพี่ก็ได้""ข้าเหมือนบังคับเจ้า""ใช่ ท่านบังคับข้าให้เรียกท่านเช่นนั้น ข้าไม่อยากเรียกด้วยซ้ำไป" หลินเฟิงจับจ้องไปยังผู้เป็นสามีที่เอาแต่ใจตนเอง เวลาปกติเขาไม่เคยที่จะพูดมากเช่นนี้เลยสักครั้ง แต่ในเวลานี
ร่างสูงใหญ่ของเจี้ยนหยีเดินซวนเซไปตามแนวทางจับจ้องไปยังประตูบ้านของตน ร่างกายของเขาขยับตามความเคยชินที่ต้องกลับบ้านในทางนี้ ร่างกายของเขาเซไปมาแต่ก็สามารถพยุงตนเองให้ถึงประตูบ้านได้สำเร็จ เมื่อมาถึงเขาผลักประตูบ้านเข้าไป สายตาจับจ้องไปยังภรรยาของเขา แม้ว่านางจะเงียบขรึมไปบ้าง แต่นางก็หาใช่คนที่สงบเสงี่ยมเช่นสตรีทั่วไป ชอบเถียงเขาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งนางใกล้ชิดกับคนอื่นเขายิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก ความหึงหวงก่อเกิดขึ้นมาภายในใจ ภรรยาผู้งดงามของเขานั้นกำลังนั่งพับผ้าโดยเพียงปรายตามองมาที่เขาเพียงนิดและไม่สนใจเขาอีก เขาพุ่งตรงไปหานางอย่างรวดเร็วก่อนที่จะดึงนางเขาห้องในทันที"เจ้าจะทำอันใด เจ้าเมามากแล้วอย่าทำเช่นนี้เลย""เจ้าจะดื้อกับข้าทำไมกันกับคนอื่นเจ้าไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลยสักนิด""เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ากับใครเจ้าพูดมาให้ดี ข้าไหนเลยจะไปทำเช่นนี้กับคนอื่น เจ้ากล้าใส่ความข้าหรือ!'"เจ้ากับคนผู้นั้นสนิทกันถึงขั้นใกล้ชิดกันเพียงนั้นเลยหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือสามี!""แล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือภรรยาเจ้า!! อื้อออ!!!"เขาอดทนไม่ไหวปากเล็กๆ นั้นเอาแต่เถียงเขาอยู่อย่างนั้นจนเขาหม
หลินเฟิงเดินเข้ามาในหมูบ้านพร้อมกับหวังจิ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเก่าเล็กท้ายหมูบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงชรา“ท่านยายท่านเป็นอะไร” หลินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เห็นยายเฒ่ากำลังนั่งกอดร่างของเด็กชายคนหนึ่งไว้“หลานของข้าป่วยกำลังจะสิ้นใจ ช่วยหลานข้าด้วย” ยายเฒ่าร้องไห้ออกมาอีกรอบ“ท่านยาย” หลินเฟิงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และจับมือเพื่อดูชีพจรของเด็กชายผู้นั้น ในเมื่อนางเป็นหมอต้องรักษาชีวิตคนได้จะมาทำตัวไร้ค่าแบบนี้ได้อย่างไร“ข้ามีกันแค่สองคน ท่านโปรดเมตตา” ยายเฒ่าอ้อนวอนขอให้หลินเฟิงช่วย“หลานของท่านยายอาการเป็นอย่างไร” หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการ หากพูดตามภาษาบ้านเกิดก็คงป่วยเป็นไข่ป่าสมัยนั้นเครื่องมือแพทย์ทันสมัยแต่ในยุคนี้หลินเฟิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะรักษาได้หรือไม่“หลานของข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการไม่สู้ดีเลย”“อาจึ้ง เตรียมขิง ไผ่หยก ชะเอมเทศ เปลือกรากโบตั๋น” หลินเฟิงให้หวังจึ้งเตรียมสมุนไพรที่ต้องการให้พร้อม“เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลขอรับ”“บ้านข้ามี”หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนางหยิบจับทุกอย่างจนดูคล่องแคล่วไปหมดแม่แต่หวังจึ้งยังสงสัยว่าหลินเฟ