คิดจนปวดหัวแล้วท่านปาก็ยังคิดวิธีที่จะได้ผลดีกับทั้งสองฝ่ายไม่ออก รู้สึกเพียงแค่จางเต๋ออู่จะตายไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจางเต๋ออู่ตายล่ะก็ ตนเองก็คงจะต้องตายไปด้วยเช่นกัน "เตรียมรถ! ทุกคนขึ้นรถให้หมด รีบไปหาเจ้าชายมังกร!" ท่านปาลุกยืนขึ้นและตะโกนลั่น "หา? แต่ถ้าท่านไปที่นั่น ท่านจะต้องพบกับจางเต๋ออู่นะครับ" ผู้ช่วยเอ่ยเตือนสติ "ไม่มีเวลาสนใจอะไรมากแล้ว จะปล่อยให้เจ้าชายมังกรฆ่าจางเต๋ออู่ไม่ได้ ถ้าจางเต๋ออู่ตาย ฉันก็จะตายด้วยเหมือนกัน!" ผู้ช่วยไม่กล้าพูดอะไรอีก และรีบออกไปจัดการทันที ไม่นานท่านปาก็เข้าไปนั่งในรถและขบวนรถขนาดใหญ่ก็เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ มุ่งหน้าไปยังถนนปินเจียง “เร็ว ๆ หน่อย ให้ตายเถอะ รีบหน่อยได้ไหม! ถ้ายังอืดอาดยืดยาด พวกแกได้ตายกันหมดแน่!” ท่านปาคำรามด้วยความหงุดหงิด ผู้ช่วยหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาออกคำสั่ง ขบวนรถพลันเร่งความเร็วและเริ่มวิ่งทะยานไปบนถนน ท่านปานวดที่หว่างคิ้ว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลขของจางเต๋ออู่ จางเต๋ออู่ได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ จึงหยิบขึ้นมาดูและเห็นว่าเป็นท่านปานั่นเอง เขาลังเลอยู่นานแต่ก็ไม่ได้รับส
"อะไรนะ?" จางเต๋ออู่เบิกตากว้างมองไปทางกุ่ยเอ้อที่อยู่ข้าง ๆ กุ่ยเอ้อพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและปวดร้าว "เขาตายแล้ว ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ผมรู้สึกได้ว่าเขาต้องการให้พวกเราล้างแค้นเขาด้วยครับ" จางเต๋ออู่รู้ว่ามารคุ้มกันทั้งสี่ของเขาค่อนข้างเร้นลับ แม้ว่ากระแสจิตจะไม่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่มันมีอยู่จริงในตัวพวกเขา “พวกนายล้างแค้นให้เขาได้เหรอ?” จางเต๋ออู่ถามอย่างค่อนข้างกระวนกระวายใจ กุ่ยอี้ยังเสร็จมันเร็วขนาดนี้ จางเต๋ออู่ไม่เชื่อว่ากุ่ยเอ้อและคนอื่น ๆ จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลี่โม่ กุ่ยเอ้อส่ายหัว "ถ้าพวกเราลงมือพร้อมกันสี่คนอาจสามารถเอาชนะหลี่โม่ได้ แต่ตอนนี้กุ่ยอี้ไม่อยู่แล้ว พวกเราไม่สามารถใช้วิธีการโจมตีประสานได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่โม่เลย" หัวใจของจางเต๋ออู่พลันเย็นวาบ ถ้าเขายังจะเดินหน้าไปต่อคงมีแต่ตายสถานเดียว "เลี้ยวรถ! กลับ รีบออกจากกรุงโซลให้เร็วที่สุด!" จางเต๋ออู่พูดด้วยความตื่นตระหนก รถเบนซ์กลับหัวรถแล้วแล่นสวนทางกลับไปทันที จางเต๋ออู่ลูบหน้าผากและพูดว่า "พวกนายมีแผนที่จะล้างแค้นให้กุ่ยอี้ไหม?" “เราต้องแก้แค้นให้แน่นอน
"พูดมา" น้ำเสียงของหลี่โม่เย็นชาขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นเพียงคำคำเดียว แต่เมื่อบวกกับน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ท่านปาก็พลันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีภูเขาน้ำแข็งกดทับอยู่บนหัวของเขา “ครับ จางเต๋ออู่ผู้เป็นคนสนิทข้างกายราชินีมังกร จางเต๋ออู่แม้จะบอกว่าเป็นคนสนิท แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นนายบำเรอของราชินีมังกร ดังนั้นคุณอย่าไปสืบสาวเรื่องนี้เลยครับนายน้อย” ท่านปาเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงค่อย “นายบำเรอข้างกายราชินีมังกร? งั้นที่เขามาเพื่อฆ่าฉัน เป็นความตั้งใจของราชินีมังกรงั้นเหรอ?” ดวงตาของหลี่โม่หรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ความตั้งใจของราชินีมังกรอย่างแน่นอน มันเป็นความคิดของจางเต๋ออู่เอง ว่ากันว่าราชินีมังกรมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเขา ผมจึงเดาว่าเขามีแผนการบางอย่าง” หลังจากที่ท่านปาพูดจบ เขาก็นึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่รีบพูดจนไม่ได้คิดทบทวนเสียก่อนและแน่นอนว่าเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว "เอ้ย ๆ ๆ ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง นี่เป็นข่าวลือที่ผมได้ยินเขาว่ากันมา ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า" ท่านปาอธิบายด้วยสีหน้าขมขื่น หลี่โม่ยิ้มอย่างเย็นชา "คุณ
อีกฝั่งของมหาสมุทรอันไกลโพ้น ศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกลับ จางเจียต้งนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องบำบัดรักษา รังสีอัลตราไวโอเลตฉายทั่วร่างของจางเจียต้งจนแผ่เป็นรัศมีสีม่วง กลุ่มนักวิจัยผมบลอนด์ตาฟ้าในชุดโค้ทสีขาวกำลังเฝ้ามองจากนอกห้องบำบัด แต่ละคนต่างส่ายหัวไม่หยุด “เขาตกอยู่ในอาการโคม่าขั้นรุนแรง คลื่นสมองของเขาอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เพราะร่างกายของเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงขั้นแรกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงเสียชีวิตในระหว่างทางส่งกลับมาไปแล้ว” “ไอ้สารเลว ร่างทดลองขั้นต้นที่ประสบความสำเร็จได้อย่างยากลำบากถึงกับกลายเป็นแบบนี้ แล้วการวิจัยขั้นถัดไปจะทำยังไง! บอสโกรธมากกับเรื่องนี้!” "สถานการณ์ในปัจจุบันทำได้แค่รักษาชีวิตของเขาไว้ แต่ที่น่าแปลกใจมาก ถึงกับสามารถทำร้ายร่างกายทดลองได้ แต่สมรรถภาพในการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมาก แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการกลายร่างขั้นต้นก็ตาม" ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ผู้อาวุโสที่สุดที่มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาส่ายหัว "เอาผลการตรวจสอบไปที่ห้องประชุมเถอะ ท่านดยุกบรูทกำลังรอเราอยู่" “บอสมาด้วยตัวเองเลยเหรอ? พระเจ้า พวกเราคงไม่ถูกฆ่ากันหมดใช่ไหม ใจ
“แดนมังกร” มือที่โบกไปมาในอากาศของท่านดยุกบรูทชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาของเขาพลันส่องประกายความประหลาดใจ "เวรเอ๊ย! คนที่ลงมือเป็นใครในแดนมังกร?" ทอมส่งแท็บเล็ตให้ท่านดยุกบรูทและสิ่งที่ท่านดยุกบรูทเห็นก็คือรูปถ่ายของหลี่โม่ หลังจากนั้นท่านดยุกบรูทก็เริ่มก้มลงอ่านข้อมูล เมื่ออาจข้อมูลทั้งหมดและสรุปสถานการณ์ในวันที่เกิดเหตุขึ้นกับจางเจียต้งจบ ดวงตาของท่านดยุกบรูทก็เป็นประกายขึ้นมา “ชายหนุ่มผู้เคยถูกแดนมังกรทอดทิ้ง ตอนนี้ได้กลายเป็นผู้สืบทอดของแดนมังกรอีกครั้งงั้นเหรอ? แต่ถึงเขาจะได้ครอบครองแดนมังกร เขาก็ไม่ควรมาทำลายการทดลองของฉัน!” "บอส ผมคิดว่านี่เป็นโอกาส เราสั่งให้คนลักพาตัวเขามาสิครับ หากมีเขาเราก็สามารถเจรจากับแดนมังกรได้ ผมคิดว่าคัมภีร์บางส่วนของตะวันออกจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการทดลองของเรา แต่คัมภีร์เหล่านั้นล้วนอยู่ในโกดังของแดนมังกรทั้งหมด" บรูทครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและลืมตาขึ้นพูดว่า "ลองทดสอบดูก่อน สถานที่สำหรับการแข่งขันชกมวยนานาชาติในเร็ว ๆ นี้ยังไม่ได้กำหนด นายสามารถไปจัดที่กรุงโซลได้และหาทางให้หลี่โม่ขึ้นชกในสังเวียนก็แล้วกัน" “หึหึ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ มวยใต้
มันมุ่งเป้าไปที่หลี่โม่อย่างที่คิดจริง ๆ ! ชูจงเทียนรู้สึกตกตะลึง สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึงขึ้นมา "เอาอย่างนี้ งั้นผมขอคิดดูก่อนแล้วกัน แล้วผมจะให้คำตอบพวกคุณอีกทีหลังจากพิจารณาเสร็จแล้ว" "ฮะ ๆ ผมต้องให้เวลาคุณชูคิดได้อยู่แล้ว แต่คุณชูคุณมีเวลาพิจารณาเรื่องนี้ไม่มากนักนะครับ ผมหวังว่าจะได้รับคำตอบจากคุณก่อนเที่ยงตรงครับ" "ได้เลย" ชูจงเทียนเอ่ยอย่างเฉยเมย ในใจนึกอยากจะตอบกลับไปว่า ไอ้เวรเอ๊ย รอฟ้าสางฉันไปบอกเรื่องนี้กับหลี่โม่ เขาก็ไม่มีทางตกลงกับพวกแกหรอกโว้ย คนที่อยู่ปลายสายดูเหมือนจะรู้ล่วงรู้ความคิดของชูจงเทียน จึงเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน "จริงสิ ในกล่องอีเมลของคุณมีอีเมลอยู่ฉบับหนึ่ง คุณสามารถดูวิดีโอในอีเมลก่อนแล้วค่อยตัดสินใจทีหลังก็ได้นะครับ” เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ชูจงเทียนก็ขมวดคิ้ว "วิดีโอ? พวกแกจะไปอัดวิดีโอวิดีโออะไรได้ อย่างดีก็เป็นวิดีโอที่ฉันหลับนอนกับผู้หญิง อย่างแย่ที่สุดแค่ปล่อยให้พวกแกเอาไปเผยแพร่ก็เท่านั้น" ชูจงเทียนพูดพึมพำ แล้วลงชื่อเข้าใช้อีเมลด้วยโทรศัพท์มือถือของเขา แน่นอนว่ามีอีเมลใหม่ในกล่องอีเมลอยู่จริง ๆ ชูจงเทียนคลิกเข้าไปดูอีเมล อีเมลไม่ได้
"คุณหลี่ ผมกำลังเจอปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องให้คุณหลี่ช่วยตัดสินใจครับ" ชูจงเทียนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง "คุณอยู่ที่ไหน?" “อยู่ชั้นล่างบ้านคุณครับ” “เดี๋ยวผมลงไป” หลี่โม่วางสาย ในใจสงสัยว่าชูจงเทียนจะไปเจอปัญหาใหญ่อะไรได้ หรือมีใครมาแย่งชิงเขตอิทธิพลของเขาไปอีก? หวังฟางจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่ "แกจะไปเสเพลอะไรของแกอีกแล้วใช่ไหม? แกเป็นแค่คนล่องลอยไม่มีงานทำ อย่าแสร้งทำตัวเป็นคนใหญ่คนโตมีงานการยุ่งนักเลย อยู่บ้านทำงานบ้านให้มันเอาจริงเอาจังซะบ้าง!” "แม่คะ ถ้าหลี่โม่ต้องจะออกไปเขาต้องมีธุระอะไรแน่ แม่ก็อย่าทำให้มันวุ่นวายเลยค่ะ" กู้หยุนหลานพูดโน้มน้าว “มันจะไปมีธุระอะไรได้ เป็นแค่คนไร้ประโยชน์แล้ววัน ๆ ยังจะไม่อยู่บ้าน เมื่อก่อนยังรู้จักทำงานบ้าน แต่ตอนนี้โดนลูกโอ๋จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว แม้แต่งานบ้านงานเรือนก็ไม่ทำสักอย่าง” น้ำเสียงของหวังฟางไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่โม่กินข้าวสองสามคำอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกับกู้หยุนหลาน “ที่รัก เหล่าชูเกิดเรื่องนิดหน่อย ผมจะลงไปดูก่อนว่าเขาเป็นยังไงบ้าง คุณค่อย ๆ กินข้าวนะ อีกเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่ทำงาน" "อืม คุณไปเถอะค่ะ" หลี่โม่ลุกขึ้นเดิน
ชูจงเทียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “คุณหลี่ คุณตกลงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาติจริง ๆ เหรอ? มัน… มันเป็นการแข่งขันที่อันตรายมาก ทุก ๆ ปีมีนักสู้ตายไปจำนวนมากเลยนะครับ! ผมหมายถึง คุณอย่าตัดสินใจเพราะเรื่องลูกชายของผมเลย ผมค่อยหาวิธีอื่นไปช่วยเขาก็ได้” ในเวลานี้ชูจงเทียนรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก แม้ว่าหลี่โม่จะตกลงเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ชูจงเทียนก็ยังกังวลอีกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ในการแข่งขันมวยใต้ดิน ชูจงเทียนรู้สึกว่าทั้งครอบครัวเขาคงจะต้องเกิดหายนะตามไปด้วย ชูจงเทียนตบหน้าผากด้วยความหงุดหงิดใจ มือทั้งสองข้างกำกางเกงแน่นแล้วพูดว่า "คุณหลี่ ผมคิดอะไรแย่เกินไป ผมไม่ควรดึงคุณเข้ามาเสี่ยงอันอันตรายกับเรื่องนี้ ผมติดต่อให้เพื่อนที่หงเหมินช่วยจัดการเรื่องนี้ดีกว่า" หลี่โม่ตบไหล่ชูจงเทียน "เหล่าชู สิ่งที่คุณกำลังพูดตอนนี้ต่างหากที่แย่ อย่าว่าแต่เรื่องที่คุณเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผมก่อนหน้านี้เลย ถ้าจะพูดง่าย ๆ ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะมุ่งเป้ามาที่ผมไม่ใช่เหรอ?” "เรื่องนั้น ดูเหมือนจะมุ่งเป้ามาที่คุณนะค
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา