"พูดมา" น้ำเสียงของหลี่โม่เย็นชาขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นเพียงคำคำเดียว แต่เมื่อบวกกับน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ท่านปาก็พลันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีภูเขาน้ำแข็งกดทับอยู่บนหัวของเขา “ครับ จางเต๋ออู่ผู้เป็นคนสนิทข้างกายราชินีมังกร จางเต๋ออู่แม้จะบอกว่าเป็นคนสนิท แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นนายบำเรอของราชินีมังกร ดังนั้นคุณอย่าไปสืบสาวเรื่องนี้เลยครับนายน้อย” ท่านปาเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงค่อย “นายบำเรอข้างกายราชินีมังกร? งั้นที่เขามาเพื่อฆ่าฉัน เป็นความตั้งใจของราชินีมังกรงั้นเหรอ?” ดวงตาของหลี่โม่หรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ความตั้งใจของราชินีมังกรอย่างแน่นอน มันเป็นความคิดของจางเต๋ออู่เอง ว่ากันว่าราชินีมังกรมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเขา ผมจึงเดาว่าเขามีแผนการบางอย่าง” หลังจากที่ท่านปาพูดจบ เขาก็นึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่รีบพูดจนไม่ได้คิดทบทวนเสียก่อนและแน่นอนว่าเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว "เอ้ย ๆ ๆ ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง นี่เป็นข่าวลือที่ผมได้ยินเขาว่ากันมา ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า" ท่านปาอธิบายด้วยสีหน้าขมขื่น หลี่โม่ยิ้มอย่างเย็นชา "คุณ
อีกฝั่งของมหาสมุทรอันไกลโพ้น ศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกลับ จางเจียต้งนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องบำบัดรักษา รังสีอัลตราไวโอเลตฉายทั่วร่างของจางเจียต้งจนแผ่เป็นรัศมีสีม่วง กลุ่มนักวิจัยผมบลอนด์ตาฟ้าในชุดโค้ทสีขาวกำลังเฝ้ามองจากนอกห้องบำบัด แต่ละคนต่างส่ายหัวไม่หยุด “เขาตกอยู่ในอาการโคม่าขั้นรุนแรง คลื่นสมองของเขาอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เพราะร่างกายของเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงขั้นแรกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงเสียชีวิตในระหว่างทางส่งกลับมาไปแล้ว” “ไอ้สารเลว ร่างทดลองขั้นต้นที่ประสบความสำเร็จได้อย่างยากลำบากถึงกับกลายเป็นแบบนี้ แล้วการวิจัยขั้นถัดไปจะทำยังไง! บอสโกรธมากกับเรื่องนี้!” "สถานการณ์ในปัจจุบันทำได้แค่รักษาชีวิตของเขาไว้ แต่ที่น่าแปลกใจมาก ถึงกับสามารถทำร้ายร่างกายทดลองได้ แต่สมรรถภาพในการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมาก แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการกลายร่างขั้นต้นก็ตาม" ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ผู้อาวุโสที่สุดที่มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาส่ายหัว "เอาผลการตรวจสอบไปที่ห้องประชุมเถอะ ท่านดยุกบรูทกำลังรอเราอยู่" “บอสมาด้วยตัวเองเลยเหรอ? พระเจ้า พวกเราคงไม่ถูกฆ่ากันหมดใช่ไหม ใจ
“แดนมังกร” มือที่โบกไปมาในอากาศของท่านดยุกบรูทชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาของเขาพลันส่องประกายความประหลาดใจ "เวรเอ๊ย! คนที่ลงมือเป็นใครในแดนมังกร?" ทอมส่งแท็บเล็ตให้ท่านดยุกบรูทและสิ่งที่ท่านดยุกบรูทเห็นก็คือรูปถ่ายของหลี่โม่ หลังจากนั้นท่านดยุกบรูทก็เริ่มก้มลงอ่านข้อมูล เมื่ออาจข้อมูลทั้งหมดและสรุปสถานการณ์ในวันที่เกิดเหตุขึ้นกับจางเจียต้งจบ ดวงตาของท่านดยุกบรูทก็เป็นประกายขึ้นมา “ชายหนุ่มผู้เคยถูกแดนมังกรทอดทิ้ง ตอนนี้ได้กลายเป็นผู้สืบทอดของแดนมังกรอีกครั้งงั้นเหรอ? แต่ถึงเขาจะได้ครอบครองแดนมังกร เขาก็ไม่ควรมาทำลายการทดลองของฉัน!” "บอส ผมคิดว่านี่เป็นโอกาส เราสั่งให้คนลักพาตัวเขามาสิครับ หากมีเขาเราก็สามารถเจรจากับแดนมังกรได้ ผมคิดว่าคัมภีร์บางส่วนของตะวันออกจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการทดลองของเรา แต่คัมภีร์เหล่านั้นล้วนอยู่ในโกดังของแดนมังกรทั้งหมด" บรูทครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและลืมตาขึ้นพูดว่า "ลองทดสอบดูก่อน สถานที่สำหรับการแข่งขันชกมวยนานาชาติในเร็ว ๆ นี้ยังไม่ได้กำหนด นายสามารถไปจัดที่กรุงโซลได้และหาทางให้หลี่โม่ขึ้นชกในสังเวียนก็แล้วกัน" “หึหึ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ มวยใต้
มันมุ่งเป้าไปที่หลี่โม่อย่างที่คิดจริง ๆ ! ชูจงเทียนรู้สึกตกตะลึง สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึงขึ้นมา "เอาอย่างนี้ งั้นผมขอคิดดูก่อนแล้วกัน แล้วผมจะให้คำตอบพวกคุณอีกทีหลังจากพิจารณาเสร็จแล้ว" "ฮะ ๆ ผมต้องให้เวลาคุณชูคิดได้อยู่แล้ว แต่คุณชูคุณมีเวลาพิจารณาเรื่องนี้ไม่มากนักนะครับ ผมหวังว่าจะได้รับคำตอบจากคุณก่อนเที่ยงตรงครับ" "ได้เลย" ชูจงเทียนเอ่ยอย่างเฉยเมย ในใจนึกอยากจะตอบกลับไปว่า ไอ้เวรเอ๊ย รอฟ้าสางฉันไปบอกเรื่องนี้กับหลี่โม่ เขาก็ไม่มีทางตกลงกับพวกแกหรอกโว้ย คนที่อยู่ปลายสายดูเหมือนจะรู้ล่วงรู้ความคิดของชูจงเทียน จึงเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน "จริงสิ ในกล่องอีเมลของคุณมีอีเมลอยู่ฉบับหนึ่ง คุณสามารถดูวิดีโอในอีเมลก่อนแล้วค่อยตัดสินใจทีหลังก็ได้นะครับ” เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ชูจงเทียนก็ขมวดคิ้ว "วิดีโอ? พวกแกจะไปอัดวิดีโอวิดีโออะไรได้ อย่างดีก็เป็นวิดีโอที่ฉันหลับนอนกับผู้หญิง อย่างแย่ที่สุดแค่ปล่อยให้พวกแกเอาไปเผยแพร่ก็เท่านั้น" ชูจงเทียนพูดพึมพำ แล้วลงชื่อเข้าใช้อีเมลด้วยโทรศัพท์มือถือของเขา แน่นอนว่ามีอีเมลใหม่ในกล่องอีเมลอยู่จริง ๆ ชูจงเทียนคลิกเข้าไปดูอีเมล อีเมลไม่ได้
"คุณหลี่ ผมกำลังเจอปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องให้คุณหลี่ช่วยตัดสินใจครับ" ชูจงเทียนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง "คุณอยู่ที่ไหน?" “อยู่ชั้นล่างบ้านคุณครับ” “เดี๋ยวผมลงไป” หลี่โม่วางสาย ในใจสงสัยว่าชูจงเทียนจะไปเจอปัญหาใหญ่อะไรได้ หรือมีใครมาแย่งชิงเขตอิทธิพลของเขาไปอีก? หวังฟางจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่ "แกจะไปเสเพลอะไรของแกอีกแล้วใช่ไหม? แกเป็นแค่คนล่องลอยไม่มีงานทำ อย่าแสร้งทำตัวเป็นคนใหญ่คนโตมีงานการยุ่งนักเลย อยู่บ้านทำงานบ้านให้มันเอาจริงเอาจังซะบ้าง!” "แม่คะ ถ้าหลี่โม่ต้องจะออกไปเขาต้องมีธุระอะไรแน่ แม่ก็อย่าทำให้มันวุ่นวายเลยค่ะ" กู้หยุนหลานพูดโน้มน้าว “มันจะไปมีธุระอะไรได้ เป็นแค่คนไร้ประโยชน์แล้ววัน ๆ ยังจะไม่อยู่บ้าน เมื่อก่อนยังรู้จักทำงานบ้าน แต่ตอนนี้โดนลูกโอ๋จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว แม้แต่งานบ้านงานเรือนก็ไม่ทำสักอย่าง” น้ำเสียงของหวังฟางไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่โม่กินข้าวสองสามคำอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกับกู้หยุนหลาน “ที่รัก เหล่าชูเกิดเรื่องนิดหน่อย ผมจะลงไปดูก่อนว่าเขาเป็นยังไงบ้าง คุณค่อย ๆ กินข้าวนะ อีกเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่ทำงาน" "อืม คุณไปเถอะค่ะ" หลี่โม่ลุกขึ้นเดิน
ชูจงเทียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “คุณหลี่ คุณตกลงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาติจริง ๆ เหรอ? มัน… มันเป็นการแข่งขันที่อันตรายมาก ทุก ๆ ปีมีนักสู้ตายไปจำนวนมากเลยนะครับ! ผมหมายถึง คุณอย่าตัดสินใจเพราะเรื่องลูกชายของผมเลย ผมค่อยหาวิธีอื่นไปช่วยเขาก็ได้” ในเวลานี้ชูจงเทียนรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก แม้ว่าหลี่โม่จะตกลงเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ชูจงเทียนก็ยังกังวลอีกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ในการแข่งขันมวยใต้ดิน ชูจงเทียนรู้สึกว่าทั้งครอบครัวเขาคงจะต้องเกิดหายนะตามไปด้วย ชูจงเทียนตบหน้าผากด้วยความหงุดหงิดใจ มือทั้งสองข้างกำกางเกงแน่นแล้วพูดว่า "คุณหลี่ ผมคิดอะไรแย่เกินไป ผมไม่ควรดึงคุณเข้ามาเสี่ยงอันอันตรายกับเรื่องนี้ ผมติดต่อให้เพื่อนที่หงเหมินช่วยจัดการเรื่องนี้ดีกว่า" หลี่โม่ตบไหล่ชูจงเทียน "เหล่าชู สิ่งที่คุณกำลังพูดตอนนี้ต่างหากที่แย่ อย่าว่าแต่เรื่องที่คุณเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผมก่อนหน้านี้เลย ถ้าจะพูดง่าย ๆ ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะมุ่งเป้ามาที่ผมไม่ใช่เหรอ?” "เรื่องนั้น ดูเหมือนจะมุ่งเป้ามาที่คุณนะค
กู้เจี้ยนเจียงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ไกล รอบตัวเขายังมีผู้รับเหมาหลายคน กลุ่มคนล้อมรอบกู้เจี้ยนเจียงพลางหัวเราะพูดคุย "หยุนหลานมาแล้ว รีบเข้ามารอก่อน ลุงใหญ่ของเธอไปรับซินแสจาง ท่านนี้เป็นคนใหญ่คนโตที่มีภูมิหลังมากมาย ส่วนสองท่านนี้อีกเดี๋ยวก็ระมัดระวังหน่อย อะไรไม่ควรพูดก็อย่าพูด" กู้หยุนหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย "นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังเชื่อในความเชื่อโชคลางล้าสมัยพวกนี้อยู่อีกล่ะคะ" "หึหึ หยุนหลานอย่าพูดจาเลอะเทอะ ซินแสจางไม่ใช่คนธรรมดา เทคนิคลับในการดูฮวงจุ้ยของตระกูลกู้สืบทอดกันมานานนับพันปีแล้ว เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก ว่ากันว่าฝีมือของซินแสจางนั้นยอดเยี่ยมมาก ประธานหวัง พวกคุณช่วยบอกหลานสาวของผมหน่อยสิว่าซินแสจางสุดยอดแค่ไหน" กู้เจี้ยนเจียงเอ่ยวางมาดเป็นอาวุโส ประธานหวังและผู้รับเหมาคนอื่น ๆ ที่ติดตามอยู่ข้างกายกู้เจี้ยนเจียง ก็พากันเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของซินแสจางกันน้ำลายกระเซ็นว่อน "เรื่องภูมิหลังของครอบครัวของซินแสจางคงไม่ต้องพูดมากแล้ว ก็เป็นตระกูลฮวงจุ้ยที่มีอายุนับพันปีนี่นะ ย่อมต้องเป็นเบอร์หนึ่งในโลกของฮวงจุ้ยอย่างแน่นอน เรามาพูดถึงสิ่งที่
กู้เจี้ยนเจียงจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่ แทบอยากจะอัดหลี่โม่แรง ๆ สักสองฉาด เรื่องใหญ่อย่างการต้อนรับซินแสจางแบบนี้ยังจะดื้อรั้น ถ้าทำให้ซินแสจางขุ่นเคืองใจขึ้นมาจริง ๆ เขาแค่แอบเล่นตุกติกอะไรสักหน่อยก็สามารถทำให้ตระกูลกู้บ้านแตกสาแหรกขาดได้เลย เรื่องเทพเจ้าผีสางเป็นเรื่องไกลตัว แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับตัวเองจริง ๆ ใครก็ต่างรู้สึกยำเกรง กู้เจี้ยนเจียงในตอนนี้เองก็เช่นกัน หลี่โม่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยาม "ซินแสอะไรกัน ก็แค่พวกดูดวงต้มตุ๋น ทำไมต้องเคารพนับถือคนหลอกลวงแบบนี้ด้วย" เมื่อเห็นหลี่โม่บอกว่าซินแสจางเป็นคนหลอกลวง กู้เจี้ยนเจียงก็กระทืบเท้าอย่างร้อนใจ แล้วชี้หน้าตวาดใส่หลี่โม่ "แกอยากตายใช่ไหม ถึงกล้าดูหมิ่นซินแสจางแบบนี้! กู้หยุนหลาน รีบเอาไอ้สามีขยะของแกออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะพูดอะไรมั่วซั่วได้!" ชายหนุ่มในชุดฮั่นฝูทั้งสี่คนมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาเย็นชาและเดินไปทางหลี่โม่ช้า ๆ ค่อย ๆ เผยเป็นลักษณะการล้อมกรอบเข้ามา “แกกล้าพูดว่าซินแสจางเป็นคนหลอกลวง! ซินแสจางนั้นได้รับวิชามาจากปรมจารย์ซินแส และตอนนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวแที่จะสามารถรับตำแหน่งซิน