มันมุ่งเป้าไปที่หลี่โม่อย่างที่คิดจริง ๆ ! ชูจงเทียนรู้สึกตกตะลึง สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึงขึ้นมา "เอาอย่างนี้ งั้นผมขอคิดดูก่อนแล้วกัน แล้วผมจะให้คำตอบพวกคุณอีกทีหลังจากพิจารณาเสร็จแล้ว" "ฮะ ๆ ผมต้องให้เวลาคุณชูคิดได้อยู่แล้ว แต่คุณชูคุณมีเวลาพิจารณาเรื่องนี้ไม่มากนักนะครับ ผมหวังว่าจะได้รับคำตอบจากคุณก่อนเที่ยงตรงครับ" "ได้เลย" ชูจงเทียนเอ่ยอย่างเฉยเมย ในใจนึกอยากจะตอบกลับไปว่า ไอ้เวรเอ๊ย รอฟ้าสางฉันไปบอกเรื่องนี้กับหลี่โม่ เขาก็ไม่มีทางตกลงกับพวกแกหรอกโว้ย คนที่อยู่ปลายสายดูเหมือนจะรู้ล่วงรู้ความคิดของชูจงเทียน จึงเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน "จริงสิ ในกล่องอีเมลของคุณมีอีเมลอยู่ฉบับหนึ่ง คุณสามารถดูวิดีโอในอีเมลก่อนแล้วค่อยตัดสินใจทีหลังก็ได้นะครับ” เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ชูจงเทียนก็ขมวดคิ้ว "วิดีโอ? พวกแกจะไปอัดวิดีโอวิดีโออะไรได้ อย่างดีก็เป็นวิดีโอที่ฉันหลับนอนกับผู้หญิง อย่างแย่ที่สุดแค่ปล่อยให้พวกแกเอาไปเผยแพร่ก็เท่านั้น" ชูจงเทียนพูดพึมพำ แล้วลงชื่อเข้าใช้อีเมลด้วยโทรศัพท์มือถือของเขา แน่นอนว่ามีอีเมลใหม่ในกล่องอีเมลอยู่จริง ๆ ชูจงเทียนคลิกเข้าไปดูอีเมล อีเมลไม่ได้
"คุณหลี่ ผมกำลังเจอปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องให้คุณหลี่ช่วยตัดสินใจครับ" ชูจงเทียนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง "คุณอยู่ที่ไหน?" “อยู่ชั้นล่างบ้านคุณครับ” “เดี๋ยวผมลงไป” หลี่โม่วางสาย ในใจสงสัยว่าชูจงเทียนจะไปเจอปัญหาใหญ่อะไรได้ หรือมีใครมาแย่งชิงเขตอิทธิพลของเขาไปอีก? หวังฟางจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่ "แกจะไปเสเพลอะไรของแกอีกแล้วใช่ไหม? แกเป็นแค่คนล่องลอยไม่มีงานทำ อย่าแสร้งทำตัวเป็นคนใหญ่คนโตมีงานการยุ่งนักเลย อยู่บ้านทำงานบ้านให้มันเอาจริงเอาจังซะบ้าง!” "แม่คะ ถ้าหลี่โม่ต้องจะออกไปเขาต้องมีธุระอะไรแน่ แม่ก็อย่าทำให้มันวุ่นวายเลยค่ะ" กู้หยุนหลานพูดโน้มน้าว “มันจะไปมีธุระอะไรได้ เป็นแค่คนไร้ประโยชน์แล้ววัน ๆ ยังจะไม่อยู่บ้าน เมื่อก่อนยังรู้จักทำงานบ้าน แต่ตอนนี้โดนลูกโอ๋จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว แม้แต่งานบ้านงานเรือนก็ไม่ทำสักอย่าง” น้ำเสียงของหวังฟางไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่โม่กินข้าวสองสามคำอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกับกู้หยุนหลาน “ที่รัก เหล่าชูเกิดเรื่องนิดหน่อย ผมจะลงไปดูก่อนว่าเขาเป็นยังไงบ้าง คุณค่อย ๆ กินข้าวนะ อีกเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่ทำงาน" "อืม คุณไปเถอะค่ะ" หลี่โม่ลุกขึ้นเดิน
ชูจงเทียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “คุณหลี่ คุณตกลงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาติจริง ๆ เหรอ? มัน… มันเป็นการแข่งขันที่อันตรายมาก ทุก ๆ ปีมีนักสู้ตายไปจำนวนมากเลยนะครับ! ผมหมายถึง คุณอย่าตัดสินใจเพราะเรื่องลูกชายของผมเลย ผมค่อยหาวิธีอื่นไปช่วยเขาก็ได้” ในเวลานี้ชูจงเทียนรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก แม้ว่าหลี่โม่จะตกลงเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ชูจงเทียนก็ยังกังวลอีกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ในการแข่งขันมวยใต้ดิน ชูจงเทียนรู้สึกว่าทั้งครอบครัวเขาคงจะต้องเกิดหายนะตามไปด้วย ชูจงเทียนตบหน้าผากด้วยความหงุดหงิดใจ มือทั้งสองข้างกำกางเกงแน่นแล้วพูดว่า "คุณหลี่ ผมคิดอะไรแย่เกินไป ผมไม่ควรดึงคุณเข้ามาเสี่ยงอันอันตรายกับเรื่องนี้ ผมติดต่อให้เพื่อนที่หงเหมินช่วยจัดการเรื่องนี้ดีกว่า" หลี่โม่ตบไหล่ชูจงเทียน "เหล่าชู สิ่งที่คุณกำลังพูดตอนนี้ต่างหากที่แย่ อย่าว่าแต่เรื่องที่คุณเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผมก่อนหน้านี้เลย ถ้าจะพูดง่าย ๆ ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะมุ่งเป้ามาที่ผมไม่ใช่เหรอ?” "เรื่องนั้น ดูเหมือนจะมุ่งเป้ามาที่คุณนะค
กู้เจี้ยนเจียงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ไกล รอบตัวเขายังมีผู้รับเหมาหลายคน กลุ่มคนล้อมรอบกู้เจี้ยนเจียงพลางหัวเราะพูดคุย "หยุนหลานมาแล้ว รีบเข้ามารอก่อน ลุงใหญ่ของเธอไปรับซินแสจาง ท่านนี้เป็นคนใหญ่คนโตที่มีภูมิหลังมากมาย ส่วนสองท่านนี้อีกเดี๋ยวก็ระมัดระวังหน่อย อะไรไม่ควรพูดก็อย่าพูด" กู้หยุนหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย "นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังเชื่อในความเชื่อโชคลางล้าสมัยพวกนี้อยู่อีกล่ะคะ" "หึหึ หยุนหลานอย่าพูดจาเลอะเทอะ ซินแสจางไม่ใช่คนธรรมดา เทคนิคลับในการดูฮวงจุ้ยของตระกูลกู้สืบทอดกันมานานนับพันปีแล้ว เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก ว่ากันว่าฝีมือของซินแสจางนั้นยอดเยี่ยมมาก ประธานหวัง พวกคุณช่วยบอกหลานสาวของผมหน่อยสิว่าซินแสจางสุดยอดแค่ไหน" กู้เจี้ยนเจียงเอ่ยวางมาดเป็นอาวุโส ประธานหวังและผู้รับเหมาคนอื่น ๆ ที่ติดตามอยู่ข้างกายกู้เจี้ยนเจียง ก็พากันเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของซินแสจางกันน้ำลายกระเซ็นว่อน "เรื่องภูมิหลังของครอบครัวของซินแสจางคงไม่ต้องพูดมากแล้ว ก็เป็นตระกูลฮวงจุ้ยที่มีอายุนับพันปีนี่นะ ย่อมต้องเป็นเบอร์หนึ่งในโลกของฮวงจุ้ยอย่างแน่นอน เรามาพูดถึงสิ่งที่
กู้เจี้ยนเจียงจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่ แทบอยากจะอัดหลี่โม่แรง ๆ สักสองฉาด เรื่องใหญ่อย่างการต้อนรับซินแสจางแบบนี้ยังจะดื้อรั้น ถ้าทำให้ซินแสจางขุ่นเคืองใจขึ้นมาจริง ๆ เขาแค่แอบเล่นตุกติกอะไรสักหน่อยก็สามารถทำให้ตระกูลกู้บ้านแตกสาแหรกขาดได้เลย เรื่องเทพเจ้าผีสางเป็นเรื่องไกลตัว แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับตัวเองจริง ๆ ใครก็ต่างรู้สึกยำเกรง กู้เจี้ยนเจียงในตอนนี้เองก็เช่นกัน หลี่โม่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยาม "ซินแสอะไรกัน ก็แค่พวกดูดวงต้มตุ๋น ทำไมต้องเคารพนับถือคนหลอกลวงแบบนี้ด้วย" เมื่อเห็นหลี่โม่บอกว่าซินแสจางเป็นคนหลอกลวง กู้เจี้ยนเจียงก็กระทืบเท้าอย่างร้อนใจ แล้วชี้หน้าตวาดใส่หลี่โม่ "แกอยากตายใช่ไหม ถึงกล้าดูหมิ่นซินแสจางแบบนี้! กู้หยุนหลาน รีบเอาไอ้สามีขยะของแกออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะพูดอะไรมั่วซั่วได้!" ชายหนุ่มในชุดฮั่นฝูทั้งสี่คนมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาเย็นชาและเดินไปทางหลี่โม่ช้า ๆ ค่อย ๆ เผยเป็นลักษณะการล้อมกรอบเข้ามา “แกกล้าพูดว่าซินแสจางเป็นคนหลอกลวง! ซินแสจางนั้นได้รับวิชามาจากปรมจารย์ซินแส และตอนนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวแที่จะสามารถรับตำแหน่งซิน
“แค่ขอให้ภรรยาของคุณเปิดประตูรถให้ซินแสจางไม่ใช่เหรอ นั่นเป็นวาสนาเชียวนะ เกิดซินแสจางถูกใจภรรยาของนายแล้วรับเป็นศิษย์ ต่อไปในอนาคตนายจะต้องกินอยู่สุขสบายแน่นอน” ในขณะที่ประธานหวังและคนอื่น ๆ กำลังพูดเกลี้ยกล่อม เหล่าลูกศิษย์ที่สวมชุดฮั่นฝูก็ล้อมซินแสจางไว้แล้วเดินเข้ามา “อะไรคือต้นเหตุของการโต้เถียงกันแน่? ผู้ฝึกตนในสำนักของฉันควรจะมีเมตตาต่อผู้อื่น หมิงเต๋อ จงอธิบายเหตุผลมาอย่างละเอียด” ซินแสจางมองไปทางลูกศิษย์ที่ยโสอวดดีเมื่อครู่ หมิงเต๋อชำเลืองมองหลี่โม่และหันกลับมาคำนับซินแสจางเล็กน้อย "ท่านอาจารย์ ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแต่ต้อนรับอาจารย์อย่างหยาบคายเท่านั้น แต่ยังบอกว่าอาจารย์เป็นคนหลอกลวงด้วย เรื่องนี้ศิษย์ทนไม่ได้" "หืม?" ซินแสจางส่งเสียงขึ้นจมูก ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ล้วนเผยความหมายที่ไม่พอใจออกมา ซินแสผู้สูงส่งถูกกล่าวว่าเป็นคนหลอกลวง นี่เป็นเรื่องกระตุกหนวดเสือของซินแสจางเลยทีเดียว หลายคนที่เคยบอกว่าซินแสจางเป็นคนหลอกลวงในอดีต สุดท้ายก็ล้วนถูกซินแสจางจัดการจนย่อยยับไปทุกราย เรื่องราวของความพินาศย่อยยับของผู้คนเหล่านั้นค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องเล่าต่อกันมา หล่อหลอมชื่อเ
กู้หยุนหลานติดตามอยู่ข้างกายซินแสจางและเดินไปที่ไซต์ก่อสร้างพร้อมด้วยกลุ่มลูกศิษย์ของซินแสจางที่อยู่ล้อมรอบ หมิงเต๋ออยู่ต่อพร้อมด้วยศิษย์พี่ศิษย์น้องหกคน จ้องมองหลี่โม่ราวจะกินเลือดกินเนื้อและมองว่าหลี่โม่เป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน เมื่อพวกกู้เจี้ยนกั๋วกู้เจี้ยนเจียงและคนอื่น ๆ เห็นว่าซินแสจางไม่โกรธ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย “ไอ้ขยะนี่ เมื่อกี้สมองส่วนไหนของแกมีปัญหาหรือไง? นั่นคือซินแสจางนะ แกกล้าพูดจาล่วงเกินเขา แกอยากทำให้ซินแสจางโกรธแล้วทำลายฮวงจุ้ยของตระกูลอย่างนั้นหรือไง!” กู้เจี้ยนกั๋วตำหนิหลี่โม่ด้วยความโมโห หลี่โม่เมินเฉยต่อกู้เจี้ยนกั๋ว แต่หรี่ตามองพวกซินแสจางที่เดินห่างออกไป เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ตลอด ราวกับว่ามีบางสิ่งที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าหลี่โม่เมินไม่สนใจตน กู้เจี้ยนกั๋วก็พลันหัวเสียด้วยความอับอาย เขารู้สึกว่าหลี่โม่พยายามฉีกหน้าตนต่อหน้าคนอื่นจึงผลักหลี่โม่อย่างแรง "ฉันกำลังพูดกับแกนะ! แกจะแกล้งทำเป็นหูหนวกทำไม! ท่านซินแสจางใจกว้างกับแก แต่ในใจแกเองคิดอะไรไม่ได้บ้างเลยหรือยังไง รีบขอโทษอาจารย์หมิงเต๋อเร็วเข้า" หมิงเต๋อประสานมือไว
กู้หยุนหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยธรรมชาติรักสวยรักงามของผู้หญิง เจอวิธีการพูดของซินแสจางเข้าไปก็ค่อนข้างหวั่นไหว“การฝึกฝนจะไม่มีอันตรายใช่ไหมคะ? ได้ยินว่ามีคนเยอะมากที่ฝึกแล้วเกิดปัญหา" กู้หยุนหลานพูดอย่างลังเล“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นมันพวกคนที่ไม่ได้ฝึกกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงน่ะสิ ถ้าฝึกกับฉันไม่มีทางมีเรื่องแบบนั้นหรอก หลังจากงานเลี้ยงตอนค่ำเธอตามฉันไปที่ห้องฝึกก็ได้แล้ว นับว่าเป็นโชคชะตาระหว่างเธอกับฉันด้วย”ซินแสจางเห็นว่ากู้หยุนหลานมีท่าทีระวังตัว ดังนั้นจึงลดข้อกำหนดลง ขอแค่ชักจูงให้กู้หยุนหลานไปที่ห้องของตัวเองได้ก็พอ หลังจากเข้าห้องไปทุกอย่างก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกู้หยุนหลานแล้วแหละกู้หยุนหลานเงียบไปสักพักแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “เดี๋ยวรอถามสามีสักหน่อยดีกว่าค่ะ ดูว่าเขาคิดเห็นยังไงบ้าง”ซินแสจางมองกู้หยุนหลานอย่างแปลกใจและนึกถึงท่าทีของหลี่โม่เมื่อกี้ ในแววตาก็ปรากฏประกายความชั่วร้ายขึ้น“เหอะ ๆ นี่เป็นโอกาสที่ฉันมอบให้เธอ หวังว่าเธอกู้จะพิจารณาดี ๆ ถ้าสามีของเธอห้ามไว้ แบบนั้นก็คงน่าเสียดายจริง ๆ ”กู้หยุนหลานหายใจเข้าลึก ๆ ส่ายหน้าแล้วพูด “เชิญซินแสจางดูฮวงจุ้ยได้เลยค่ะ”“ได
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา