ตอนเที่ยง ณ โรงงานร้างแห่งหนึ่งย่านชานเมือง พื้นที่โดยรอบของโรงงานร้างเต็มไปด้วยหน่วยเฝ้าระวังทั้งในที่แจ้งและที่ลับ และดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจับตามองการเคลื่อนไหวรอบโรงงาน ฉินจี้เย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าจริงจังและมีคนสิบกว่าคนนั่งห่างจากเขาไปไม่ไกลด้วยสีหน้าต่างกันไป บางคนก็เย็นชามาก บางคนเกียจคร้าน บางคนช่างพูดอยู่ไม่นิ่ง ดูไปแล้วช่างแปลกประหลาด “คุณชายฉิน แล้วราชาทหารที่คุณพูดถึงนั่นล่ะ พวกเราล้วนเป็นนักฆ่าเลี่ยงชื่อทั้งนั้น ไม่มีภารกิจไหนที่เราไม่เคยทำ อย่าเอาผู้นำอ่อนหัดมาสั่งการพวกเรา ไม่อย่างนั้นพวกเราไปทำกันเองซะยังดีกว่า” นักฆ่าที่นั่งหลุกหลิกอยู่ตลอด ดูไปแล้วเหมือนกับเด็กไฮเปอร์คนหนึ่งพูดขึ้น “เว่ยหย่ง นายสำเหนียกฐานะตัวเองให้ดีจะดีกว่า อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนจ่ายค่าจ้างให้นาย” บอดี้การ์ดของฉินจี้เย่เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา “เฮ้ย แกมันก็แค่สุนัขข้างกายคุณชายฉินไม่ใช่รึไง ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ถึงยังไงฉันก็พึ่งความสามารถของตัวเองทำมาหากิน ยังไงก็มีเกียรติมากกว่าหมาอย่างแกเยอะ” เว่ยหย่งกล่าวอย่างเหยียดหยาม บอดี้การ์ดโกรธมากจนจะเอื้อมมือไปชักปืน แต่ฉินจี้เย่ยั้
นักฆ่าอารมณ์ร้อนหลายคนตะโกนขึ้นว่าต้องการฆ่าหลี่โม่เพื่อระบายโทสะในใจ ฉินจี้เย่มองไปทางหลี่โม่ด้วยรอยยิ้ม “คุณหลี่ช่างสร้างเรื่องเก่งจริง ๆ คุณทักทายพวกเขาดี ๆ ไม่ได้เหรอครับ” “ก็แค่พวกกระจอก ทำไมฉันต้องทักทายด้วย” หลี่โม่กล่าวอย่างเรียบเฉย เว่ยหย่งส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาหยิบมีดผ่าตัดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วสะบัดข้อมือ มีดผ่าตัดกลายเป็นประกายแสงเย็นเยือกพุ่งไปยังหลี่โม่ เว่ยหย่งถือเป็นหนึ่งในสามอันดับต้นของนักฆ่ากลุ่มนี้ เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ชอบใช้อาวุธร้อนอย่างพวกปืนแล้ว เว่ยหย่งชอบใช้อาวุธเย็นมากกว่า ซึ่งเขาชอบใช้อาวุธลับเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องฤทธิ์มีดสั้นหรือเปล่า ทำให้เว่ยหย่งหมั่นฝึกฝนทักษะการใช้มีดบินอย่างหนัก แทบจะเรียกได้ว่าอัตราเข้าเป้าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยพื้นฐานหากได้สะบัดมีดบินออกไปแล้วก็ต้องได้เห็นเลือดกันบ้างล่ะ ครั้งนี้เว่ยหย่งรู้สึกว่ามันก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ชั่วขณะที่มีดผ่าตัดพุ่งออกไป เว่ยหย่งก็เกิดรู้สึกว่าคราวนี้เขาโจมตีโดนหลี่โม่ได้อย่างแน่นอน และสั่งสอนบทเรียนให้กับไอ้เจ้าคนโอหังนี่สักหน่อย มีดผ่าตัดมีควา
ฉินจี้เย่ชำเลืองมองไปยังหลี่โม่แล้วมองไปทางเหอปิง ควันเบื้องหน้าของเหอปิงเบาบางลง เมื่อมองสีหน้าของเหอปิงผ่านม่านควันก็รู้สึกว่าใบหน้าของเหอปิงบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เว่ยหย่งและคนอื่น ๆ มองหลี่โม่ด้วยสายตาโกรธจัด คิดว่าหลี่โม่นั้นกำลังยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง “มันชักจะโอหังไปแล้ว พี่ปิงพวกเราทนไม่ได้แล้ว” เว่ยหย่งเอ่ยด้วยลำคอแหบแห้ง ควันสีขาวสองสายพ่นออกมาจากรูจมูกของเหอปิง ควันหนาทึบลอยอยู่ตรงหน้าเขา ดูราวกับว่าเขากำลังจะกลายเป็นเซียนอย่างนั้น “ไม่ต้องรีบร้อน การจัดการราชาทหารนั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด” เหอปิงดีดขี้บุหรี่ทิ้งแล้วพูดอย่างเฉยเมย “ส่วนเขา ค่อยจัดการตอนสุดท้าย” “ราชาทหารมีอะไรต้องกังวลกัน ตอนนี้ราชาทหารมียั้วเยี้ยอย่างกับสุนัข ทหารราชาสิบคนก็มีพวกไร้ความสามารถอยู่แปดคนแล้ว” เว่ยหย่งกล่าวอย่างไม่พอใจ เมื่อครู่เสียหน้าด้วยน้ำมือของหลี่โม่แล้ว เว่ยหย่งแทบทนรอกู้หน้าคืนมาไม่ไหว แต่เว่ยหย่งนั้นไม่สามารถเอามันกลับคืนมาเองได้ เขาจึงได้แต่ขอให้เหอปิงช่วยลงมือ เหอปิงแค่นหัวเราะเย็นชา สายตามองไปที่ฉินจี้เย่ “คุณชายฉิน คุณไม่ต้องปิดไว้แล้ว บอกภูมิหลังของราชาทหาร
สำหรับเย่จงเทียน หลี่โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่าคนที่มีชีวิตอยู่แล้วมีตำนานได้มากขนาดนี้มีไม่กี่คนตึง ตึง ตึงเสียงฝีเท้าดังเป็นระเบียบราวกับเสียงกลองรบดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งใส่ชุดลายพราง พวกชายฉกรรจ์ที่มีกลิ่นอายสังหารกระจายไปทั่วทั้งตัวเดินเข้ามากลุ่มชายฉกรรจ์อีกด้านใส่ชุดฮาวาย เย่จงเทียนย่ำสเก็ตบอร์ด สูบไปป์และเดินอย่างช้า ๆภายใต้จังหวะการเดินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของพวกชายฉกรรจ์ เย่จงเทียนราชาทหารผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นราวกับนักเลง“โธ่ ทุกคนมาเร็วกันเอง เราไม่ได้มาสายใช่ไหม?”เย่จงเทียนหัวเราะร่าพลางพูดฉินจี้เย่รีบลุกขึ้น วิ่งเหยาะ ๆ ไปต้อนรับเย่จงเทียน“พี่เย่ พี่มาทันพอดีเลย ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไปหรอกครับ”ฉินจี้เย่พูดอย่างเอาใจนี่คือคนที่ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังส่งมา ฉินจี้เย่ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าต้องประจบเย่จงเทียนให้ดีเย่จงเทียนตบแก้มของฉินจี้เย่เบา ๆ หัวเราะแล้วพูด “นายคือเสี่ยวฉินสินะ ใช่แล้ว ๆ พูดจาได้ดี คนของนายมาหมดแล้วสินะ พวกเขาไม่ศรัทธาในตัวฉันใช่ไหม?”“เอ่อ… ผมไปพูดกับพวกเขาได้ครับ พวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของพี่แน่นอน”ฉินจี้เย่พูดอย่างกังวล
“พี่เย่ คุณหลี่ พวกคุณอย่าเถียงกันแบบนี้เลยได้ไหม มีอะไรเราพูดจากันดี ๆ พวกซุนจื่อบรรพบุรุษอะไรนั่น พูดมากไปก็มีแต่เจ็บกับโกรธ”ฉินจี้เย่กัดฟันไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกันเย่จงเทียนยิ้มขึ้นมาทันทีเหมือนไม่เคยโกรธมาก่อน “เสี่ยวฉิน คนที่นายหามาล้วนเป็นพวกวีรบุรุษเหมือนจะดูถูกฉันเย่จงเทียนนะ นี่เห็นฉันเป็นของเลี่ยงภาษีกันหรือไง?”แม้ว่าเย่จงเทียนจะกำลังยิ้ม แต่คำที่พูดออกมาทำให้ฉินจี้เย่ขนพองสยองเกล้าเลยการกระทำครั้งนี้เดิมทียึดเย่จงเทียนเป็นหลัก คนของลูกน้องฉินจี้เย่แค่มาช่วยเท่านั้นเอง แต่เพราะว่าแผนของฉินจี้เย่ผิดพลาดทำให้ตอนนี้ไม่ว่าพวกนักฆ่าอย่างเหอปิง หรือพวกที่มีการช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างหลี่โม่ก็ล้วนไม่เชื่อเย่จงเทียนฉินจี้เย่ที่ปวดหัวแทบระเบิด เขาเสียใจมากและพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ไม่ใช่ครับ ไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่จริงคือปฏิบัติการครั้งนี้มันใหญ่เกินไป ทุกคนค่อนข้างกังวล พี่เย่อธิบายแผนการให้พวกเขาฟังดี ๆ พวกเขาต้องสบายใจขึ้นแน่นอน”ฉินจี้เย่พยายามอธิบาย เหอปิงสะบัดก้นบุหรี่ในมือและลุกขึ้นเดินผ่านควันบุหรี่ไปหาเย่จงเทียน“ราชาทหารเย่ ทุกคนล้วนเสี่ยงทำค้าขาย การจะไม่เช
“เย่จงเทียน นี่คุณทำเกินไปหรือเปล่า ถ้ามีความสามารถก็มาสู้กับพี่ปิงของเราตัวต่อตัว อย่ามาใช้อาวุธที่ได้เปรียบมาทำร้ายคนอื่น”“ใช่ คุณมีความสามารถก็สู้กันตัวต่อตัวสิ ทำให้พวกเราเห็นว่าคุณเป็นผู้ชายที่กล้าหาญหรือเปล่า อย่าใช้อาวุธมาคุยกันแบบนี้สิ”เย่จงเทียนยิ้มเย็นชาและมองพวกของเหอปิงอย่างดูถูก “ฉันเป็นคนที่อยู่ในกองทัพ ไม่เคยทำเรื่องโง่ ๆ อย่างการสู้ตัวต่อตัวหรอก ถ้าพวกแกสามารถต้านได้ก็มาสู้กับพวกของฉัน แต่ถ้าพวกแกไม่สามารถต้านได้ก็อย่าพูดอะไรส่งเดช”สิ่งที่เย่จงเทียนพูดคือคำพูดทางทหาร ทางทหารไม่โอ้อวดกันเรื่องกำลังส่วนตัว เพราะว่ากำลังส่วนตัวไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไหร่ในกองทัพ ความสามารถในการบัญชาการนั้นสำคัญยิ่งกว่านายพลผู้กล้าหาญของราชวงศ์ก็เป็นแค่ผู้ริเริ่มเท่านั้น นายพลผู้มีชื่อเสียงล้วนใช้สมองหากิน ส่วนกำลังมีไว้เพื่อประดับเท่านั้น สำหรับเรื่องราวความกล้าหาญของนายพลผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นล้วนเป็นการตีความกันไปเองพวกเว่ยหย่งล้วนเป็นพวกในใจขุ่นเคืองแต่ไม่กล้าพูดออกมา ใช้สายตาโกรธเคืองมองเย่จงเทียนแต่กลับไม่กล้าด่าอะไรอีกอีกฝ่ายเอาปืนแก็ตลิงออกมาแล้ว ถ้ายั่วโมโหเย่จงเทียนจร
เหอปิงจะพาพวกเว่ยหย่งกลับไป ยั่วโมโหก็ไม่ได้ซ่อนตัวก็ไม่ได้ ธุรกิจใหญ่โตตรงหน้าต้องการจะเอาชีวิตคนจริง ๆ อีกทั้งเหอปิงเองก็รู้สึกว่าอัตราความสำเร็จไม่มีเลยแม้แต่น้อยนักฆ่าทางด้านเหอปิงมีอยู่สิบกว่าคน ทหารรับจ้างที่เย่จงเทียนพามาก็เป็นกลุ่มสู้รบเล็ก ๆ สองกลุ่มรวมแล้วมีแค่สามสิบคนเท่านั้นคนทั้งหมดสี่สิบกว่าคนไปจัดการคนร้อยกว่าคนที่อยู่ในภูมิประเทศที่สะดวกกว่า อีกทั้งมีอาวุธครบมือ มีอาวุธหนักด้วย คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไร้สาระเหมือนเพ้อฝัน เพียงแค่เข้าร่วมเกรงว่าสุดท้ายแล้วผลที่ได้คือจะจบชีวิตกันทั้งหมดนี่ไม่ใช่การถ่ายภาพยนตร์ ไม่ได้มีฮีโร่ แม้จะเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ก็ตายได้ เหอปิงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะคิดแก้ปัญหาในทุกสถานการณ์ได้ การกลับไปอย่างไม่ลังเลแบบนี้แหละถึงจะถูกแต่พวกเหอปิงเพิ่งเดินไปได้ก้าวเดียว ทหารรับจ้างที่ถือปืนแก็ปตลิงขึ้นมาทำมุมสี่สิบห้าองศาปิดล้อมไว้ อุปกรณ์เล็งอินฟราเรดที่ติดอยู่บนปืนในมือของทหารรับจ้างเล็งไปที่พวกของเหอปิงแล้ว แสงสีแดงส่ายไปมาอยู่บนตัวของพวกเหอปิงในโรงงานร้างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารทันที สีหน้าของพวกเหอปิงเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีการจะพุ่งออกไปข้างน
สีหน้าของพวกเว่ยหย่งเปลี่ยนไปเป็นราวกับเถ้าถ่าน แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่ก็พูดความคิดต่อต้านขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าคน ทำได้แค่ทนรับการกดขี่ของเย่จงเทียนไปเงียบ ๆ ในตอนที่เย่จงเทียนแบ่งความสนใจไปทางอื่น เหอปิงรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่ดีมาก มือขวาที่ไพล่อยู่ข้างหลังสะบัดอย่างแรง นิ้วมือทั้งห้าติดกันพุ่งเข้าไปที่ท้องน้อยของเย่จงเทียนราวกับดาบที่แหลมคมใช้ความเร็วและความแข็งแกร่งทั้งหมด หน้าขาว ๆ ของเหอปิงเปลี่ยนเป็นสีแดงในพริบตา อธิษฐานในใจว่าต้องทำสำเร็จเวลานี้เหอปิงรู้สึกว่าตนเองมีพลังบุกทะลวง กำลังแขนและความเร็วแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมากมองปลายนิ้วมือที่ใกล้จะแทงเข้าไปในท้องน้อยของเย่จงเทียน สีหน้าของเหอปิงก็ปรากฏความดีใจในตอนที่เหอปิงรู้สึกว่าจะสำเร็จ จู่ ๆ ตรงหน้าก็พร่าเลือน เข่าของเย่จงเทียนกระแทกเข้าที่แขนของเหอปิงอย่างแรงแขนขวาของเหอปิงถูกกระแทกเด้งขึ้น ปลายนิ้วแหลมคมอยู่ห่างจากท้องของเย่จงเทียนเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้นน่าเสียดายเหอปิงคิดเสียดายอยู่ในใจเย่จงเทียนส่งเสียงหึเย็นชา เข่าที่ยกขึ้นยังคงยกสูงขึ้นอีก จากนั้นก็สะบัดน่องขึ้