สำหรับเย่จงเทียน หลี่โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่าคนที่มีชีวิตอยู่แล้วมีตำนานได้มากขนาดนี้มีไม่กี่คนตึง ตึง ตึงเสียงฝีเท้าดังเป็นระเบียบราวกับเสียงกลองรบดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งใส่ชุดลายพราง พวกชายฉกรรจ์ที่มีกลิ่นอายสังหารกระจายไปทั่วทั้งตัวเดินเข้ามากลุ่มชายฉกรรจ์อีกด้านใส่ชุดฮาวาย เย่จงเทียนย่ำสเก็ตบอร์ด สูบไปป์และเดินอย่างช้า ๆภายใต้จังหวะการเดินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของพวกชายฉกรรจ์ เย่จงเทียนราชาทหารผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นราวกับนักเลง“โธ่ ทุกคนมาเร็วกันเอง เราไม่ได้มาสายใช่ไหม?”เย่จงเทียนหัวเราะร่าพลางพูดฉินจี้เย่รีบลุกขึ้น วิ่งเหยาะ ๆ ไปต้อนรับเย่จงเทียน“พี่เย่ พี่มาทันพอดีเลย ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไปหรอกครับ”ฉินจี้เย่พูดอย่างเอาใจนี่คือคนที่ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังส่งมา ฉินจี้เย่ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าต้องประจบเย่จงเทียนให้ดีเย่จงเทียนตบแก้มของฉินจี้เย่เบา ๆ หัวเราะแล้วพูด “นายคือเสี่ยวฉินสินะ ใช่แล้ว ๆ พูดจาได้ดี คนของนายมาหมดแล้วสินะ พวกเขาไม่ศรัทธาในตัวฉันใช่ไหม?”“เอ่อ… ผมไปพูดกับพวกเขาได้ครับ พวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของพี่แน่นอน”ฉินจี้เย่พูดอย่างกังวล
“พี่เย่ คุณหลี่ พวกคุณอย่าเถียงกันแบบนี้เลยได้ไหม มีอะไรเราพูดจากันดี ๆ พวกซุนจื่อบรรพบุรุษอะไรนั่น พูดมากไปก็มีแต่เจ็บกับโกรธ”ฉินจี้เย่กัดฟันไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกันเย่จงเทียนยิ้มขึ้นมาทันทีเหมือนไม่เคยโกรธมาก่อน “เสี่ยวฉิน คนที่นายหามาล้วนเป็นพวกวีรบุรุษเหมือนจะดูถูกฉันเย่จงเทียนนะ นี่เห็นฉันเป็นของเลี่ยงภาษีกันหรือไง?”แม้ว่าเย่จงเทียนจะกำลังยิ้ม แต่คำที่พูดออกมาทำให้ฉินจี้เย่ขนพองสยองเกล้าเลยการกระทำครั้งนี้เดิมทียึดเย่จงเทียนเป็นหลัก คนของลูกน้องฉินจี้เย่แค่มาช่วยเท่านั้นเอง แต่เพราะว่าแผนของฉินจี้เย่ผิดพลาดทำให้ตอนนี้ไม่ว่าพวกนักฆ่าอย่างเหอปิง หรือพวกที่มีการช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างหลี่โม่ก็ล้วนไม่เชื่อเย่จงเทียนฉินจี้เย่ที่ปวดหัวแทบระเบิด เขาเสียใจมากและพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ไม่ใช่ครับ ไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่จริงคือปฏิบัติการครั้งนี้มันใหญ่เกินไป ทุกคนค่อนข้างกังวล พี่เย่อธิบายแผนการให้พวกเขาฟังดี ๆ พวกเขาต้องสบายใจขึ้นแน่นอน”ฉินจี้เย่พยายามอธิบาย เหอปิงสะบัดก้นบุหรี่ในมือและลุกขึ้นเดินผ่านควันบุหรี่ไปหาเย่จงเทียน“ราชาทหารเย่ ทุกคนล้วนเสี่ยงทำค้าขาย การจะไม่เช
“เย่จงเทียน นี่คุณทำเกินไปหรือเปล่า ถ้ามีความสามารถก็มาสู้กับพี่ปิงของเราตัวต่อตัว อย่ามาใช้อาวุธที่ได้เปรียบมาทำร้ายคนอื่น”“ใช่ คุณมีความสามารถก็สู้กันตัวต่อตัวสิ ทำให้พวกเราเห็นว่าคุณเป็นผู้ชายที่กล้าหาญหรือเปล่า อย่าใช้อาวุธมาคุยกันแบบนี้สิ”เย่จงเทียนยิ้มเย็นชาและมองพวกของเหอปิงอย่างดูถูก “ฉันเป็นคนที่อยู่ในกองทัพ ไม่เคยทำเรื่องโง่ ๆ อย่างการสู้ตัวต่อตัวหรอก ถ้าพวกแกสามารถต้านได้ก็มาสู้กับพวกของฉัน แต่ถ้าพวกแกไม่สามารถต้านได้ก็อย่าพูดอะไรส่งเดช”สิ่งที่เย่จงเทียนพูดคือคำพูดทางทหาร ทางทหารไม่โอ้อวดกันเรื่องกำลังส่วนตัว เพราะว่ากำลังส่วนตัวไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไหร่ในกองทัพ ความสามารถในการบัญชาการนั้นสำคัญยิ่งกว่านายพลผู้กล้าหาญของราชวงศ์ก็เป็นแค่ผู้ริเริ่มเท่านั้น นายพลผู้มีชื่อเสียงล้วนใช้สมองหากิน ส่วนกำลังมีไว้เพื่อประดับเท่านั้น สำหรับเรื่องราวความกล้าหาญของนายพลผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นล้วนเป็นการตีความกันไปเองพวกเว่ยหย่งล้วนเป็นพวกในใจขุ่นเคืองแต่ไม่กล้าพูดออกมา ใช้สายตาโกรธเคืองมองเย่จงเทียนแต่กลับไม่กล้าด่าอะไรอีกอีกฝ่ายเอาปืนแก็ตลิงออกมาแล้ว ถ้ายั่วโมโหเย่จงเทียนจร
เหอปิงจะพาพวกเว่ยหย่งกลับไป ยั่วโมโหก็ไม่ได้ซ่อนตัวก็ไม่ได้ ธุรกิจใหญ่โตตรงหน้าต้องการจะเอาชีวิตคนจริง ๆ อีกทั้งเหอปิงเองก็รู้สึกว่าอัตราความสำเร็จไม่มีเลยแม้แต่น้อยนักฆ่าทางด้านเหอปิงมีอยู่สิบกว่าคน ทหารรับจ้างที่เย่จงเทียนพามาก็เป็นกลุ่มสู้รบเล็ก ๆ สองกลุ่มรวมแล้วมีแค่สามสิบคนเท่านั้นคนทั้งหมดสี่สิบกว่าคนไปจัดการคนร้อยกว่าคนที่อยู่ในภูมิประเทศที่สะดวกกว่า อีกทั้งมีอาวุธครบมือ มีอาวุธหนักด้วย คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไร้สาระเหมือนเพ้อฝัน เพียงแค่เข้าร่วมเกรงว่าสุดท้ายแล้วผลที่ได้คือจะจบชีวิตกันทั้งหมดนี่ไม่ใช่การถ่ายภาพยนตร์ ไม่ได้มีฮีโร่ แม้จะเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ก็ตายได้ เหอปิงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะคิดแก้ปัญหาในทุกสถานการณ์ได้ การกลับไปอย่างไม่ลังเลแบบนี้แหละถึงจะถูกแต่พวกเหอปิงเพิ่งเดินไปได้ก้าวเดียว ทหารรับจ้างที่ถือปืนแก็ปตลิงขึ้นมาทำมุมสี่สิบห้าองศาปิดล้อมไว้ อุปกรณ์เล็งอินฟราเรดที่ติดอยู่บนปืนในมือของทหารรับจ้างเล็งไปที่พวกของเหอปิงแล้ว แสงสีแดงส่ายไปมาอยู่บนตัวของพวกเหอปิงในโรงงานร้างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารทันที สีหน้าของพวกเหอปิงเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีการจะพุ่งออกไปข้างน
สีหน้าของพวกเว่ยหย่งเปลี่ยนไปเป็นราวกับเถ้าถ่าน แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่ก็พูดความคิดต่อต้านขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าคน ทำได้แค่ทนรับการกดขี่ของเย่จงเทียนไปเงียบ ๆ ในตอนที่เย่จงเทียนแบ่งความสนใจไปทางอื่น เหอปิงรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่ดีมาก มือขวาที่ไพล่อยู่ข้างหลังสะบัดอย่างแรง นิ้วมือทั้งห้าติดกันพุ่งเข้าไปที่ท้องน้อยของเย่จงเทียนราวกับดาบที่แหลมคมใช้ความเร็วและความแข็งแกร่งทั้งหมด หน้าขาว ๆ ของเหอปิงเปลี่ยนเป็นสีแดงในพริบตา อธิษฐานในใจว่าต้องทำสำเร็จเวลานี้เหอปิงรู้สึกว่าตนเองมีพลังบุกทะลวง กำลังแขนและความเร็วแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมากมองปลายนิ้วมือที่ใกล้จะแทงเข้าไปในท้องน้อยของเย่จงเทียน สีหน้าของเหอปิงก็ปรากฏความดีใจในตอนที่เหอปิงรู้สึกว่าจะสำเร็จ จู่ ๆ ตรงหน้าก็พร่าเลือน เข่าของเย่จงเทียนกระแทกเข้าที่แขนของเหอปิงอย่างแรงแขนขวาของเหอปิงถูกกระแทกเด้งขึ้น ปลายนิ้วแหลมคมอยู่ห่างจากท้องของเย่จงเทียนเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้นน่าเสียดายเหอปิงคิดเสียดายอยู่ในใจเย่จงเทียนส่งเสียงหึเย็นชา เข่าที่ยกขึ้นยังคงยกสูงขึ้นอีก จากนั้นก็สะบัดน่องขึ้
“คุณคิดว่าไงล่ะ?” หลี่โม่ยิ้มพลางพูดเย่จงเทียนก้าวไปทางหลี่โม่ ส่ายหน้าแล้วพูด “พูดตามตรง ฉันมองแกไม่ออกเลยว่ะ ฉันรู้สึกว่าแกไม่น่าจะว่าง่าย ฉันก็เลยตัดสินใจให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ กับแก หวังว่าแกจะให้ความร่วมมืออย่างดี"คุณจะลองดูก็ได้ว่าผใจะให้ความร่วมมือดี ๆ ไหม”หลี่โม่นั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะลงมือเลยแม้แต่น้อย แต่คำที่พูดออกมากลับทำให้ทุกคนรู้สึกว่าหลี่โม่ไม่ยอมให้จับแต่โดยดีแน่ ๆ พวกทหารรับจ้างค่อย ๆ หันปากกระบอกปืน ลำแสงสีแดงจำนวนมากกว่ายี่สิบอันไปรวมกันอยู่บนร่างท่อนบนของหลี่โม่ ถ้าเป็นคนอื่นที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะตกใจกลัวจนแย่แล้ว แต่หลี่โม่มองไปที่เย่จงเทียนอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรกับการถูกลำแสงสีแดงเล็งมาเลยแม้แต่น้อยฉินจี้เย่ที่อยู่ด้านข้างมอง กังวลว่าพวกคนใหญ่คนโตทะเลาะกันแล้วจะเดือดร้อนผู้น้อย เขาจึงรีบหันไปมองบอดี้การ์ดมองบอดี้การ์ดที่ทยอยถอยหลังไป ฉินจี้เย่ก็มีความคิดจะฆ่า “ตอนที่พวกแกถอยหลังไม่นึกถึงฉันบ้างหรือไงวะ! รีบพาฉันถอยไปที่ปลอดภัยสิ ขาของฉันเป็นตะคริวแล้วโว้ย!”ขาของฉินจี้เย่เป็นตะคริว อยากจะเดินไปก็เดินไม่ไหวทำได้แค่เรียกพวกบ
พวกทหารรับจ้างเริ่มดำเนินการ คิดจะช่วยเย่จงเทียนออกมา หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา “อย่าขยับ ถ้าพวกแกขยับแม้แต่นิดเดียวเขาตายแน่”“อย่าขยับ ทุกคนอย่าขยับ ฟังที่เขาพูด” เย่จงเทียนพูดเวยเสียงแหบพร่าพวกทหารรับจ้างหยุดทุกอย่างแล้วมองหลี่โม่อย่างโหดเหี้ยมพวกฉินจี้เย่กับเว่ยหย่งมองตรงไป พวกเขามองไม่ทันว่าหลี่โม่จับเย่จงเทียนได้อย่างไร เห็นแค่หลี่โม่ขยับตัวเย่จงเทียนก็คุกเข่าลงไปแล้ว“เมื่อกี้ไอ้คนนามสกุลหลี่มันทำยังไงนะ เด็กนี่มันมีที่มาแบบไหนกันแน่”เว่ยหย่งริมฝีปากสั่น ถามอย่างกลัว ๆ อยู่ในใจแต่ไม่มีใครตอบคำถามของเว่ยหย่งได้เลย เวลานั้นการกระทำของหลี่โม่เป็นราวกับปริศนา ไม่มีใครมองได้ทันเลยฉินจี้เย่ถอยหลังไปสองก้าวแล้วพูดเสียงเบาอย่างตกใจ “นี่ฉันไปหาเรื่องคนมีฝีมือเข้าเหรอเนี่ย ทีแรกคิดว่าเป็นพวกไม่เอาไหน ไม่คิดว่าเป็นราชาของราชาอีกที หมอนี่มันจะให้คนมีชีวิตต่อไปได้ยังไงกัน”ความรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุดเต็มเปี่ยมอยู่ในใจเขา ภายใต้ความลุกลี้ลุกลนนั้น ฉินจี้เย่กังวลมาก ๆ ว่าหลี่โม่จะมาคิดบัญชีกับตนเองภายหลังฉินจี้เย่คิดจนเข้าใจแล้ว คาดว่าหลี่โม่น่าจะมีความคิดที่จะลอบสังหารท่านปา ดัง
“แกรู้เหรอว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบในป่าต้องทำยังไงถึงจะจัดการได้? แกรู้เหรอว่าถ้าเจออาวุธหนักแล้วต้องทำยังไงถึงจะจัดการได้ ถ้ามีมือปืนต้องจัดการยังไง? แผนการรบควรต้องละเอียดแค่ไหนและแผนการป้องกันอีก?”เย่จงเทียนยิ่งพูดเสียงยิ่งดังขึ้น สุดท้ายก็จ้องหลี่โม่ด้วยสายตาดุ ๆ แบบสัตว์ร้าย “แกไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วยังจะอยากได้อำนาจสั่งการที่นี่น่ะเหรอ! จะเอาไปทำบ้าอะไร!”หลี่โม่มองเย่จงเทียนนิ่ง ๆ ยิ้มแล้วยกมือขึ้นตบหน้าเย่จงเทียนเพียะเสียงตบดังก้องไปทั่วทั้งโรงงานร้าง ทุกคนมองหลี่โม่เงียบ ๆ ราวกับเห็นราชาปีศาจกลุ่มคนพวกนี้เห็นคนเลือดจนชินแล้ว ทั้งทหารรับจ้างและนักฆ่าที่ไม่รู้ว่าฆ่าคนมาตั้งเท่าไหร่ แต่เวลานี้ล้วนขี้ขลาดอย่างประหลาดรอยมือปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่จงเทียน เขาเอียงหัวถุยเลือดในปากออกมา“มือแกหนักใช้ได้นี่ ถึงแกจะฆ่าฉันวันนี้ ฉันก็ยังจะพูดว่าแกมันสั่งการไม่เป็น ถึงแกจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่ยอมให้แกส่งพี่น้องของฉันไปตาย!”“คุณคิดมากไปแล้ว ไม่เห็นต้องซับซ้อนขนาดนั้นเลย” หลี่โม่พูดเรียบ ๆเย่จงเทียนตะลึงพร้อมขมวดคิ้วมองหลี่โม่ คิดไม่ตกว่าคำพูดของหลี่โม
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา