ลูกน้องของหลี่กังต่างชะงักฝีเท้า แล้วพากันมองไปทางหม่าเฉิงลี่ด้วยสายงงงวย หญิงชรากระทืบเท้าด้วยความโมโหแล้วตะคอกใส่ลูกน้องของหลี่กัง “จะหยุดกันทำไม ฉันไม่ได้บอกให้พวกแกหยุด พวกแกก็ห้ามหยุด! ตีมันสิ ตีมันให้ปางตายเดี๋ยวนี้!” หม่าเฉิงลี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา แล้วตะโกนใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใต้บังคับบัญชา “อย่ามัวแต่ยืนอึ้งอยู่ รีบปกป้องคุณหลี่ซะสิ!” “หัวหน้าหม่า คุณไม่ได้พูดผิดไปใช่ไหม ไม่ใช่ช่วยพี่หลี่หรอกเหรอ ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นให้ปกป้องคุณหลี่ล่ะ ให้ปกป้องไอ้ขอทานที่มายั่วโมโหพี่หลี่นั่นงั้นเหรอ?” เจ้าหน้าที่รปภ.คนหนึ่งถามขึ้น หม่าเฉิงลี่ตบหน้าเจ้าหน้าที่รปภ.คนนั้นทันที “นายกล้าบอกว่าคุณหลี่เป็นขอทาน นายคงไม่อยากอยู่ต่อแล้วใช่ไหม! รีบไปคุ้มกันคุณหลี่เดี๋ยวนี้” แม้เจ้าหน้าที่รปภ.ที่เหลือจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เมื่อเห็นท่าทีฉุนเฉียวในตอนนี้ของหม่าเฉิงลี่ ก็ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามใด ๆ แล้วกรูกันเข้าไปปกป้องหลี่โม่ตามคำสั่งของหม่าเฉิงลี่ ในเวลาเพียงพริบตา รอบตัวของครอบครัวหลี่โม่ทั้งสามคนก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รภป. เพียงแต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่รปภ.ล้วนพุ่งออกไปด้านหน้า เ
ตั้งแต่ได้ยินว่าเฉียวเจิ้งหลงกำลังมา หลี่กังก็ทรุดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้บ้านนอกนี่ถึงได้ทำให้คุณชายหลงมาได้ นั่นคือคุณชายหลงหนึ่งในสี่ราชาแห่งกรุงโซลเลยนะ! หลี่กังรู้จักข้อบกพร่องของตัวเองดี เขารู้ว่าตนไม่อาจเทียบเฉียวเจิ้งหลงได้แม้แต่เส้นขน หากว่าหลี่โม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเฉียวเจิ้งหลงจริง อย่างตนก็คงจะไม่ไหวแน่ ในขณะที่หลี่กังกำลังครุ่นคิดว่าจะมีหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไรนั้นเอง หญิงชราข้าง ๆ ก็โพล่งขึ้นมาด้วยความโมโห “ขยะ ขยะกันทั้งนั้น ฉันเลี้ยงลูกชายของแกคนนี้มาแล้วได้อะไรบ้าง คนอื่นมารังแกแม่กับลูกชายของแกแล้ว แกยังจะมัวบื้ออะไรอยู่ตรงนี้อีก รีบให้คนของแกไปจับมันมาทุบตีเร็ว ๆ เข้า! ทุบตีให้ตายไปเลย!” กลุ่มเจ้าหน้าที่รปภ.กลุ่มหนึ่งห้อตะบึงเข้ามาแต่ไกล ด้านหลังเจ้าหน้าที่รปภ.ยังมีบอดี้การ์ดสูทดำอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง เฉียวเจิ้งหลงก้าวขาเดินอย่างรวดเร็วอยู่ตรงกลางขบวนนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมเอ่ยตะโกน “ใครกล้าลงมือกับคุณหลี่กัน? คงอยากลองดีงั้นสินะ!” หญิงชรามองไปยังเฉียวเจิ้งหลงที่เดินเข้ามา รู้สึกว่าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน จึงแผดเสียงลั่น “แกเป็นใคร
“แม่ คนเฒ่าคนแก่อย่างแม่ก็อย่าก่อปัญหาเพิ่มอีกเลย แม่อยากให้พวกเราทั้งครอบครัวต้องตายกันหมดจริง ๆ เหรอ?” หลี่กังเอ่ยด้วยความเคร่งเครียด หญิงชราตะลึงไปชั่วขณะ เธอมองท่าทีตึงเครียดของหลี่กังก็พลันรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงดึงหลี่กังเข้ามาถามเสียงเบา “แก แกสู้พวกเขาไม่ได้งั้นเหรอ?” “สู้บ้าอะไรล่ะแม่! นั่นมันคุณชายหลงนะ แค่น้ำลายกระเซ็นออกมาสักนิด พวกเราก็ต้องสิ้นชีพกันทั้งบ้านแล้ว แม่ก่อปัญหาใหญ่ให้ผมแล้วเนี่ย” “แก ปกติแกบอกตัวแกเก่งกาจนักหนา ในกรุงโซลไม่กลัวใครหน้าไหนไม่ใช่เหรอ” หญิงชราเอ่ยอย่างคับข้องใจ ปกติหลี่กังมักจะคุยโวโอ้อวดอยู่ในบ้าน บวกกับที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง จึงได้ใจจนลืมตัวขึ้นมา คนในบ้านทั้งแม่และลูกชายจึงเห็นเขานั้นไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หลี่กังพลันนึกเสียใจอย่างไม่รู้จบ ถือว่าได้สัมผัสถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างถ่องแท้ ดูอย่างคุณหลี่เขาสิ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถทำให้คุณชายหลงเลียแข้งเลียขาได้ กลับถ่อมตนถึงขนาดนั้น ทำให้หลี่กังเหมือนหัวชนแผ่นเหล็กในทันใด ในใจหลี่กังนึกตำหนิหลี่โม่ว่าจะถ่อมตนขนาดนั้นไปทำไม ถึงจะคุยโววางก้ามใหญ่โตให้เต็มที่ก็ไม่มีใ
“คุณ คุณชายหลง เมื่อครู่ผมให้คนไปทุบรถของคุณหลี่ ผมสำนึกผิดแล้ว ผมจะชดใช้ให้กับคุณหลี่เอง ขอร้องคุณชายหลงได้โปรดช่วยพูดกับคุณหลี่ให้ด้วย วันนี้ผมยอมถูกตีถูกปรับครับ” “เฮอะ คิดว่าคุณหลี่จะอยากได้รถพัง ๆ ของนายเหรอ ทรัพย์สินทั้งหมดของนายฉันให้คนยึดไว้หมดแล้ว นับว่าเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาย คุณหลี่มีคุณธรรมเมตตา ถึงได้ไม่ต้องการเอาชีวิตสุนัขของนาย พาคนในครอบครัวของนายไสหัวออกจากกรุงโซลไปซะ” เฉียวเจิ้งหลงเอ่ยเสียงเย็น หลี่กังสติแตกในฉับพลัน รู้สึกว่าชีวิตต่อจากนี้ไปของตนไร้ซึ่งความหวังแล้ว “ผม ตอนนี้ผมจบสิ้นแล้ว ธุรกิจทรัพย์สินที่ทุ่มเทมาครึ่งชีวิตก็หมดสิ้นแล้ว คุณชายหลง คุณชายหลงช่วยพูดให้ผมหน่อยนะครับ ผมไปคุกเข่าขอความเมตตาจากคุณหลี่เลยก็ได้” หลี่กังพยายามอ้อนวอนสุดชีวิต เฉียวเจิ้งหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชาคำหนึ่ง แล้วจึงพาลูกน้องวิ่งตามไปทิศทางที่หลี่โม่เดินออกไป ลูกน้องของหลี่กังพวกนั้นลุกยืนขึ้น แล้วไปรวมตัวกันเบื้องหน้าหลี่กัง “พวก พวกนาย พวกนายจะทำอะไร” หลี่กังเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของพวกลูกน้องก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด “แม่งเอ๊ย คุณยังมีหน้ามาถามพวกเราอีกเหรอว่าจะทำอะ
หลังจากที่นั่งรถของเฉียวเจิ้งหลงไปส่งซีซีที่โรงพยาบาลแล้ว ลูกน้องของเฉียวเจิ้งหลงก็นำรถคันใหม่ที่เหมือนกันเป๊ะ ๆ มาให้ แล้วส่งมอบให้กู้หยุนหลานที่โรงพยาบาล เฉียวเจิ้งหลงรายงานกับหลี่โม่เล็กน้อยว่าได้จัดการกับหลี่กังอย่างไร หลี่โม่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก สื่อความหมายว่าจะจัดการหลี่กังอย่างไรก็แล้วแต่เขา เฉียวเจิ้งหลงพูดคุยกับหลี่โม่อีกสองสามประโยค เขาก็เห็นว่าหลี่โม่อารมณ์ไม่ดีนัก จึงกล่าวลาและปลีกตัวออกไปอย่างรู้จักวางตัว เมื่อหลี่โม่ส่งซีซีกลับห้องผู้ป่วย และเมื่อทั้งเขากับกู้หยุนหลานกล่อมซีซีให้นอนหลับได้แล้ว ทั้งสองคนก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านไปด้วยกัน หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินที่อยู่ที่บ้านต่างนั่งอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นหลี่โม่และกู้หยุนหลานกลับมาด้วยกัน หวังฟางก็ตบที่โซฟาอย่างแรง “หยุนหลาน มานี่ซิ แม่มีเรื่องจะคุยกับแก” “แม่คะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” กู้หยุนหลานนั่งลงข้าง ๆ หวังฟาง เอ่ยถามอย่างสงสัย หลี่โม่ช่วยรินน้ำชาแทนกู้หยุนหลาน จากนั้นจึงนั่งลงข้าง ๆ ด้วย “ญาติผู้พี่คนโตของลูกเซ็นสัญญาก่อสร้างและพัฒนากับบริษัทหยุนจงหลานแล้ว แต่ช่วงนี้บริษัทหยุนจงหลานไม่มีความเคลื่
ทุกคนในตระกูลหวังแม้ในใจจะไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหวังฟางพูดอย่างเป็นตุเป็นตะแล้ว นอกจากนี้ชื่อของบริษัทหยุนจงหลานกับกู้หยุนหลานก็มีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างจริง ๆ ดังนั้นสมาชิกตระกูลหวังจึงตั้งใจจะลองทดสอบดู โดยเสนอว่าให้กู้หยุนหลานพาหวังจงฉวนไปพบกับคุณหลี่ผู้ลึกลับคนนั้น กู้หยุนหลานกุมหน้าผาก รู้สึกไม่ค่อยดีไปทั้งตัว “แม่คะ แม่คงจะไม่ได้ให้หนูพาหวังจงฉวนไปพบกับคุณหลี่เศรษฐีลึกลับคนนั้นหรอกใช่ไหม?” “ใช่แล้ว แม่ก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ หยุนหลานครั้งนี้แกต้องพยายามเพื่อแม่สักครั้ง ให้แม่ของแกกลับไปที่บ้านเดิมแล้วเชิดหน้าชูตากับเขาได้บ้างสิ” “แต่หนูไม่รู้จักคุณหลี่เศรษฐีลึกลับอะไรนั่นจริง ๆ นะคะ แม่จะให้หนูพาไปพบกับคนอื่นเขายังไงกัน” กู้หยุนหลานพูดอย่างปวดหัว หวังฟางมองไปยังกู้หยุนหลานอย่างค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของกู้หยุนหลานดูเหมือนจะไม่ได้เสแสร้ง ก็พลันทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันใด “นี่ นี่มันเป็นเรื่องแล้ว แม่ไปคุยโวเอาไว้แล้ว ถ้าทำไม่ได้ คงต้องถูกพวกลุง ๆ ของแกหัวเราะเยาะแน่ ทำไมชีวิตฉันถึงอาภัพแบบนี้นะ” หวังฟางเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น กู้เจี้ยนหมินมองไปทางกู้หยุนหลาน
ด้วยการเร่งเร้าของหวังฟาง หลี่โม่จึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วแสร้งทำเป็นคุยกับเฉียนฝูสองสามประโยค จากนั้นจึงเก็บมือถือแล้วเอ่ย “ไม่มีปัญหาครับ จัดการให้ได้ทุกเมื่อ” “จริงเหรอ?” หวังฟางยังตกอยู่ในความตะลึง หล่อนยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหลือเชื่อที่หลี่โม่สามารถทำให้เฉียนมาช่วยได้ “จริงแท้แน่นอนครับ ทางเฉียนฝูก็มีการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทหยุนจงหลานอยู่พอดี การจัดการให้พบปะกันสักครั้งจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาดนิดหน่อยที่ตัวเองต้องลำบากลำบนขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าตนต้องมาจัดการพบปะให้ตัวเองด้วยหรือนี่ “อย่างนั้นก็ดีเลย เรื่องนี้แก้ไขได้เสียที งั้นให้หยุนหลานพาจงฉวนไปได้ไหม” หวังฟางเอ่ยอย่างได้คืบจะเอาศอก “หนูไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเกิดข่าวลืออะไรขึ้นมาอีก” กู้หยุนหลานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หวังฟางถอนหายใจ เธอเองก็กระดากใจที่จะไปบีบบังคับอะไร “งั้นหลี่โม่ แกก็พาจงฉวนไปหน่อยแล้วกัน ต้องแสดงท่าทีกับจงฉวนให้ดีสักหน่อยล่ะ” หลี่โม่พยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ แม่คิดว่าจะไปเมื่อไหร่ดีล่ะ?” หวังฟางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือออก
…… เช้าตรู่ หวังจงเหิง หวังจงเฉิงและหวังจงฉวนกำลังนั่งอยู่ในห้องโถง “พี่ใหญ่ ขอให้วันนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถชนะใจคุณหลี่เศรษฐีลึกลับคนนั้นได้นะพี่ แบบนั้นแล้วต่อไปตระกูลหวังของเราจะได้ผงาดขึ้นเสียที” หวังจงเหิงยกยอปอปั้นหวังจงฉวนอย่างแข็งขัน หวังจงเฉิงรู้สึกอึดอัดในใจเล็กน้อย หากบ้านหลักของตระกูลยิ่งแข็งแกร่ง อย่างนั้นสิ่งที่หวังจงเฉิงจะได้รับในอนาคตก็ยิ่งน้อยลง หวังจงเฉิงซ่อนความคิดเจ้าเล่ห์ไว้ในใจแล้วยกยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ต้องทำดีกับพี่หยุนหลานให้มาก ๆ นะ ถึงยังไงพี่หยุนหลานก็เป็นชู้รักกับเศรษฐีลึกลับคนนั้น”“ฮ่าฮ่า” หวังจงฉวนหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “นั่นมันเรื่องน้าเล็กคุยโวโอ้อวดไปเท่านั้น รู้ไหมว่าเมื่อวานน้าเล็กโทรมาบอกกับฉันว่ายังไง?” “บอกว่ายังไงล่ะ? หรือจะบอกว่ากู้หยุนหลานกับเศรษฐีลึกลับนั่นไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน?” หวังจงเฉิงถาม “ก็ประมาณนั้น แล้วจากนั้นก็บอกให้ลูกเขยไร้ประโยชน์ของเขาไปกับฉัน ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าไว้ใจ คงจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ วันหนึ่งแล้วล่ะ” หวังจงฉวนส่ายหน้าพลางพูด หวังจงเหิงตบโต๊ะอย่างแรง นึกถึงเรื่องที่เคยถูกหลี่โม่ตบหน
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา