หลี่โม่และกู้หยุนหลานออกจากตลาดดอกไม้และเดินเล่นไปรอบ ๆ สักพัก เมื่อเห็นว่าการประมูลกำลังจะเริ่มขึ้น พวกเขาก็กลับไปที่โรงแรมกู้เจี้ยนหมินและภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่ในล็อบบี้ของโรงแรมพร้อมกับฮั่วเจี้ยนเฟิง เมื่อเห็นหลี่และกู้หยุนหลานกลับมา หวังฟางก็โบกมือทักทายเมื่อเห็นหลี่โม่กลับมา แถมร่างกายก็เหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แววตาฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เกิดความสงสัยนี่เกิดอะไรขึ้น?เป็นไปได้ยังไง เฝิงจื่อไฉไม่ได้จัดการกับไอ้หลี่โม่เหรอ?หรือไอ้หลี่โม่มันจะจัดการกับเฝิงจื่อไฉ…ฮั่วเจี้ยนเฟิงส่ายหัวไปมา รู้สึกจินตนาการเป็นหลี่โม่ที่จัดการเฝิงจื่อไฉ แต่นี่เป็นถิ่นของเฝิงจื่อไฉ หากเป็นหลี่โม่ทำร้ายเฝิงจื่อไฉ คงต้องถูกลูกน้องของเฝิงจื่อไฉเอาตายแน่ แต่ทำไมหลี่โม่ถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด ?เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นบนหน้าผากของฮั่วเจี้ยนเฟิงจะโทรไปหาเฝิงจื่อไฉถามตอนนี้ก็คงจะไม่ดี ฮั่วเจี้ยนเฟิงจึงทำเป็นถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในการประมูลหวังฟางเงยหน้าขึ้น มองหลี่โม่ที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา"พวกแกไปไหนกันมา? ทำไมไม่รู้จักรออยู่ในห้องเงียบ ๆ ?" หวังฟางพูดอย่างไม่พอใจ"แม่ค่ะ พวกเราก็
"เมืองจินไห่เลื่องชื่อด้านงานประมูล และเป็นมืออาชีพมาก ดังนั้นสินค้าทางวัฒนธรรมหลายรายการ ส่วนมากจะอยู่ในเมืองจินไห่ นอกจากนี้ยังมีงานประมูลหลายแห่งในจินไห่ งานประมูลใหญ่ในจินให่ครั้งนี้จัดขึ้นโดยเจ้าพ่อลู่เจี้ยนปิน""ถ้าพูดถึงลู่เจี้ยนปินคนนี้ เขาถือว่าเป็นบุคคลในตำนาน เดิมทีเขาเคยเป็นคนเก็บขยะ ต่อมาก็เอาขยะที่เก็บนั้นมาตีเป็นราคา หลังจากดำเนินกิจการมายี่สิบปีก็กลายเป็นเจ้าพ่อในอุตสาหกรรมวัตถุโบราณ และก็มีชื่อเสียงมากในงานการประมูล"ฮั่วเจี้ยนเฟิงขับรถไปพลางคุยกับกู้เจี้ยนหมิงไปพลาง โดยรู้ว่ากู้เจี้ยนหมินชอบสะสมของเก่าและหยก ดังนั้นเขาจึงเลือกหัวข้อที่กู้เจี้ยนหมินสนใจโดยเฉพาะมาพูดคุย"ลู่เจี้ยนปิน คนนี้ลุงรู้จัก ปีที่แล้วมักเห็นเขาในตลาดของโบราณบ่อย ๆ แถมในเวลานั้นเขาเป็นเซียนสะสมของเก่า ในจังหวัดนี้ก็ไม่มีใครที่เหนือกว่าลู่เจี้ยนปินในการเก็บสะสมของเก่า""และลุงก็ได้ยินมาว่า ตอนนี้ลู่เจี้ยนปินกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในจิ่นไห่แล้ว และสถานะของเขาในจิ่นไห่ก็โดดเดี่ยวมาก คนที่สามารถกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในด้านนี้ น่าจะมีแค่ลู่เจี้ยนปินคนเดียว"กู้เจี้ยนหมินพูดคุยกับฮั่วเจี้ยนเฟิงอย
ภายในอาคารศูนย์ประมูลใหญ่จินไห่แบ่งออกเป็นสองส่วน สองในสามส่วนของพื้นที่คือโถงแสดงนิทรรศการ และพื้นที่ส่วนที่เหลือนั้นแบ่งเป็นห้องประมูลขนาดแตกต่างกันหลายห้อง ก่อนที่สินค้าประมูลจะขึ้นประมูลทุกครั้ง จะทำการจัดแสดงนิทรรศการเป็นเวลาสามถึงห้าวัน ผู้ที่สนใจในการประมูลสินค้าจำนวนมาก ต่างก็ไปดูการจัดแสดงนิทรรศการล่วงหน้ากันทั้งสิ้น บางคนถึงกับพาผู้เชี่ยวชาญไปดูด้วยกัน เพื่อถือโอกาสประเมินความถูกต้อง คุณภาพ มูลค่าและด้านอื่น ๆ ของสิ่งของนั้นไปพร้อมกัน กู้เจี้ยนหมินมาที่งานประมูลโดยไม่ได้มีความคิดที่จะซื้อของ เพียงแค่มาดูสักหน่อยเท่านั้น หยกเหอเถียนและหยกแข็งชั้นเลิศทุกวันนี้มูลค่าพุ่งสูงเสียดฟ้า กู้เจี้ยนหมินไม่สามารถซื้อได้อยู่แล้ว และสินค้าที่มูลค่าถูกกว่าหน่อยกู้เจี้ยนหมินก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาอีก ดังนั้นกู้เจี้ยนหมินจึงได้แต่มาดูสินค้าที่จัดแสดงของนิทรรศการ เพื่อบรรเทาความโลภและดูเป็นอาหารตาเท่านั้น ฮั่วเจี้ยนเฟิงพากู้หยุนหลานและหลี่โม่เดินไปทางห้องประมูลใหญ่ “นิทรรศการไม่ได้มีอะไรน่าดูนักหรอก ถ้าอยากดูที่ห้องประมูลใหญ่ก็มีอัลบั้มรูป ดูในอัลบั้มก็ได้แล้วล่ะ” “หยุนหลาน ถ้าคุณกั
ทั้งสองข้างทางเดินนอกห้องประมูล มีชายฉกรรจ์ในสูทสีดำยืนขนาบสองแถวชิดกำแพง เพียงแค่ออร่าที่แผ่ออกมาก็สามารถทำให้คนหวาดกลัวได้แล้ว ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองคนชุดดำที่อย่างมากก็น่าจะเกินร้อยคน สีหน้าท่าทางก็ประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย ถึงอย่างไรสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้เคยเห็นกันบ่อย ๆ เหล่าลูกเศรษฐีที่เดินตามออกมาข้างหลังนั้นแตกต่างกัน พวกเขาพากันเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “อลังการขนาดนี้ พี่ไฉคงไม่ได้เรียกพี่หยางมาด้วยกันหรอกนะ คนที่สามารถจัดฉากแบบนี้ได้ในจินไห่ของพวกเรา ก็คงมีแต่พี่หยางเท่านั้น” “คงเป็นพี่หยางแน่ ก็บอกเรื่องความสัมพันธ์ของพี่ไฉกับพี่หยางให้พวกนายฟังแล้วไง ขอแค่ตกลงกับพี่ไฉได้แล้ว หลังจากนั้นเรื่องการรื้อถอนก็ดำเนินการได้ง่าย ๆ แล้ว” “พวกนายผู้ชายสองสามคนหลีกทางไป ให้สาว ๆ อย่างเรายืนเซนเตอร์ ด้วยรูปลักษณ์สาวน้อยสวยใสร่าเริงของพวกเรา จะต้องดึงดูดพี่ไฉกับพี่หยางได้แน่” ฮั่วเจี้ยนเฟิงได้ยินคำพูดของลูกเศรษฐีพวกนั้น ก็ยิ้มส่ายหน้าเบา ๆ ฮั่วเจี้ยนเฟิงที่ไม่คาดคิดว่าพลังของเฝิงจื่อไฉจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ในใจเกิดความแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวเมื่ออาศัยอ
เฝิงจื่อไฉปากก็บอกว่าละอายใจ แต่ในใจกลับกำลังก่นด่า สิ่งที่คิดล้วนเป็นเรื่องที่ถูกหลี่โม่กระทืบจนเอวหัก ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่รู้ว่าเฝิงจื่อไฉก็แค่พูดอย่างนั้น เขาจึงเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ที่เรื่องวุ่นวายแบบนี้ ก็เป็นความผิดของผมเหมือนกัน พรุ่งนี้ผมจะเลี้ยงไวน์เพื่อชดใช้ความผิดนะครับ” “ชดใช้ความผิดอะไรกัน พวกเราพี่ชายน้องชายคนกันเอง อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันก็เรื่องของโชค นายเองก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย” หลังจากปลอบใจฮั่วเจี้ยนเฟิงแล้ว เฝิงจื่อไฉก็หรี่ตาเอ่ยเสียงเบา “คนที่นายอยากจัดการนั่นมาหรือยัง? เห็นพวกเพื่อน ๆ พวกนี้แล้วใช่ไหม พวกเขาเป็นคนที่ฉันตั้งใจจ้างมาเพื่อยกยอปอปั้นนายโดยเฉพาะ อีกเดี๋ยวจะช่วยทำให้ไอ้ขยะนั่นอับอายขายขี้หน้าสุด ๆ ไปเลย ฉันขอแนะนำให้นายรู้จักสักสองสามคนก่อนแล้วกัน” “ลูกชายคนรองของประธานกรรมการอสังหาริมทรัพย์จินไห่ เหอลี่ฉวิน” “ลูกสาวคนโตของประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาจินไห่ เฝิงเซียวเซียว” “ลูกชายคนโตของผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนจินไห่ ไป่เฉียนหลี่......” ตระกูลของกลุ่มลูกเศรษฐีนั้นต่างก็เป็นพวกมีฐานะ ในตระกูลล้วนเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกา
”หยุนหลาน คนนี้คือ......” ฮั่วเจี้ยนเฟิงเพิ่งจะเริ่มแนะนำ แต่กลับถูกเฝิงจื่อไฉผลักออกอย่างแรงทันที เฝิงจื่อไฉมองกู้หยุนหลานด้วยสายตาลามเลีย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มวิตถาร “คนสวย พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ ผมขอแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง ผมชื่อเฝิงจื่อไฉ คุณเรียกผมว่าพี่ไฉก็ได้” “ความสัมพันธ์เล็กใหญ่ทั้งหมดในจินไห่ผมเอาอยู่หมด ไม่ทราบว่าคนสวยกำลังทำธุรกิจอะไรงั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่สีขาวหรือสีดำ พี่ไฉของคุณก็ครอบคลุมได้หมด ที่ผมคลุมไม่ได้ก็มีแต่พี่หยางนี่แหละ” จางจงหยางยิ้มบางพลางมองไปยังกู้หยุนหลาน ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความละโมบและความปรารถนาครอบครอง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกอย่างกระตือรือร้นขนาดเฝิงจื่อไฉ “ผมชื่อจางจงหยาง คนสวยเรียกผมว่าพี่หยางก็พอแล้ว คุณมีเรื่องอะไรที่จินไห่ขอแค่มาบอกผม แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองฉากนี้อย่างตกตะลึงเล็กน้อย ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด ก็ยังรู้เลยว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ทว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลของจินไห่ ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่มีกำลังจะไปต่อกรกับคนพวกนี้หรอก หลี่โม่ลุกยืนขึ้นด้านหน้ากู้หย
เสียงด้านนอกประตูไม่ได้ดังมาก แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องในคำพูดนั้น กลับทำให้พวกจางจงหยางหวาดหวั่น “คุณเทียนมาเหรอ? คุณเทียนมาที่จินไห่งั้นเหรอ? ถ้าคุณเทียนมาจินไห่ยังไงก็ต้องบอกกล่าวฉันสักคำสิ” จางจงหยางพึมพำอย่างสงสัย อย่างไรก็ตามความสงสัยของจางจงหยางก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะชูจงเทียนนั้นกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางนร่างท้วมคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนร่างท้วมแต่งตัวเรียบง่ายอย่างมาก สีหน้าออกสีเลือดฝาด ใบหน้ากว้างปากใหญ่แผ่รัศมีแห่งความร่ำรวยมั่งคั่งออกมา “คนที่มากับลู่เจี้ยนปินคือคุณเทียนงั้นเหรอ?” เฝิงจื่อไฉถามเสียงเบา “ใช่ รีบไปต้อนรับคุณเทียนกับฉันเร็วเข้า” จางจงหยางพาเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาลู่เจี้ยนปินและชูจงเทียนด้วยกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงเดินมาข้าง ๆ หลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไอ้ขยะ ครั้งนี้นายยั่วโมโหคนอื่นมันเกินขอบเขตไปแล้ว ไม่เพียงยั่วโมโหผู้มีอิทธิพลของจินไห่เท่านั้น ยังล่วงเกินผู้มีอิทธิพลของกรุงโซลอีกด้วย นายรอความตายได้เลย” จากนั้นฮั่วเจี้ยนเฟิงก็มองไปทางกู้หยุนหลาน “หยุนหลาน คุณเองก็เห็นแล้วว่าเจ้าขยะนี่สร้างหายนะมากแค่ไหน บางทีอาจจะเดือดร้อนมาถึงตระกูล
ชูจงเทียนหรี่ตามองไปยังพวกของจางจงหยาง แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “พวกนายเยาะเย้ยเขายังไงล่ะ? เยาะเย้ยเสร็จแล้วเตรียมจะทำยังไงต่อ” เฝิงจื่อไฉคิดว่าชูจงเทียนกำลังโมโหแล้ว ในใจเกิดความคิดที่จะประจบชูจงเทียนขึ้นมา หากสามารถเดินเส้นสายผ่านชูจงเทียนได้ ในอนาคตก็จะสามารถขยายธุรกิจไปถึงกรุงโซลได้ “ที่เยาะเย้ยเขานั้นเป็นการอุ่นเครื่องแบบพื้น ๆ เท่านั้นครับ เยาะเย้ยจบแล้วพวกเราจะจัดการเขาให้เรียบร้อย ทำให้เขาคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นขอความเมตตาจากคุณเทียนสักสองสามที จากนั้นพวกเราค่อยพาเขาไป และค่อย ๆ ฆ่าเวลากันช้า ๆ ” ชูจงเทียนพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงมองไปทางจางจงหยาง “นายล่ะ วางแผนว่าจะทำยังไง” จางจงหยางรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าอารมณ์ของชูจงเทียนมีบางอย่างผิดปกติ “คุณเทียน ผมคิดว่าสั่งสอนเขาให้จบ ๆ ไปก็ได้แล้วครับ” “ให้มันจบ ๆ ไปนั่นมันแบบไหนล่ะ?” “เรื่องนั้น......” จางจงหยางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตบปากสักสามสิบห้าสิบทีก็ได้แล้วล่ะครับ” ชูจงเทียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นพลางดึงลู่เจี้ยนปิน “เจี้ยนปิน ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักคนคนหนึ่ง” ชูจงเทียนดึงลู่เจี้ยนปินเดิ