เสียงด้านนอกประตูไม่ได้ดังมาก แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องในคำพูดนั้น กลับทำให้พวกจางจงหยางหวาดหวั่น “คุณเทียนมาเหรอ? คุณเทียนมาที่จินไห่งั้นเหรอ? ถ้าคุณเทียนมาจินไห่ยังไงก็ต้องบอกกล่าวฉันสักคำสิ” จางจงหยางพึมพำอย่างสงสัย อย่างไรก็ตามความสงสัยของจางจงหยางก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะชูจงเทียนนั้นกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางนร่างท้วมคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนร่างท้วมแต่งตัวเรียบง่ายอย่างมาก สีหน้าออกสีเลือดฝาด ใบหน้ากว้างปากใหญ่แผ่รัศมีแห่งความร่ำรวยมั่งคั่งออกมา “คนที่มากับลู่เจี้ยนปินคือคุณเทียนงั้นเหรอ?” เฝิงจื่อไฉถามเสียงเบา “ใช่ รีบไปต้อนรับคุณเทียนกับฉันเร็วเข้า” จางจงหยางพาเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาลู่เจี้ยนปินและชูจงเทียนด้วยกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงเดินมาข้าง ๆ หลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไอ้ขยะ ครั้งนี้นายยั่วโมโหคนอื่นมันเกินขอบเขตไปแล้ว ไม่เพียงยั่วโมโหผู้มีอิทธิพลของจินไห่เท่านั้น ยังล่วงเกินผู้มีอิทธิพลของกรุงโซลอีกด้วย นายรอความตายได้เลย” จากนั้นฮั่วเจี้ยนเฟิงก็มองไปทางกู้หยุนหลาน “หยุนหลาน คุณเองก็เห็นแล้วว่าเจ้าขยะนี่สร้างหายนะมากแค่ไหน บางทีอาจจะเดือดร้อนมาถึงตระกูล
ชูจงเทียนหรี่ตามองไปยังพวกของจางจงหยาง แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “พวกนายเยาะเย้ยเขายังไงล่ะ? เยาะเย้ยเสร็จแล้วเตรียมจะทำยังไงต่อ” เฝิงจื่อไฉคิดว่าชูจงเทียนกำลังโมโหแล้ว ในใจเกิดความคิดที่จะประจบชูจงเทียนขึ้นมา หากสามารถเดินเส้นสายผ่านชูจงเทียนได้ ในอนาคตก็จะสามารถขยายธุรกิจไปถึงกรุงโซลได้ “ที่เยาะเย้ยเขานั้นเป็นการอุ่นเครื่องแบบพื้น ๆ เท่านั้นครับ เยาะเย้ยจบแล้วพวกเราจะจัดการเขาให้เรียบร้อย ทำให้เขาคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นขอความเมตตาจากคุณเทียนสักสองสามที จากนั้นพวกเราค่อยพาเขาไป และค่อย ๆ ฆ่าเวลากันช้า ๆ ” ชูจงเทียนพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงมองไปทางจางจงหยาง “นายล่ะ วางแผนว่าจะทำยังไง” จางจงหยางรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าอารมณ์ของชูจงเทียนมีบางอย่างผิดปกติ “คุณเทียน ผมคิดว่าสั่งสอนเขาให้จบ ๆ ไปก็ได้แล้วครับ” “ให้มันจบ ๆ ไปนั่นมันแบบไหนล่ะ?” “เรื่องนั้น......” จางจงหยางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตบปากสักสามสิบห้าสิบทีก็ได้แล้วล่ะครับ” ชูจงเทียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นพลางดึงลู่เจี้ยนปิน “เจี้ยนปิน ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักคนคนหนึ่ง” ชูจงเทียนดึงลู่เจี้ยนปินเดิ
ฮั่วเจี้ยนเฟิงอ้าปากกว้างด้วยความตะลึง คาดไม่ถึงว่าชูจงเทียนจะสนับสนุนหลี่โม่อย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ให้ทุกคนขอโทษหลี่โม่ นี่มันเกินกว่าจินตนาการของฮั่วเจี้ยนเฟิงไปโดยสิ้นเชิง สายตาของเหอลี่ฉวินและลูกเศรษฐีคนอื่น ๆ มองไปยังเฝิงจื่อไฉ เฝิงจื่อไฉคือคนที่พวกเขาต้องการจะประจบ พวกเขาควรจะทำอย่างไรนั้นย่อมต้องดูท่าทีของเฝิงจื่อไฉแน่นอนอยู่แล้ว สติของเฝิงจื่อไฉเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เขามองชูจงเทียน แล้วมองหลี่โม่อีกที ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของหลี่โม่กับชูจงเทียนเลย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนที่สามารถทำให้ชูจงเทียนเคารพนับถือได้ อย่างนั้นก็ต้องเป็นผู้มีอำนาจหรือทายาทเศรษฐีแน่นอน แต่หลี่โม่นั้นไม่มีความเป็นทายาทเศรษฐีหรือผู้มีอำนาจเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่งตัวธรรมดา อีกทั้งยังออกมาโดยไม่มีบอดี้การ์ดติดตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถพิสูจน์ได้ว่าหลี่โม่เป็นแค่คนธรรมดา หรือคนธรรมดาที่ยากจนสุด ๆ คนหนึ่งเท่านั้น! “พี่หยาง พี่ว่าควรทำยังไงดี?” เฝิงจื่อไฉถามเสียงเบา สีหน้าของจางจงหยางบึ้งตึงอย่างยิ่ง สำหรับจางจงหยางแล้ว การจะให้ไปขอโทษหลี่โม่นั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่นี่คือจินไห่ เ
ชูจงเทียนเอ่ยอย่างเย็นชา คนที่อยู่ด้านหลังจางจงหยางพากันจ้องมองชูจงเทียนด้วยความโกรธเคือง แสดงท่าทางออกมาว่าขอแค่จางจงหยางออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะพุ่งออกไปจัดการชูจงเทียนทันที ลู่เจี้ยนปินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จางจงหยาง เฝิงจื่อไฉ พวกนายก็นับว่าเป็นรุ่นน้อง คิดจะไม่ฟังคำพูดของรุ่นพี่จริง ๆ งั้นเหรอ? ถ้าพวกนายไม่ขอโทษคุณหลี่ ไม่แน่ว่าฉันเองก็อาจร่วมมือกับคุณเทียนก็ได้นะ” เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เจี้ยนปิน สีหน้าของจางจงหยางกับเฝิงจื่อไฉก็เปลี่ยนไปทันที หากเพียงแค่คำขู่ของชูจงเทียนเพียงคนเดียว จางจงหยางยังมีความกล้าที่จะสู้สักตั้งจริง ๆ แต่หากลู่เจี้ยนปินอยู่ข้างชูจงเทียน สถานการณ์ก็จะต่างออกไปอย่างมาก ลู่เจี้ยนปินเป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจินไห่ และที่สำคัญคือ ลู่เจี้ยนปินนั้นเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับวัตถุโบราณ มีความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีหน้ามีตาทั่วทุกแห่งหนภายในมณฑล เส้นสายเครือข่ายของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ว่าในยามปกติลู่เจี้ยนปินจะเป็นคนถ่อมตน แต่ในเขตจินไห่ ลู่เจี้ยนปินก็คือราชาที่เร้นกาย เพียงแค่กระทืบเท้าทั่วทั้งจินไห่ก็สั่นสะเทือน “ลุงลู่ คุณจริงจังเหรอครับ?” จาง
จะคุกเข่า หรือไม่คุกเข่า? นี่เป็นคำถามที่ตัดสินใจได้ยากมาก สายตาของจางจงหยางกวาดมองชูจงเทียนและลู่เจี้ยนปินที่เป็นดั่งเทพเจ้า และท้ายที่สุดก็หยุดลงบนตัวของลี่โม่ หลี่โม่นั่งอย่างเรียบเฉย ใบหน้าไม่เศร้าหรือสุข ราวกับไม่ได้แยแสทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย จางจงหยางจ้องเขม็งสองตาของหลี่โม่อย่างโหดเหี้ยม แต่ก็มองไม่เห็นความหวาดหวั่นในดวงตาของหลี่โม่เลย กลับกันยังเห็นความเย้ยหยันในแววตาของหลี่โม่เสียด้วยซ้ำ สำหรับหลี่โม่แล้ว จางจงหยางก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชูจงเทียนต้องการจะแสดงออกต่อหน้าตน ดังนั้นหลี่โม่จึงให้โอกาสชูจงเทียนได้แสดง แม้ว่าแววตาเย้ยหยันในดวงตาของหลี่โม่จะทำให้จางจงหยางรู้สึกทั้งโกรธและอับอาย แต่ความไม่สบายใจในใจของจางจงหยาง ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีความผิดปกติบางอยู่ในนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ใช้การขอโทษครั้งนี้ เป็นโอกาสให้การปลดโซ่ตรวนของชูจงเทียนออกไปโดยสมบูรณ์เลยแล้วกัน และยังเป็นการใช้ประโยชน์จากเจ้าสกุลหลี่นั่นด้วย จางจงหยางก้าวฝีเท้าอันหนักหน่วง เดินมาถึงเบื้องหน้าของหลี่โม่และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ขอโทษคุณหลี่ด้วย
ชูจงเทียนหัวเราะอย่างดูแคลน ในใจคิดว่า 'นายไปล่วงเกินนายน้อยแห่งแดนมังกรเข้า แค่ให้แทงสักสามมีดหกรูเพื่อช่วยชีวิตนาย ก็ยังไม่รู้จักสำนึกเสียนี่' ชูจงเทียนพาตัวจางจงหยางออกไปจากห้องประมูล ไม่นานเสียงโอดครวญของจางจงหยางก็ดังขึ้นมาจากนอกห้อง ชัดเจนว่าจางจงหยางแทงตัวเองสามมีดจริง ๆ มุมปากของลู่เจี้ยนปินหยักยิ้มเล็กน้อย เขามองไปยังพวกเฝิงจื่อไฉแล้วเอ่ย “ถึงตาพวกนายแล้ว” เหอลี่ฉวินเอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นเครือ “พวกเรา พวกเราแค่ว่าเขาไม่กี่คำเท่านั้น ขอโทษเขาก็น่าจะพอแล้วนะครับ” “ใช่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นถึงกับต้องแทงตัวเองสามครั้งหรอกมั้งครับ พวกเราก้มหัวคำนับก็ได้แล้ว” เฝิงจื่อไฉอดกลั้นความหวาดกลัวและคับแค้นในใจเอาไว้ เขามองไปยังหลี่โม่แล้วพูด “นายอย่าให้มันเกินไปจะดีกว่า ที่นี่คือจินไห่ คุณเทียนกับลุงลู่สามารถปกป้องนายได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ปกป้องนายไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก!” “ถ้างั้นนายก็ไม่ยอมสินะ?” หลี่โม่ถามพร้อมหัวเราะฮ่า ๆ “ไม่ยอมแน่อยู่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะมีคุณเทียนกับลุงลู่คุ้มหัวนายอยู่ นายคิดว่าคนอย่างนายจะไปทำอะไรได้! ถ้าแน่จริงก็มาเดิมพันกับฉันสักตั้งสิ” เฝิงจื่อไฉตะโกน
“ได้! ยาจกอย่างนายก็รอความพ่ายแพ้ไปเถอะ ถึงตอนนั้นอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แล้วกัน จะพนันก็ต้องกล้าได้กล้าเสียด้วย ลุงลู่ คุณต้องเป็นพยานให้ด้วยนะ” เฝิงจื่อไฉพูดจบก็พาพวกเหอลี่ฉวินหันหลังออกไป ฮั่วเจี้ยนเฟิงลังเลเล็กน้อย แล้วเดินตามเฝิงจื่อไฉออกไปด้วยกัน ขณะมองดูพวกของเฝิงจื่อไฉเดินจากไป ลู่เจี้ยนปินก็เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ “คุณหลี่ เรื่องนี้คุณประมาทไปนะ หินแร่หมายเลข 9 ก้อนนั้นเป็นสินค้าที่คุณภาพดีที่สุดในหินแร่ล็อตนี้ คนวงในหลายคนต่างก็เคยเห็นมาแล้ว ในหินแร่หมายเลขนั่นจะต้องเป็นหยกจักรพรรดิอย่างแน่นอน ส่วนก้อนอื่น ๆ ล้วนเทียบไม่ได้เลย” กู้หยุนหลานพลันเคร่งเครียดขึ้นมา มือสองข้างจับแขนของหลี่โม่เอาไว้แน่น “หลี่โม่ คุณ… ครั้งนี้คุณประมาทไปจริง ๆ” หลี่โม่พลิกดูอัลบั้มรูปของการประมูล พลิกมาถึงรายการสินค้าประมูลในส่วนของหินแร่หยกแล้วมองดูครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย พวกเขาไม่มีทางชนะแน่” ลู่เจี้ยนปินเอาสองมือปิดหน้า ไม่รู้ว่าหลี่โม่ไปเอาความมั่นใจจากไหน หินแร่พวกนั้นล้วนเป็นของที่ลู่เจี้ยนปินเคยผ่านมือมาแล้ว เขารู้หมดแล้วว่าหินแร่พวกนั้นมีคุณภาพอยู่ระดับไหน “คุณห
กู้หยุนหลายมองไปยังหลี่โม่อย่างค่อนข้างลำบากใจ ไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องเมื่อครู่นี้กับหวังฟางอย่างไรดี “เขาเจอเพื่อนสองสามคนเข้าน่ะครับ บอกว่าจะไปคุยเรื่องธุรกิจกัน” หลี่โม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น หวังฟางมองหลี่โม่อย่างสงสัย ก่อนจะยื่นมือมาจิ้มหน้าผากของหลี่โม่อย่างแรงทีหนึ่ง “แกนี่มันทำให้ฉันเกลียดเทียบตายเลยจริง ๆ ทำไมฉันถึงต้องมีลูกเขยไม่ได้เรื่องขนาดนี้อย่างแกด้วยนะ ออกไปข้างนอกพูดถึงแกฉันก็ขายหน้าตลอด พวกคุณหนูคุณนายทั้งหลายต่างก็เอาฉันไปเป็นตัวตลก ใบหน้าของฉันหวังฟางถูกแกทำลายย่อยยับไปหมดแล้ว!” “คุณแม่ อย่าทำแบบนี้สิคะ” กู้หยุนหลานปกป้องหลี่โม่ แล้วสบตากับหวังฟาง “ลูกก็ปกป้องไอ้คนไม่ได้เรื่องนี่ให้ดีแล้วกัน แล้วดูซิว่าต่อไปไอ้คนไม่ได้เรื่องนี่จะมีอนาคตประสบความสำเร็จอะไรได้” กู้เจี้ยนหมินดึงตัวหวังฟาง “ไม่ต้องพูดแล้ว คนตั้งเยอะแยะมองอยู่นะ จะพูดก็ค่อยกลับไปพูดทีหลังสิคะ” หวังฟางจ้องหลี่โม่ตาเขม็ง ก่อนจะหยิบหนังสือรายการสินค้าประมูลขึ้นมาอ่าน ...... ที่โรงจอดรถของศูนย์การประมูล จางจงหยางที่แทงตัวเองไปสามมีดหกรูนั้น ถูกลูกน้องหามไปขึ้นรถเบนซ์แล้ว เฝิงจื่อไฉและคนอ