”หยุนหลาน คนนี้คือ......” ฮั่วเจี้ยนเฟิงเพิ่งจะเริ่มแนะนำ แต่กลับถูกเฝิงจื่อไฉผลักออกอย่างแรงทันที เฝิงจื่อไฉมองกู้หยุนหลานด้วยสายตาลามเลีย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มวิตถาร “คนสวย พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ ผมขอแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง ผมชื่อเฝิงจื่อไฉ คุณเรียกผมว่าพี่ไฉก็ได้” “ความสัมพันธ์เล็กใหญ่ทั้งหมดในจินไห่ผมเอาอยู่หมด ไม่ทราบว่าคนสวยกำลังทำธุรกิจอะไรงั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่สีขาวหรือสีดำ พี่ไฉของคุณก็ครอบคลุมได้หมด ที่ผมคลุมไม่ได้ก็มีแต่พี่หยางนี่แหละ” จางจงหยางยิ้มบางพลางมองไปยังกู้หยุนหลาน ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความละโมบและความปรารถนาครอบครอง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกอย่างกระตือรือร้นขนาดเฝิงจื่อไฉ “ผมชื่อจางจงหยาง คนสวยเรียกผมว่าพี่หยางก็พอแล้ว คุณมีเรื่องอะไรที่จินไห่ขอแค่มาบอกผม แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองฉากนี้อย่างตกตะลึงเล็กน้อย ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด ก็ยังรู้เลยว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ทว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลของจินไห่ ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่มีกำลังจะไปต่อกรกับคนพวกนี้หรอก หลี่โม่ลุกยืนขึ้นด้านหน้ากู้หย
เสียงด้านนอกประตูไม่ได้ดังมาก แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องในคำพูดนั้น กลับทำให้พวกจางจงหยางหวาดหวั่น “คุณเทียนมาเหรอ? คุณเทียนมาที่จินไห่งั้นเหรอ? ถ้าคุณเทียนมาจินไห่ยังไงก็ต้องบอกกล่าวฉันสักคำสิ” จางจงหยางพึมพำอย่างสงสัย อย่างไรก็ตามความสงสัยของจางจงหยางก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะชูจงเทียนนั้นกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางนร่างท้วมคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนร่างท้วมแต่งตัวเรียบง่ายอย่างมาก สีหน้าออกสีเลือดฝาด ใบหน้ากว้างปากใหญ่แผ่รัศมีแห่งความร่ำรวยมั่งคั่งออกมา “คนที่มากับลู่เจี้ยนปินคือคุณเทียนงั้นเหรอ?” เฝิงจื่อไฉถามเสียงเบา “ใช่ รีบไปต้อนรับคุณเทียนกับฉันเร็วเข้า” จางจงหยางพาเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาลู่เจี้ยนปินและชูจงเทียนด้วยกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงเดินมาข้าง ๆ หลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไอ้ขยะ ครั้งนี้นายยั่วโมโหคนอื่นมันเกินขอบเขตไปแล้ว ไม่เพียงยั่วโมโหผู้มีอิทธิพลของจินไห่เท่านั้น ยังล่วงเกินผู้มีอิทธิพลของกรุงโซลอีกด้วย นายรอความตายได้เลย” จากนั้นฮั่วเจี้ยนเฟิงก็มองไปทางกู้หยุนหลาน “หยุนหลาน คุณเองก็เห็นแล้วว่าเจ้าขยะนี่สร้างหายนะมากแค่ไหน บางทีอาจจะเดือดร้อนมาถึงตระกูล
ชูจงเทียนหรี่ตามองไปยังพวกของจางจงหยาง แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “พวกนายเยาะเย้ยเขายังไงล่ะ? เยาะเย้ยเสร็จแล้วเตรียมจะทำยังไงต่อ” เฝิงจื่อไฉคิดว่าชูจงเทียนกำลังโมโหแล้ว ในใจเกิดความคิดที่จะประจบชูจงเทียนขึ้นมา หากสามารถเดินเส้นสายผ่านชูจงเทียนได้ ในอนาคตก็จะสามารถขยายธุรกิจไปถึงกรุงโซลได้ “ที่เยาะเย้ยเขานั้นเป็นการอุ่นเครื่องแบบพื้น ๆ เท่านั้นครับ เยาะเย้ยจบแล้วพวกเราจะจัดการเขาให้เรียบร้อย ทำให้เขาคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นขอความเมตตาจากคุณเทียนสักสองสามที จากนั้นพวกเราค่อยพาเขาไป และค่อย ๆ ฆ่าเวลากันช้า ๆ ” ชูจงเทียนพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงมองไปทางจางจงหยาง “นายล่ะ วางแผนว่าจะทำยังไง” จางจงหยางรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าอารมณ์ของชูจงเทียนมีบางอย่างผิดปกติ “คุณเทียน ผมคิดว่าสั่งสอนเขาให้จบ ๆ ไปก็ได้แล้วครับ” “ให้มันจบ ๆ ไปนั่นมันแบบไหนล่ะ?” “เรื่องนั้น......” จางจงหยางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตบปากสักสามสิบห้าสิบทีก็ได้แล้วล่ะครับ” ชูจงเทียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นพลางดึงลู่เจี้ยนปิน “เจี้ยนปิน ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักคนคนหนึ่ง” ชูจงเทียนดึงลู่เจี้ยนปินเดิ
ฮั่วเจี้ยนเฟิงอ้าปากกว้างด้วยความตะลึง คาดไม่ถึงว่าชูจงเทียนจะสนับสนุนหลี่โม่อย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ให้ทุกคนขอโทษหลี่โม่ นี่มันเกินกว่าจินตนาการของฮั่วเจี้ยนเฟิงไปโดยสิ้นเชิง สายตาของเหอลี่ฉวินและลูกเศรษฐีคนอื่น ๆ มองไปยังเฝิงจื่อไฉ เฝิงจื่อไฉคือคนที่พวกเขาต้องการจะประจบ พวกเขาควรจะทำอย่างไรนั้นย่อมต้องดูท่าทีของเฝิงจื่อไฉแน่นอนอยู่แล้ว สติของเฝิงจื่อไฉเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เขามองชูจงเทียน แล้วมองหลี่โม่อีกที ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของหลี่โม่กับชูจงเทียนเลย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนที่สามารถทำให้ชูจงเทียนเคารพนับถือได้ อย่างนั้นก็ต้องเป็นผู้มีอำนาจหรือทายาทเศรษฐีแน่นอน แต่หลี่โม่นั้นไม่มีความเป็นทายาทเศรษฐีหรือผู้มีอำนาจเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่งตัวธรรมดา อีกทั้งยังออกมาโดยไม่มีบอดี้การ์ดติดตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถพิสูจน์ได้ว่าหลี่โม่เป็นแค่คนธรรมดา หรือคนธรรมดาที่ยากจนสุด ๆ คนหนึ่งเท่านั้น! “พี่หยาง พี่ว่าควรทำยังไงดี?” เฝิงจื่อไฉถามเสียงเบา สีหน้าของจางจงหยางบึ้งตึงอย่างยิ่ง สำหรับจางจงหยางแล้ว การจะให้ไปขอโทษหลี่โม่นั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่นี่คือจินไห่ เ
ชูจงเทียนเอ่ยอย่างเย็นชา คนที่อยู่ด้านหลังจางจงหยางพากันจ้องมองชูจงเทียนด้วยความโกรธเคือง แสดงท่าทางออกมาว่าขอแค่จางจงหยางออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะพุ่งออกไปจัดการชูจงเทียนทันที ลู่เจี้ยนปินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จางจงหยาง เฝิงจื่อไฉ พวกนายก็นับว่าเป็นรุ่นน้อง คิดจะไม่ฟังคำพูดของรุ่นพี่จริง ๆ งั้นเหรอ? ถ้าพวกนายไม่ขอโทษคุณหลี่ ไม่แน่ว่าฉันเองก็อาจร่วมมือกับคุณเทียนก็ได้นะ” เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เจี้ยนปิน สีหน้าของจางจงหยางกับเฝิงจื่อไฉก็เปลี่ยนไปทันที หากเพียงแค่คำขู่ของชูจงเทียนเพียงคนเดียว จางจงหยางยังมีความกล้าที่จะสู้สักตั้งจริง ๆ แต่หากลู่เจี้ยนปินอยู่ข้างชูจงเทียน สถานการณ์ก็จะต่างออกไปอย่างมาก ลู่เจี้ยนปินเป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจินไห่ และที่สำคัญคือ ลู่เจี้ยนปินนั้นเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับวัตถุโบราณ มีความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีหน้ามีตาทั่วทุกแห่งหนภายในมณฑล เส้นสายเครือข่ายของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ว่าในยามปกติลู่เจี้ยนปินจะเป็นคนถ่อมตน แต่ในเขตจินไห่ ลู่เจี้ยนปินก็คือราชาที่เร้นกาย เพียงแค่กระทืบเท้าทั่วทั้งจินไห่ก็สั่นสะเทือน “ลุงลู่ คุณจริงจังเหรอครับ?” จาง
จะคุกเข่า หรือไม่คุกเข่า? นี่เป็นคำถามที่ตัดสินใจได้ยากมาก สายตาของจางจงหยางกวาดมองชูจงเทียนและลู่เจี้ยนปินที่เป็นดั่งเทพเจ้า และท้ายที่สุดก็หยุดลงบนตัวของลี่โม่ หลี่โม่นั่งอย่างเรียบเฉย ใบหน้าไม่เศร้าหรือสุข ราวกับไม่ได้แยแสทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย จางจงหยางจ้องเขม็งสองตาของหลี่โม่อย่างโหดเหี้ยม แต่ก็มองไม่เห็นความหวาดหวั่นในดวงตาของหลี่โม่เลย กลับกันยังเห็นความเย้ยหยันในแววตาของหลี่โม่เสียด้วยซ้ำ สำหรับหลี่โม่แล้ว จางจงหยางก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชูจงเทียนต้องการจะแสดงออกต่อหน้าตน ดังนั้นหลี่โม่จึงให้โอกาสชูจงเทียนได้แสดง แม้ว่าแววตาเย้ยหยันในดวงตาของหลี่โม่จะทำให้จางจงหยางรู้สึกทั้งโกรธและอับอาย แต่ความไม่สบายใจในใจของจางจงหยาง ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีความผิดปกติบางอยู่ในนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ใช้การขอโทษครั้งนี้ เป็นโอกาสให้การปลดโซ่ตรวนของชูจงเทียนออกไปโดยสมบูรณ์เลยแล้วกัน และยังเป็นการใช้ประโยชน์จากเจ้าสกุลหลี่นั่นด้วย จางจงหยางก้าวฝีเท้าอันหนักหน่วง เดินมาถึงเบื้องหน้าของหลี่โม่และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ขอโทษคุณหลี่ด้วย
ชูจงเทียนหัวเราะอย่างดูแคลน ในใจคิดว่า 'นายไปล่วงเกินนายน้อยแห่งแดนมังกรเข้า แค่ให้แทงสักสามมีดหกรูเพื่อช่วยชีวิตนาย ก็ยังไม่รู้จักสำนึกเสียนี่' ชูจงเทียนพาตัวจางจงหยางออกไปจากห้องประมูล ไม่นานเสียงโอดครวญของจางจงหยางก็ดังขึ้นมาจากนอกห้อง ชัดเจนว่าจางจงหยางแทงตัวเองสามมีดจริง ๆ มุมปากของลู่เจี้ยนปินหยักยิ้มเล็กน้อย เขามองไปยังพวกเฝิงจื่อไฉแล้วเอ่ย “ถึงตาพวกนายแล้ว” เหอลี่ฉวินเอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นเครือ “พวกเรา พวกเราแค่ว่าเขาไม่กี่คำเท่านั้น ขอโทษเขาก็น่าจะพอแล้วนะครับ” “ใช่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นถึงกับต้องแทงตัวเองสามครั้งหรอกมั้งครับ พวกเราก้มหัวคำนับก็ได้แล้ว” เฝิงจื่อไฉอดกลั้นความหวาดกลัวและคับแค้นในใจเอาไว้ เขามองไปยังหลี่โม่แล้วพูด “นายอย่าให้มันเกินไปจะดีกว่า ที่นี่คือจินไห่ คุณเทียนกับลุงลู่สามารถปกป้องนายได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ปกป้องนายไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก!” “ถ้างั้นนายก็ไม่ยอมสินะ?” หลี่โม่ถามพร้อมหัวเราะฮ่า ๆ “ไม่ยอมแน่อยู่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะมีคุณเทียนกับลุงลู่คุ้มหัวนายอยู่ นายคิดว่าคนอย่างนายจะไปทำอะไรได้! ถ้าแน่จริงก็มาเดิมพันกับฉันสักตั้งสิ” เฝิงจื่อไฉตะโกน
“ได้! ยาจกอย่างนายก็รอความพ่ายแพ้ไปเถอะ ถึงตอนนั้นอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แล้วกัน จะพนันก็ต้องกล้าได้กล้าเสียด้วย ลุงลู่ คุณต้องเป็นพยานให้ด้วยนะ” เฝิงจื่อไฉพูดจบก็พาพวกเหอลี่ฉวินหันหลังออกไป ฮั่วเจี้ยนเฟิงลังเลเล็กน้อย แล้วเดินตามเฝิงจื่อไฉออกไปด้วยกัน ขณะมองดูพวกของเฝิงจื่อไฉเดินจากไป ลู่เจี้ยนปินก็เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ “คุณหลี่ เรื่องนี้คุณประมาทไปนะ หินแร่หมายเลข 9 ก้อนนั้นเป็นสินค้าที่คุณภาพดีที่สุดในหินแร่ล็อตนี้ คนวงในหลายคนต่างก็เคยเห็นมาแล้ว ในหินแร่หมายเลขนั่นจะต้องเป็นหยกจักรพรรดิอย่างแน่นอน ส่วนก้อนอื่น ๆ ล้วนเทียบไม่ได้เลย” กู้หยุนหลานพลันเคร่งเครียดขึ้นมา มือสองข้างจับแขนของหลี่โม่เอาไว้แน่น “หลี่โม่ คุณ… ครั้งนี้คุณประมาทไปจริง ๆ” หลี่โม่พลิกดูอัลบั้มรูปของการประมูล พลิกมาถึงรายการสินค้าประมูลในส่วนของหินแร่หยกแล้วมองดูครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย พวกเขาไม่มีทางชนะแน่” ลู่เจี้ยนปินเอาสองมือปิดหน้า ไม่รู้ว่าหลี่โม่ไปเอาความมั่นใจจากไหน หินแร่พวกนั้นล้วนเป็นของที่ลู่เจี้ยนปินเคยผ่านมือมาแล้ว เขารู้หมดแล้วว่าหินแร่พวกนั้นมีคุณภาพอยู่ระดับไหน “คุณห
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา