“จะไม่ใช่แค่เคราะห์หนักน่ะสิ ฉันว่าคนต่างถิ่นคนนี้น่าจะถึงฆาด แค่พี่ไฉบอกพี่หยางคำเดียว คนต่างถิ่นคนนี้ต้องถูกจับมัด และถูกทรมานแสนสาหัสแน่”“แต่สะใจมากที่ได้ดูพี่ไฉถูกอัด ปกติจะเห็นแต่เขากลั่นแกล้งคนอื่น แต่คราวนี้ได้เห็นถูกอัดบ้าง”ขณะที่เจ้าของร้านกำลังพูดคุยกัน หลี่โม่ก็พากู้หยุนหลานหันหลังเดินจากไป เฝิงจื่อไฉนอนอยู่ที่พื้นและต้องการที่จะยืนขึ้น แต่เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้ เพราะเอวของเขาไม่สามารถใช้การได้เฝิงจื่อไฉโกรธเกรี้ยวพร้อมตะโกนใส่เจ้าของร้านที่อยู่ไม่ไกล "พวกแกรอดูฉันคลานไปที่ถนนหรือไง! รีบมาช่วยพาฉันไปโรงพยาบาลสิโว้ย!"เจ้าของร้านต่างวิ่งไล่ตามกัน ช่วยพยุงเฝิงจื่อไฉลุกขึ้นและขับรถพาเฝิงจื่อไฉไปส่งที่โรงพยาบาล…ในห้องของโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในจิ่นไห่เมื่อเฝิงจื่อไฉทำการตรวจเอวเสร็จ ก็นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเศร้าหมองเฝิงจื่อไฉไม่คิดจะพูดอะไรกับฮั่วเจี้ยนเฟิงแต่ติดต่อหาจางจงหยางทันทีจางจงหยางพาลูกน้องกลุ่มหนึ่งมาที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ป่วย หรือสมาชิกในครอบครัวในโรงพยาบาล เมื่อเห็นจางจงหยางทุกคนก็หลีกทางให้ทันทีไม่นานจางจงหยางก็มายืนอ
หลี่โม่และกู้หยุนหลานออกจากตลาดดอกไม้และเดินเล่นไปรอบ ๆ สักพัก เมื่อเห็นว่าการประมูลกำลังจะเริ่มขึ้น พวกเขาก็กลับไปที่โรงแรมกู้เจี้ยนหมินและภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่ในล็อบบี้ของโรงแรมพร้อมกับฮั่วเจี้ยนเฟิง เมื่อเห็นหลี่และกู้หยุนหลานกลับมา หวังฟางก็โบกมือทักทายเมื่อเห็นหลี่โม่กลับมา แถมร่างกายก็เหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แววตาฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เกิดความสงสัยนี่เกิดอะไรขึ้น?เป็นไปได้ยังไง เฝิงจื่อไฉไม่ได้จัดการกับไอ้หลี่โม่เหรอ?หรือไอ้หลี่โม่มันจะจัดการกับเฝิงจื่อไฉ…ฮั่วเจี้ยนเฟิงส่ายหัวไปมา รู้สึกจินตนาการเป็นหลี่โม่ที่จัดการเฝิงจื่อไฉ แต่นี่เป็นถิ่นของเฝิงจื่อไฉ หากเป็นหลี่โม่ทำร้ายเฝิงจื่อไฉ คงต้องถูกลูกน้องของเฝิงจื่อไฉเอาตายแน่ แต่ทำไมหลี่โม่ถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด ?เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นบนหน้าผากของฮั่วเจี้ยนเฟิงจะโทรไปหาเฝิงจื่อไฉถามตอนนี้ก็คงจะไม่ดี ฮั่วเจี้ยนเฟิงจึงทำเป็นถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในการประมูลหวังฟางเงยหน้าขึ้น มองหลี่โม่ที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา"พวกแกไปไหนกันมา? ทำไมไม่รู้จักรออยู่ในห้องเงียบ ๆ ?" หวังฟางพูดอย่างไม่พอใจ"แม่ค่ะ พวกเราก็
"เมืองจินไห่เลื่องชื่อด้านงานประมูล และเป็นมืออาชีพมาก ดังนั้นสินค้าทางวัฒนธรรมหลายรายการ ส่วนมากจะอยู่ในเมืองจินไห่ นอกจากนี้ยังมีงานประมูลหลายแห่งในจินไห่ งานประมูลใหญ่ในจินให่ครั้งนี้จัดขึ้นโดยเจ้าพ่อลู่เจี้ยนปิน""ถ้าพูดถึงลู่เจี้ยนปินคนนี้ เขาถือว่าเป็นบุคคลในตำนาน เดิมทีเขาเคยเป็นคนเก็บขยะ ต่อมาก็เอาขยะที่เก็บนั้นมาตีเป็นราคา หลังจากดำเนินกิจการมายี่สิบปีก็กลายเป็นเจ้าพ่อในอุตสาหกรรมวัตถุโบราณ และก็มีชื่อเสียงมากในงานการประมูล"ฮั่วเจี้ยนเฟิงขับรถไปพลางคุยกับกู้เจี้ยนหมิงไปพลาง โดยรู้ว่ากู้เจี้ยนหมินชอบสะสมของเก่าและหยก ดังนั้นเขาจึงเลือกหัวข้อที่กู้เจี้ยนหมินสนใจโดยเฉพาะมาพูดคุย"ลู่เจี้ยนปิน คนนี้ลุงรู้จัก ปีที่แล้วมักเห็นเขาในตลาดของโบราณบ่อย ๆ แถมในเวลานั้นเขาเป็นเซียนสะสมของเก่า ในจังหวัดนี้ก็ไม่มีใครที่เหนือกว่าลู่เจี้ยนปินในการเก็บสะสมของเก่า""และลุงก็ได้ยินมาว่า ตอนนี้ลู่เจี้ยนปินกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในจิ่นไห่แล้ว และสถานะของเขาในจิ่นไห่ก็โดดเดี่ยวมาก คนที่สามารถกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในด้านนี้ น่าจะมีแค่ลู่เจี้ยนปินคนเดียว"กู้เจี้ยนหมินพูดคุยกับฮั่วเจี้ยนเฟิงอย
ภายในอาคารศูนย์ประมูลใหญ่จินไห่แบ่งออกเป็นสองส่วน สองในสามส่วนของพื้นที่คือโถงแสดงนิทรรศการ และพื้นที่ส่วนที่เหลือนั้นแบ่งเป็นห้องประมูลขนาดแตกต่างกันหลายห้อง ก่อนที่สินค้าประมูลจะขึ้นประมูลทุกครั้ง จะทำการจัดแสดงนิทรรศการเป็นเวลาสามถึงห้าวัน ผู้ที่สนใจในการประมูลสินค้าจำนวนมาก ต่างก็ไปดูการจัดแสดงนิทรรศการล่วงหน้ากันทั้งสิ้น บางคนถึงกับพาผู้เชี่ยวชาญไปดูด้วยกัน เพื่อถือโอกาสประเมินความถูกต้อง คุณภาพ มูลค่าและด้านอื่น ๆ ของสิ่งของนั้นไปพร้อมกัน กู้เจี้ยนหมินมาที่งานประมูลโดยไม่ได้มีความคิดที่จะซื้อของ เพียงแค่มาดูสักหน่อยเท่านั้น หยกเหอเถียนและหยกแข็งชั้นเลิศทุกวันนี้มูลค่าพุ่งสูงเสียดฟ้า กู้เจี้ยนหมินไม่สามารถซื้อได้อยู่แล้ว และสินค้าที่มูลค่าถูกกว่าหน่อยกู้เจี้ยนหมินก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาอีก ดังนั้นกู้เจี้ยนหมินจึงได้แต่มาดูสินค้าที่จัดแสดงของนิทรรศการ เพื่อบรรเทาความโลภและดูเป็นอาหารตาเท่านั้น ฮั่วเจี้ยนเฟิงพากู้หยุนหลานและหลี่โม่เดินไปทางห้องประมูลใหญ่ “นิทรรศการไม่ได้มีอะไรน่าดูนักหรอก ถ้าอยากดูที่ห้องประมูลใหญ่ก็มีอัลบั้มรูป ดูในอัลบั้มก็ได้แล้วล่ะ” “หยุนหลาน ถ้าคุณกั
ทั้งสองข้างทางเดินนอกห้องประมูล มีชายฉกรรจ์ในสูทสีดำยืนขนาบสองแถวชิดกำแพง เพียงแค่ออร่าที่แผ่ออกมาก็สามารถทำให้คนหวาดกลัวได้แล้ว ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองคนชุดดำที่อย่างมากก็น่าจะเกินร้อยคน สีหน้าท่าทางก็ประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย ถึงอย่างไรสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้เคยเห็นกันบ่อย ๆ เหล่าลูกเศรษฐีที่เดินตามออกมาข้างหลังนั้นแตกต่างกัน พวกเขาพากันเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “อลังการขนาดนี้ พี่ไฉคงไม่ได้เรียกพี่หยางมาด้วยกันหรอกนะ คนที่สามารถจัดฉากแบบนี้ได้ในจินไห่ของพวกเรา ก็คงมีแต่พี่หยางเท่านั้น” “คงเป็นพี่หยางแน่ ก็บอกเรื่องความสัมพันธ์ของพี่ไฉกับพี่หยางให้พวกนายฟังแล้วไง ขอแค่ตกลงกับพี่ไฉได้แล้ว หลังจากนั้นเรื่องการรื้อถอนก็ดำเนินการได้ง่าย ๆ แล้ว” “พวกนายผู้ชายสองสามคนหลีกทางไป ให้สาว ๆ อย่างเรายืนเซนเตอร์ ด้วยรูปลักษณ์สาวน้อยสวยใสร่าเริงของพวกเรา จะต้องดึงดูดพี่ไฉกับพี่หยางได้แน่” ฮั่วเจี้ยนเฟิงได้ยินคำพูดของลูกเศรษฐีพวกนั้น ก็ยิ้มส่ายหน้าเบา ๆ ฮั่วเจี้ยนเฟิงที่ไม่คาดคิดว่าพลังของเฝิงจื่อไฉจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ในใจเกิดความแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวเมื่ออาศัยอ
เฝิงจื่อไฉปากก็บอกว่าละอายใจ แต่ในใจกลับกำลังก่นด่า สิ่งที่คิดล้วนเป็นเรื่องที่ถูกหลี่โม่กระทืบจนเอวหัก ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่รู้ว่าเฝิงจื่อไฉก็แค่พูดอย่างนั้น เขาจึงเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ที่เรื่องวุ่นวายแบบนี้ ก็เป็นความผิดของผมเหมือนกัน พรุ่งนี้ผมจะเลี้ยงไวน์เพื่อชดใช้ความผิดนะครับ” “ชดใช้ความผิดอะไรกัน พวกเราพี่ชายน้องชายคนกันเอง อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันก็เรื่องของโชค นายเองก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย” หลังจากปลอบใจฮั่วเจี้ยนเฟิงแล้ว เฝิงจื่อไฉก็หรี่ตาเอ่ยเสียงเบา “คนที่นายอยากจัดการนั่นมาหรือยัง? เห็นพวกเพื่อน ๆ พวกนี้แล้วใช่ไหม พวกเขาเป็นคนที่ฉันตั้งใจจ้างมาเพื่อยกยอปอปั้นนายโดยเฉพาะ อีกเดี๋ยวจะช่วยทำให้ไอ้ขยะนั่นอับอายขายขี้หน้าสุด ๆ ไปเลย ฉันขอแนะนำให้นายรู้จักสักสองสามคนก่อนแล้วกัน” “ลูกชายคนรองของประธานกรรมการอสังหาริมทรัพย์จินไห่ เหอลี่ฉวิน” “ลูกสาวคนโตของประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาจินไห่ เฝิงเซียวเซียว” “ลูกชายคนโตของผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนจินไห่ ไป่เฉียนหลี่......” ตระกูลของกลุ่มลูกเศรษฐีนั้นต่างก็เป็นพวกมีฐานะ ในตระกูลล้วนเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกา
”หยุนหลาน คนนี้คือ......” ฮั่วเจี้ยนเฟิงเพิ่งจะเริ่มแนะนำ แต่กลับถูกเฝิงจื่อไฉผลักออกอย่างแรงทันที เฝิงจื่อไฉมองกู้หยุนหลานด้วยสายตาลามเลีย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มวิตถาร “คนสวย พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ ผมขอแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง ผมชื่อเฝิงจื่อไฉ คุณเรียกผมว่าพี่ไฉก็ได้” “ความสัมพันธ์เล็กใหญ่ทั้งหมดในจินไห่ผมเอาอยู่หมด ไม่ทราบว่าคนสวยกำลังทำธุรกิจอะไรงั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่สีขาวหรือสีดำ พี่ไฉของคุณก็ครอบคลุมได้หมด ที่ผมคลุมไม่ได้ก็มีแต่พี่หยางนี่แหละ” จางจงหยางยิ้มบางพลางมองไปยังกู้หยุนหลาน ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความละโมบและความปรารถนาครอบครอง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกอย่างกระตือรือร้นขนาดเฝิงจื่อไฉ “ผมชื่อจางจงหยาง คนสวยเรียกผมว่าพี่หยางก็พอแล้ว คุณมีเรื่องอะไรที่จินไห่ขอแค่มาบอกผม แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองฉากนี้อย่างตกตะลึงเล็กน้อย ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด ก็ยังรู้เลยว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ทว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลของจินไห่ ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่มีกำลังจะไปต่อกรกับคนพวกนี้หรอก หลี่โม่ลุกยืนขึ้นด้านหน้ากู้หย
เสียงด้านนอกประตูไม่ได้ดังมาก แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องในคำพูดนั้น กลับทำให้พวกจางจงหยางหวาดหวั่น “คุณเทียนมาเหรอ? คุณเทียนมาที่จินไห่งั้นเหรอ? ถ้าคุณเทียนมาจินไห่ยังไงก็ต้องบอกกล่าวฉันสักคำสิ” จางจงหยางพึมพำอย่างสงสัย อย่างไรก็ตามความสงสัยของจางจงหยางก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะชูจงเทียนนั้นกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางนร่างท้วมคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนร่างท้วมแต่งตัวเรียบง่ายอย่างมาก สีหน้าออกสีเลือดฝาด ใบหน้ากว้างปากใหญ่แผ่รัศมีแห่งความร่ำรวยมั่งคั่งออกมา “คนที่มากับลู่เจี้ยนปินคือคุณเทียนงั้นเหรอ?” เฝิงจื่อไฉถามเสียงเบา “ใช่ รีบไปต้อนรับคุณเทียนกับฉันเร็วเข้า” จางจงหยางพาเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาลู่เจี้ยนปินและชูจงเทียนด้วยกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงเดินมาข้าง ๆ หลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไอ้ขยะ ครั้งนี้นายยั่วโมโหคนอื่นมันเกินขอบเขตไปแล้ว ไม่เพียงยั่วโมโหผู้มีอิทธิพลของจินไห่เท่านั้น ยังล่วงเกินผู้มีอิทธิพลของกรุงโซลอีกด้วย นายรอความตายได้เลย” จากนั้นฮั่วเจี้ยนเฟิงก็มองไปทางกู้หยุนหลาน “หยุนหลาน คุณเองก็เห็นแล้วว่าเจ้าขยะนี่สร้างหายนะมากแค่ไหน บางทีอาจจะเดือดร้อนมาถึงตระกูล
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา