“อยู่เฉย ๆ นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเจ้านาย ใครกล้ายกมือขึ้นแม้แต่เล็กน้อย ฉันจะตัดมือคนคนนั้น ใครกล้ายกเท้าขึ้น ฉันจะตัดเท้าคนคนนั้น และใครกล้าก้าวไปข้างหน้า ฉันจะเอาชีวิตคนคนนั้น! ” ลูกน้องของชูจงเทียนเองก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง แล้วรีบพุ่งเข้ามา พร้อมกับถือดาบซามูไรชี้ไปทางลูกน้องของพี่เปียว “ไม่ได้ยินที่คุณเทียนพูดหรือไง อย่าขยับ ถ้าใครขยับจะฆ่าคนนั้น!” “พี่ใหญ่ตัดสินปัญหากัน ลูกน้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์ก็พอ อย่าได้ทำผิดกฎ” ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของชูจงเทียน ลูกน้องของพี่เปียวรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปช่วยพี่เปียวอย่างหุนหันพลันแล่น หลี่โม่พุ่งไปอยู่ตรงหน้าของพี่เปียว พี่เปียวดูเคร่งขรึม ยกที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลที่ทั้งหนาและหนักบนโต๊ะเป็นอาวุธ จากนั้นทุบไปที่หน้าผากของหลี่โม่ หลี่โม่เบี่ยงตัวเล็กน้อย จับแขนขวาของพี่เปียวด้วยมือทั้งสองข้างและออกแรง มีเสียงหักของกระดูกดังขึ้น พี่เปียวร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย! เจ็บ ๆ ! แขนฉัน!” เมื่อเห็นแขนที่งอผิดรูป น้ำตาขอพี่เปียวก็ไหลออกมา เจ็บจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว หลี่โม่ยังไม่วางมือ จากนั้นเขาก็จับแขนอีกข้างของพี
ชูจงเทียนมองไปที่หลี่โม่อย่างเคารพ รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่หลี่โม่เป็นนายน้อยของแดนมังกร เวลานี้ดูดุดันอย่างไร้ที่เปรียบ หลี่โม่ยื่นนิ้วชี้ไปที่พี่เปียว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังชูจงเทียนวิ่งมาทันที ค้นโทรศัพท์มือถือของพี่เปียว และถามว่าจะโทรหาเบอร์ไหนในสมุดรายชื่อของเขา “โทรหาคนแรกในรายชื่อ” พี่เปียวพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง หลังจากที่นักเลงกดโทรออก เขาก็วางโทรศัพท์ไว้ที่หูของพี่เปียว หลังจากที่พี่เปียวพูดกับอีกฝ่ายได้สองสามคำ สีหน้าของเขาก็ดูเหมือนว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เพิ่งมีความสุขได้เพียงชั่วครู่ ก็กระเทือนถึงบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนหน้าบิดเบี้ยว “โอ๊ย เจ็บจริง ๆ เลย พวกแกรอก่อนเถอะ ผู้หนุนหลังของฉันกำลังมา แล้วพวกแกจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็น ‘ผู้กุมชะตาของเมืองฮั่น’” ชูจงเทียนดึงเก้าอี้มาวางไว้ข้างหลังหลี่โม่ หลังจากที่หลี่โม่นั่งลง ชูจงเทียนก็หยิบกล่องซิการ์สีทองออกมา หยิบซิการ์ออกมาแล้ววางไว้ระหว่างสองนิ้วของหลี่โม่ ชู่! ไม้ขีดไม้ซีดาร์แท่งหนึ่งถูกจุดขึ้น และกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของต้นซีดาร์ก็โชยขึ้นมา ซิการ์ถูกจุดด้วยไม้ขีดไฟ หลังจากที่หลี่โม่สูบมัน ก็เผยรอยยิ้มออ
บนพื้นที่เมืองฮั่นที่กว้างขวางนี้ ท่านไป๋ถือได้ว่าเป็นราชาของเมือง ตราบใดที่เป็นคนทำมาหากินในเมืองฮั่นนี้ ก็ต้องก้มหัวทำความเคารพเมื่อเจอท่านไป๋ แต่ที่หลี่โม่ทำแบบนี้ ถ้าหลี่โม่ไม่โง่จริง ก็คือหลี่โม่ต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งพอสมควร “น่าสนใจ แกรู้ไหมว่า คนล่าสุดที่ไม่เคารพฉัน จุดจบของมันเป็นอย่างไร” ท่านไป๋ถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง หลี่โม่ยกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่อยากรู้ แต่ที่ฉันรู้คือชะตากรรมของแก” “ฮ่าฮ่าฮ่า น่าขำเสียจริง ในเมืองฮั่นนี้ไม่มีใครแตะต้องตัวฉันได้ เพราะฉันคือ ‘ผู้กุมชะตาของเมืองฮั่น’! ตอนนี้แกทำให้ฉันโมโห ฉันจะทำให้แกรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าบทลงโทษจากสวรรค์!” ท่านไป๋ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ ซึ่งไม่มีใครกล้าขัดขืนเขามานานแล้วหลายปี! สิ่งที่หลี่โม่ทำในวันนี้ ทำให้ท่านไป๋รู้สึกว่าอำนาจของเขาถูกท้าทาย และหลี่โม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต “มีคำหนึ่งที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า คนที่ควรรู้ว่าอะไรเรียกว่าบทลงโทษจากสวรรค์ คือแก” หลี่โม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา จากนั้นกดโทรหาหมายเลขหนึ่ง ท่านไป๋ส่ายหัว “โทรเรียกคนตอนน
ท่านไป๋คุกเข่าลง พี่เปียว เลขาใหญ่ที่อยู่ข้างท่านไป๋ รวมไปถึงชูจงเทียนต่างก็ตกใจ นอกจากหลี่โม่เพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือต่างก็พากันตกตะลึง นี่คือท่านไป๋เชียวนะ เขาคือคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นของเมืองฮั่น หรือเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งเมืองฮั่น! คนประเภทนี้ จะคุกเข่าง่ายดายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ “ท่านไป๋ ท่าน ๆ ๆ… คือท่าน เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงได้คุกเข่า ท่านเป็นที่หนึ่งในราชาเมืองฮั่น ท่านจะคุกเข่าได้ยังไง!” ดวงตาของเลขาใหญ่แดงก่ำ นายถูกหยามข้าทาสต้องตาย ท่านไป๋ตอนนี้ถึงกับคุกเข่า นี่มันโดนหยามจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่ว่าจะอย่างไรเลขาใหญ่ก็ต้องหาวิธีกอบกู้หน้าของเจ้านายให้ได้ “ทำไมฉันถึงคุกเข่าไม่ได้ พวกแกก็ต้องคุกเข่ากับฉัน อาเปียวให้คนของแกคุกเข่าต่อหน้าคุณหลี่ซะ!” ท่านไป๋กัดฟันพูด เลขาใหญ่ลังเล และในที่สุดก็คุกเข่าอยู่ข้างหลังท่านไป๋ “รีบคุกเข่าเดี๋ยวนี้ ไม่เห็นรึไงว่าท่านไป๋คุกเข่าแล้ว พวกแกมัวแต่ยืนนิ่งทำไม คุกเข่าต่อหน้าคุณหลี่ซะ แล้วเรียกนายท่าน สองคนมาพยุงฉันคุกเข่าทำความเคารพนายท่านของฉัน” ในใจของพี่เปียวค่อนข้างวุ่นวาย เพราะคนที่คอยหนุนหลังยังต
เลขาใหญ่ของท่านไป๋รู้สึกสับสนไปหมด ในอดีตภาพลักษณ์ของท่านไป๋นั้นดุดันไม่เกรงใจใคร แน่นอนว่าเป็นเจ้าแห่งความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในขณะนี้ เลขาใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่า ตัวเองเห็นท่านไป๋ตัวปลอม “ท่านไป๋ ท่าน… สำรวมหน่อยครับ” เลขาใหญ่กระซิบ “สำรวมบ้าอะไร! ยาวดอกไม้เบ่งบานให้รีบเก็บ อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่ง! การรับพ่อบุญธรรมก็เช่นกัน มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะได้เจอคุณหลี่และมีพ่อบุญธรรมที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่คำนึงถึงอะไรในการรับพ่อบุญธรรม!” ท่านไป๋พูดอย่างไร้ยางอาย หลี่โม่ยิ้มเยาะเย้ย และเตะศีรษะของท่านไป๋ จนท่านไป๋กลิ้งเป็นลูกน้ำเต้า “โอ้! ท่านพ่อท่านเตะได้ดี เมื่อครู่ลูกทำผิดจริง ๆ ต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากท่านพ่อ ท่านช่วยสั่งสอนผมทีครับ” ท่านไป๋ตะโกนพลางกุมศีรษะ ท่านไป๋หัวเราะ “หน้าด้านไม่เบานี่” หลี่โม่พูดอย่างจนปัญญา ต้องเผชิญกับคนหน้าด้านเช่นนี้ ทำได้เพียงส่งเขาไปกลับตัวกลับใจใหม่เท่านั้น ชูจงเทียนตกตะลึงอย่างหนัก ชูจงเทียนถือว่าเป็นคนที่เห็นอะไรมามากแล้ว เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองยังประเมินผู้คนบนโลกนี้ต่ำเกินไป คนที่
ท่านไป๋ถูกจับและคุมตัวไป เขาสาปแช่งหลี่โม่ตลอดทาง เมื่อกี้อินกับการแสดงมากเกินไป ทำให้ท่านไป๋คิดว่าถ้าเขาเรียกหลี่โม่ว่าพ่อ แสดงความภักดีแล้วจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นในช่วงเวลานี้ที่ท่านไป๋ถูกจับกุม สภาพจิตใจของเขาก็ทรุดลงทันที เขาจึงใช้การสาปแช่งหลี่โม่เป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าและความกลัวในใจของเขา ชูจงเทียนเฝ้าดูท่านไป๋ถูกจับกุมไป รู้สึกว่าเขาเข้าใจหลี่โม่เป็นอย่างดี หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และโทรออกไปยังหมายเลขของกู้หยุนหลาน “ที่รัก คนที่อยู่เบื้องหลังถูกจัดการแล้ว ช่วงนี้คงไม่มีใครกล้าไปก่อความวุ่นวายที่โรงงานวัตถุดิบแล้วล่ะ” “ฮะ?” กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็นึกถึงการต่อสู้ที่น่าทึ่งของหลี่โม่ จึงเข้าใจขึ้นมาทันที “คุณ… คุณไม่ถูกทำร้ายใช่ไหม?” กู้หยุนหลานถามอย่างประหม่า “ไม่เป็นไร ก็แค่ไอ้อ้วนคนหนึ่ง แค่จัดการมันอย่างลวก ๆ แล้วก็ส่งมันให้หน่วยสิบสวนไปแล้ว” หลี่โม่พูดอย่างสบาย ๆ“อ๋อ อย่างนั้นก็ดีแล้ว ไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แล้วฉันก็ไม่ต้องไปคอยคุมโรงงานวัตถุดิบแล้วสินะ บ่ายนี้เราไปเยี่ยมซีซีที่โรงพยาบาลกันเถอะ” “ได้สิ ผมก็คิดถึงซีซีแล้วเหมือนกัน ถ้าอย
หวังหลิงตะโกนด้วยความโกรธ ทำให้ทุกคนที่มาเกลี้ยกล่อมตกใจกลัว ผู้คนต่างกลับเข้าห้องผู้ป่วยไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก พอหันกลับมา หวังหลิงคว้าคอเสื้อของซีซี เขย่าซีซีอย่างแรงแล้วตะโกน “แกมันเด็กดื้อที่มีพ่อแม่ให้กำเนิด แต่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน ลูกชายฉันอุตส่าห์ใจดีเล่นกับแก แต่แกกลับกล้าทำร้ายลูกฉัน วันนี้ฉันจะสั่งสอนแก เหิงเหิงมานี่ มาตีเธอให้หนัก ๆ! ” “จำสิ่งที่แม่สอนนะลูก ครอบครัวเราไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ต้องกลัว หากใครทำร้ายลูก ก็ตีให้มันตายไปเลย มีแม่อยู่ ถึงจะเกิดเรื่องแต่บ้านเราก็จัดการได้ อย่าให้ใครมารังแกเด็ดขาด!” ซีซีร้องไห้และดิ้นรน แต่เธอก็ไม่สามารถหลุดจากแรงดึงของหวังหลิงได้ “ปล่อยหนูนะ หนูมีพ่อแม่คอยสั่งสอนนะ เขาต่างหากที่หกล้มเอง แล้วก่อนหน้านั้นเขาก็ต่อยหนูด้วย หนูไม่ได้ทำอะไรเขาเลย คุณเป็นคนไม่ดี พวกคุณเป็นคนไม่ดี” ซีซีร้องไห้ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ช่างน่าสงสารเหลือเกิน “ยัยเด็กขี้โกหก ยังกล้าว่าฉันเป็นคนไม่ดี! แกมันเด็กไม่ได้รับการสั่งสอน วันนี้ฉันจะฉีกปากแก แกจะได้รู้ว่าอะไรคือการสั่งสอน!” หวังหลิงยื่นมือออกมาด้วยความโกรธ หวังจะตบไปที่หน้าซีซี แต่ทันทีที่เธอยกมือข
“พี่ ฉันถูกเจ้ายาจกคนหนึ่งทำร้ายที่โรงพยาบาล ลูกสาวของมันดูเหมือนจะเป็นคนไข้ในแผนกของพวกพี่ พี่รีบมาเลยนะ!” หวังหลิงพูดทั้งน้ำตา “พวกเธออยู่ในพื้นที่ผู้ป่วย? ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หวังหลิงวางโทรศัพท์ แล้วชี้ไปที่หลี่โม่และตะโกนว่า “พี่ชายของฉันกำลังมา แก เจ้ายาจกเตรียมรอคุกเข่าให้ฉันได้เลย! พวกแกทั้งครอบครัวต้องคุกเข่าขอโทษฉัน!” กู้หยุนหลานปลอบซีซี และเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่ามีต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ในตอนนี้ ได้ยินความหยิ่งผยองของหวังหลิง ในใจก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “คุณนี่มันเปลี่ยนผิดเป็นชอบ ลูกชายของคุณต่างหากที่รังแกลูกสาวฉัน คุณไม่ให้ลูกชายของคุณรับผิดก็ไม่เป็นไร แต่คุณรู้ไหมว่าอะไรคือจริยธรรม มโนธรรม สุจริตธรรมและยางอาย” กู้หยุนหลานด่ากลับ ในใจของเธอ ซีซีคือสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าลูกคนไหนก็เป็นดวงใจของแม่ทั้งนั้น หวังหลิงมองไปที่กู้หยุนหลานอย่างดูถูก ถ่มน้ำลายและตะโกนว่า “คนจนที่เข้าเมืองมาทำงานอย่างพวกแก ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องจริยธรรม มโนธรรม สุจริตธรรมและยางอายหรอก พวกแกมันไม่คู่ควร!” “พวกแกทั้งบ้านรีบคุกเข่าขอขม