เลขาใหญ่ของท่านไป๋รู้สึกสับสนไปหมด ในอดีตภาพลักษณ์ของท่านไป๋นั้นดุดันไม่เกรงใจใคร แน่นอนว่าเป็นเจ้าแห่งความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในขณะนี้ เลขาใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่า ตัวเองเห็นท่านไป๋ตัวปลอม “ท่านไป๋ ท่าน… สำรวมหน่อยครับ” เลขาใหญ่กระซิบ “สำรวมบ้าอะไร! ยาวดอกไม้เบ่งบานให้รีบเก็บ อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่ง! การรับพ่อบุญธรรมก็เช่นกัน มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะได้เจอคุณหลี่และมีพ่อบุญธรรมที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่คำนึงถึงอะไรในการรับพ่อบุญธรรม!” ท่านไป๋พูดอย่างไร้ยางอาย หลี่โม่ยิ้มเยาะเย้ย และเตะศีรษะของท่านไป๋ จนท่านไป๋กลิ้งเป็นลูกน้ำเต้า “โอ้! ท่านพ่อท่านเตะได้ดี เมื่อครู่ลูกทำผิดจริง ๆ ต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากท่านพ่อ ท่านช่วยสั่งสอนผมทีครับ” ท่านไป๋ตะโกนพลางกุมศีรษะ ท่านไป๋หัวเราะ “หน้าด้านไม่เบานี่” หลี่โม่พูดอย่างจนปัญญา ต้องเผชิญกับคนหน้าด้านเช่นนี้ ทำได้เพียงส่งเขาไปกลับตัวกลับใจใหม่เท่านั้น ชูจงเทียนตกตะลึงอย่างหนัก ชูจงเทียนถือว่าเป็นคนที่เห็นอะไรมามากแล้ว เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองยังประเมินผู้คนบนโลกนี้ต่ำเกินไป คนที่
ท่านไป๋ถูกจับและคุมตัวไป เขาสาปแช่งหลี่โม่ตลอดทาง เมื่อกี้อินกับการแสดงมากเกินไป ทำให้ท่านไป๋คิดว่าถ้าเขาเรียกหลี่โม่ว่าพ่อ แสดงความภักดีแล้วจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นในช่วงเวลานี้ที่ท่านไป๋ถูกจับกุม สภาพจิตใจของเขาก็ทรุดลงทันที เขาจึงใช้การสาปแช่งหลี่โม่เป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าและความกลัวในใจของเขา ชูจงเทียนเฝ้าดูท่านไป๋ถูกจับกุมไป รู้สึกว่าเขาเข้าใจหลี่โม่เป็นอย่างดี หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และโทรออกไปยังหมายเลขของกู้หยุนหลาน “ที่รัก คนที่อยู่เบื้องหลังถูกจัดการแล้ว ช่วงนี้คงไม่มีใครกล้าไปก่อความวุ่นวายที่โรงงานวัตถุดิบแล้วล่ะ” “ฮะ?” กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็นึกถึงการต่อสู้ที่น่าทึ่งของหลี่โม่ จึงเข้าใจขึ้นมาทันที “คุณ… คุณไม่ถูกทำร้ายใช่ไหม?” กู้หยุนหลานถามอย่างประหม่า “ไม่เป็นไร ก็แค่ไอ้อ้วนคนหนึ่ง แค่จัดการมันอย่างลวก ๆ แล้วก็ส่งมันให้หน่วยสิบสวนไปแล้ว” หลี่โม่พูดอย่างสบาย ๆ“อ๋อ อย่างนั้นก็ดีแล้ว ไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แล้วฉันก็ไม่ต้องไปคอยคุมโรงงานวัตถุดิบแล้วสินะ บ่ายนี้เราไปเยี่ยมซีซีที่โรงพยาบาลกันเถอะ” “ได้สิ ผมก็คิดถึงซีซีแล้วเหมือนกัน ถ้าอย
หวังหลิงตะโกนด้วยความโกรธ ทำให้ทุกคนที่มาเกลี้ยกล่อมตกใจกลัว ผู้คนต่างกลับเข้าห้องผู้ป่วยไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก พอหันกลับมา หวังหลิงคว้าคอเสื้อของซีซี เขย่าซีซีอย่างแรงแล้วตะโกน “แกมันเด็กดื้อที่มีพ่อแม่ให้กำเนิด แต่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน ลูกชายฉันอุตส่าห์ใจดีเล่นกับแก แต่แกกลับกล้าทำร้ายลูกฉัน วันนี้ฉันจะสั่งสอนแก เหิงเหิงมานี่ มาตีเธอให้หนัก ๆ! ” “จำสิ่งที่แม่สอนนะลูก ครอบครัวเราไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ต้องกลัว หากใครทำร้ายลูก ก็ตีให้มันตายไปเลย มีแม่อยู่ ถึงจะเกิดเรื่องแต่บ้านเราก็จัดการได้ อย่าให้ใครมารังแกเด็ดขาด!” ซีซีร้องไห้และดิ้นรน แต่เธอก็ไม่สามารถหลุดจากแรงดึงของหวังหลิงได้ “ปล่อยหนูนะ หนูมีพ่อแม่คอยสั่งสอนนะ เขาต่างหากที่หกล้มเอง แล้วก่อนหน้านั้นเขาก็ต่อยหนูด้วย หนูไม่ได้ทำอะไรเขาเลย คุณเป็นคนไม่ดี พวกคุณเป็นคนไม่ดี” ซีซีร้องไห้ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ช่างน่าสงสารเหลือเกิน “ยัยเด็กขี้โกหก ยังกล้าว่าฉันเป็นคนไม่ดี! แกมันเด็กไม่ได้รับการสั่งสอน วันนี้ฉันจะฉีกปากแก แกจะได้รู้ว่าอะไรคือการสั่งสอน!” หวังหลิงยื่นมือออกมาด้วยความโกรธ หวังจะตบไปที่หน้าซีซี แต่ทันทีที่เธอยกมือข
“พี่ ฉันถูกเจ้ายาจกคนหนึ่งทำร้ายที่โรงพยาบาล ลูกสาวของมันดูเหมือนจะเป็นคนไข้ในแผนกของพวกพี่ พี่รีบมาเลยนะ!” หวังหลิงพูดทั้งน้ำตา “พวกเธออยู่ในพื้นที่ผู้ป่วย? ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หวังหลิงวางโทรศัพท์ แล้วชี้ไปที่หลี่โม่และตะโกนว่า “พี่ชายของฉันกำลังมา แก เจ้ายาจกเตรียมรอคุกเข่าให้ฉันได้เลย! พวกแกทั้งครอบครัวต้องคุกเข่าขอโทษฉัน!” กู้หยุนหลานปลอบซีซี และเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่ามีต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ในตอนนี้ ได้ยินความหยิ่งผยองของหวังหลิง ในใจก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “คุณนี่มันเปลี่ยนผิดเป็นชอบ ลูกชายของคุณต่างหากที่รังแกลูกสาวฉัน คุณไม่ให้ลูกชายของคุณรับผิดก็ไม่เป็นไร แต่คุณรู้ไหมว่าอะไรคือจริยธรรม มโนธรรม สุจริตธรรมและยางอาย” กู้หยุนหลานด่ากลับ ในใจของเธอ ซีซีคือสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าลูกคนไหนก็เป็นดวงใจของแม่ทั้งนั้น หวังหลิงมองไปที่กู้หยุนหลานอย่างดูถูก ถ่มน้ำลายและตะโกนว่า “คนจนที่เข้าเมืองมาทำงานอย่างพวกแก ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องจริยธรรม มโนธรรม สุจริตธรรมและยางอายหรอก พวกแกมันไม่คู่ควร!” “พวกแกทั้งบ้านรีบคุกเข่าขอขม
หวังหยงลูบหลังหวังหลิง ช่วยหวังหลิงระบายอารมณ์ และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “อย่าตื่นตระหนกไปเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน ฉันจะให้พวกเขาขอโทษอย่างสาสม” หวังหลิงพยักหน้าและพาลูกชายของเธอถอยหลังไปสองก้าว หวังหยงพูดด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “พวกคุณยังต้องการให้ซีซีพบแพทย์ที่นี่ต่อไหม? ถ้ายังต้องการรับการรักษาต่อ ครอบครัวของคุณทั้งหมดจะต้องคุกเข่าลงและขอขมาน้องสาวของผม” “สำหรับเรื่องค่าเสียหาย ดูจากสารรูปพวกคุณก็ดูไม่น่าจะเป็นคนมีเงิน ผมจะไม่พูดถึงมันแล้ว แต่พวกคุณสองสามีภรรยาควรแสดงให้เห็นหน่อยไหมว่า พวกคุณยอมเป็นทาสรับใช้ในบ้านน้องสาวของฉันสักสามถึงห้าเดือน" หวังหยงยื่นข้อเสนอที่น่ารังเกียจมากกว่าเดิม ตามอารมณ์ของหวังหลิงแล้ว ถ้ายอมไปเป็นทาสรับใช้ในบ้านเธอสักสามเดือนก็คาดว่าจะเกิดอาการโรคประสาทแล้ว “สมองคุณคงมีปัญหาใช่ไหม ก่อนพูดจาช่วยใช้สมองคิดหน่อยไม่ได้หรือไง?” หลี่โม่ตอบกลับด้วยใบหน้าเย็นชา “ให้ตาย! นี่คุณยังกล้ายอกย้อนผม! ผมว่าคุณคงไม่อยากให้ลูกสาวรับการรักษาแล้ว เพียงแค่ผมพูดออกไปประโยคเดียว ผมรับประกันเลยว่าไม่มีโรงพยาบาลไหน หรือแพทย์ที่ไหนในเมืองฮั่นที่จะรักษาลูกสาวของคุณ ลูกสาวข
"คนยากจนอย่างแก จะไปเรียกคนแบบไหนมาได้ ประเภทที่คนยากจนรู้จักได้คงจะเป็นคนยากไร้ไม่ก็คนไร้ประโยชน์ แกเรียกมาเลย ฉันจะคอยดูซิว่า แกจะเรียกคนโง่เง่าเต่าตุ่นแบบไหนมากัน" คำพูดของหวังหยงเต็มไปด้วยการดูถูกหลี่โม่ ตามสามัญสำนึกแล้ว คนยาจกไม่มีวันรู้จักกับคนที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน “ฮัลโหล ผู้อำนวยการหลิวซินหมินใช่ไหมครับ? ผมหลี่โม่” หลี่โม่ตอบกลับอย่างเฉยชา “นายน้อย สวัสดีครับ ผมหลิวซินหมิน คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ? ถ้าหากว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการรักษา คุณไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผู้เชี่ยวชาญได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และได้กำหนดแผนการวินิจฉัยและการรักษาแล้วครับ” หลิวซินหมินโค้งตัวและกล่าวด้วยความเคารพอย่างมาก หลิวหมินซินนั้นรู้ดีอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนในเรื่องตัวตนและเบื้องหลังของหลี่โม่ นั่นคือนักลงทุนที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเชียวนะ ว่าตามความอาวุโส เขาเป็นระดับปู่เลยแหละ! “หัวหน้าแผนกหวังกับผมมีเรื่องกันนิดหน่อย คุณแวะมาดูหน่อยสิ เราอยู่ตรงประตูห้องพักผู้ป่วยของซีซี” หลี่โม่เลิกคิ้วและเหลือบมองหวังหยงที่อยู่ตรงข้ามและกำลังเผชิญกับเลือดกำเดาไหล “หวังหยงเจ้านั่น! นายน้อยรอสักครู่ครับ ผมจะไ
หวังหยงเหล่มองหลี่โม่ เมื่อเห็นท่าทีที่สงบของหลี่โม่ ก็ทำให้ในใจของหวังหยงกระตุก เป็นไปได้ไหมว่าผู้อำนวยการหลิวถูกคนยาจกนี่เรียกมา? หวังหลิงที่ยืนอยู่ข้างหวังหยงก็พูดเสียงเบา ๆ ว่า “พี่คะ มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน” “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ คอยดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หวังหยงหันกลับแล้วเดินไปหาหลิวซินหมิน พูดด้วยใบหน้าที่ร้องไห้คร่ำครวญว่า "ผู้อำนวยการหลิวมาทันเวลาพอดีเลยครับคุณมองดูหน้าผมซิครับ ผมถูกอันธพาลนี่ต่อย คุณต้องขอความเป็นธรรมให้ผมด้วยนะครับ" หลิวซินหมินมองดูใบหน้าของหวังหยง แล้วพูดอย่างโหดร้ายว่า "สมควรแล้ว!" "อะไรนะครับ?" หวังหยงมองหลิวซินหมินอย่างเหม่อลอย คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวซินหมินจะพูดคำแบบนี้ออกมา “ผู้อำนวยการหลิว นี่คุณหมายความว่าอย่างไรครับ? ผมหวังหยงไม่มีคุณงามความดีแต่ก็ทำงานหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ผมถูกคนจนนี้ทุบต่อย แต่คุณกลับบอกว่าสมควร?” “หรือไม่สมควรล่ะ! แกลองคิดดูว่าแกทำอะไรลงไป แกได้ตรวจสอบความจริงแล้วหรือยัง? พวกเขาไม่ได้โกรธสุดขีด ลงมือทุบต่อยแก? แกทบทวนถึงสิ่งที่แกทำลงไป!” หลิวซินหมินดุเสียงดัง หวังหยงห
“หวังหยง นี่คือทัศนคติของคุณในการขอขมา? ตามกฏระเบียบของโรงพยาบาล สิ่งที่คุณทำลงไปทั้งหมดในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะถูกไล่ออก หากคำขอโทษของคุณไม่ทำให้คุณชายหลี่พอใจ ถ้าอย่างนั้นคุณก็เตรียมเก็บของแล้วไสหัวไปได้เลย” หลิวซินหมินไม่กล้าปกป้องหวังหยง หากหลี่โม่เข้าใจผิด หลิวซินหมินก็จะถูกเด้งจากตำแหน่งผู้อำนวยการในไม่กี่นาที ในใจหวังหยงตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าหลิวซินหมินถึงกับช่วยหลี่โม่พูดแบบนี้ เมื่อคิดไตร่ตรองถึงตำแหน่งหัวหน้าแผนก นึกถึงค่าคอมมิชชันยา นึกถึงทุกอย่างที่เภสัชยาเต็มใจอุทิศให้ หวังหยงก็ตัดสินใจกัดฟันและก้มหน้าลง “ผมตระหนักถึงความผิดของตัวเองอย่างสุดซึ้ง ผมไม่ควรปกป้องญาติโดยไม่คำนึงถึงครอบครัว ผมหุนหันพลันแล่นและทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ทำให้ภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลของเราเสื่อมเสีย ต่อไปนี้ผมจะชดใช้ให้อย่างแน่นอน ขอให้คุณชายหลี่ยกโทษให้ผมด้วย ให้โอกาสผมได้ปรับปรุงตัวใหม่ด้วยครับ” หลังจากที่หวังหยงพูดจบเขาก็มองไปที่หวังหลิงและในแววตาของเขาก็ปรากฏความวิงวอน หากหวังหลิงยังคงสร้างปัญหาต่อไป หวังหยงย่อมไม่มีผลดีอย่างแน่นอน หวังหลิงรู้สึกกลัวเล็กน้อย สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้อำนวยกา
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา