ท่านไป๋คุกเข่าลง พี่เปียว เลขาใหญ่ที่อยู่ข้างท่านไป๋ รวมไปถึงชูจงเทียนต่างก็ตกใจ นอกจากหลี่โม่เพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือต่างก็พากันตกตะลึง นี่คือท่านไป๋เชียวนะ เขาคือคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นของเมืองฮั่น หรือเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งเมืองฮั่น! คนประเภทนี้ จะคุกเข่าง่ายดายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ “ท่านไป๋ ท่าน ๆ ๆ… คือท่าน เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงได้คุกเข่า ท่านเป็นที่หนึ่งในราชาเมืองฮั่น ท่านจะคุกเข่าได้ยังไง!” ดวงตาของเลขาใหญ่แดงก่ำ นายถูกหยามข้าทาสต้องตาย ท่านไป๋ตอนนี้ถึงกับคุกเข่า นี่มันโดนหยามจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่ว่าจะอย่างไรเลขาใหญ่ก็ต้องหาวิธีกอบกู้หน้าของเจ้านายให้ได้ “ทำไมฉันถึงคุกเข่าไม่ได้ พวกแกก็ต้องคุกเข่ากับฉัน อาเปียวให้คนของแกคุกเข่าต่อหน้าคุณหลี่ซะ!” ท่านไป๋กัดฟันพูด เลขาใหญ่ลังเล และในที่สุดก็คุกเข่าอยู่ข้างหลังท่านไป๋ “รีบคุกเข่าเดี๋ยวนี้ ไม่เห็นรึไงว่าท่านไป๋คุกเข่าแล้ว พวกแกมัวแต่ยืนนิ่งทำไม คุกเข่าต่อหน้าคุณหลี่ซะ แล้วเรียกนายท่าน สองคนมาพยุงฉันคุกเข่าทำความเคารพนายท่านของฉัน” ในใจของพี่เปียวค่อนข้างวุ่นวาย เพราะคนที่คอยหนุนหลังยังต
เลขาใหญ่ของท่านไป๋รู้สึกสับสนไปหมด ในอดีตภาพลักษณ์ของท่านไป๋นั้นดุดันไม่เกรงใจใคร แน่นอนว่าเป็นเจ้าแห่งความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในขณะนี้ เลขาใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่า ตัวเองเห็นท่านไป๋ตัวปลอม “ท่านไป๋ ท่าน… สำรวมหน่อยครับ” เลขาใหญ่กระซิบ “สำรวมบ้าอะไร! ยาวดอกไม้เบ่งบานให้รีบเก็บ อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่ง! การรับพ่อบุญธรรมก็เช่นกัน มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะได้เจอคุณหลี่และมีพ่อบุญธรรมที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่คำนึงถึงอะไรในการรับพ่อบุญธรรม!” ท่านไป๋พูดอย่างไร้ยางอาย หลี่โม่ยิ้มเยาะเย้ย และเตะศีรษะของท่านไป๋ จนท่านไป๋กลิ้งเป็นลูกน้ำเต้า “โอ้! ท่านพ่อท่านเตะได้ดี เมื่อครู่ลูกทำผิดจริง ๆ ต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากท่านพ่อ ท่านช่วยสั่งสอนผมทีครับ” ท่านไป๋ตะโกนพลางกุมศีรษะ ท่านไป๋หัวเราะ “หน้าด้านไม่เบานี่” หลี่โม่พูดอย่างจนปัญญา ต้องเผชิญกับคนหน้าด้านเช่นนี้ ทำได้เพียงส่งเขาไปกลับตัวกลับใจใหม่เท่านั้น ชูจงเทียนตกตะลึงอย่างหนัก ชูจงเทียนถือว่าเป็นคนที่เห็นอะไรมามากแล้ว เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองยังประเมินผู้คนบนโลกนี้ต่ำเกินไป คนที่
ท่านไป๋ถูกจับและคุมตัวไป เขาสาปแช่งหลี่โม่ตลอดทาง เมื่อกี้อินกับการแสดงมากเกินไป ทำให้ท่านไป๋คิดว่าถ้าเขาเรียกหลี่โม่ว่าพ่อ แสดงความภักดีแล้วจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นในช่วงเวลานี้ที่ท่านไป๋ถูกจับกุม สภาพจิตใจของเขาก็ทรุดลงทันที เขาจึงใช้การสาปแช่งหลี่โม่เป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าและความกลัวในใจของเขา ชูจงเทียนเฝ้าดูท่านไป๋ถูกจับกุมไป รู้สึกว่าเขาเข้าใจหลี่โม่เป็นอย่างดี หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และโทรออกไปยังหมายเลขของกู้หยุนหลาน “ที่รัก คนที่อยู่เบื้องหลังถูกจัดการแล้ว ช่วงนี้คงไม่มีใครกล้าไปก่อความวุ่นวายที่โรงงานวัตถุดิบแล้วล่ะ” “ฮะ?” กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็นึกถึงการต่อสู้ที่น่าทึ่งของหลี่โม่ จึงเข้าใจขึ้นมาทันที “คุณ… คุณไม่ถูกทำร้ายใช่ไหม?” กู้หยุนหลานถามอย่างประหม่า “ไม่เป็นไร ก็แค่ไอ้อ้วนคนหนึ่ง แค่จัดการมันอย่างลวก ๆ แล้วก็ส่งมันให้หน่วยสิบสวนไปแล้ว” หลี่โม่พูดอย่างสบาย ๆ“อ๋อ อย่างนั้นก็ดีแล้ว ไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แล้วฉันก็ไม่ต้องไปคอยคุมโรงงานวัตถุดิบแล้วสินะ บ่ายนี้เราไปเยี่ยมซีซีที่โรงพยาบาลกันเถอะ” “ได้สิ ผมก็คิดถึงซีซีแล้วเหมือนกัน ถ้าอย
หวังหลิงตะโกนด้วยความโกรธ ทำให้ทุกคนที่มาเกลี้ยกล่อมตกใจกลัว ผู้คนต่างกลับเข้าห้องผู้ป่วยไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก พอหันกลับมา หวังหลิงคว้าคอเสื้อของซีซี เขย่าซีซีอย่างแรงแล้วตะโกน “แกมันเด็กดื้อที่มีพ่อแม่ให้กำเนิด แต่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน ลูกชายฉันอุตส่าห์ใจดีเล่นกับแก แต่แกกลับกล้าทำร้ายลูกฉัน วันนี้ฉันจะสั่งสอนแก เหิงเหิงมานี่ มาตีเธอให้หนัก ๆ! ” “จำสิ่งที่แม่สอนนะลูก ครอบครัวเราไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ต้องกลัว หากใครทำร้ายลูก ก็ตีให้มันตายไปเลย มีแม่อยู่ ถึงจะเกิดเรื่องแต่บ้านเราก็จัดการได้ อย่าให้ใครมารังแกเด็ดขาด!” ซีซีร้องไห้และดิ้นรน แต่เธอก็ไม่สามารถหลุดจากแรงดึงของหวังหลิงได้ “ปล่อยหนูนะ หนูมีพ่อแม่คอยสั่งสอนนะ เขาต่างหากที่หกล้มเอง แล้วก่อนหน้านั้นเขาก็ต่อยหนูด้วย หนูไม่ได้ทำอะไรเขาเลย คุณเป็นคนไม่ดี พวกคุณเป็นคนไม่ดี” ซีซีร้องไห้ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ช่างน่าสงสารเหลือเกิน “ยัยเด็กขี้โกหก ยังกล้าว่าฉันเป็นคนไม่ดี! แกมันเด็กไม่ได้รับการสั่งสอน วันนี้ฉันจะฉีกปากแก แกจะได้รู้ว่าอะไรคือการสั่งสอน!” หวังหลิงยื่นมือออกมาด้วยความโกรธ หวังจะตบไปที่หน้าซีซี แต่ทันทีที่เธอยกมือข
“พี่ ฉันถูกเจ้ายาจกคนหนึ่งทำร้ายที่โรงพยาบาล ลูกสาวของมันดูเหมือนจะเป็นคนไข้ในแผนกของพวกพี่ พี่รีบมาเลยนะ!” หวังหลิงพูดทั้งน้ำตา “พวกเธออยู่ในพื้นที่ผู้ป่วย? ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หวังหลิงวางโทรศัพท์ แล้วชี้ไปที่หลี่โม่และตะโกนว่า “พี่ชายของฉันกำลังมา แก เจ้ายาจกเตรียมรอคุกเข่าให้ฉันได้เลย! พวกแกทั้งครอบครัวต้องคุกเข่าขอโทษฉัน!” กู้หยุนหลานปลอบซีซี และเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่ามีต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ในตอนนี้ ได้ยินความหยิ่งผยองของหวังหลิง ในใจก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “คุณนี่มันเปลี่ยนผิดเป็นชอบ ลูกชายของคุณต่างหากที่รังแกลูกสาวฉัน คุณไม่ให้ลูกชายของคุณรับผิดก็ไม่เป็นไร แต่คุณรู้ไหมว่าอะไรคือจริยธรรม มโนธรรม สุจริตธรรมและยางอาย” กู้หยุนหลานด่ากลับ ในใจของเธอ ซีซีคือสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าลูกคนไหนก็เป็นดวงใจของแม่ทั้งนั้น หวังหลิงมองไปที่กู้หยุนหลานอย่างดูถูก ถ่มน้ำลายและตะโกนว่า “คนจนที่เข้าเมืองมาทำงานอย่างพวกแก ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องจริยธรรม มโนธรรม สุจริตธรรมและยางอายหรอก พวกแกมันไม่คู่ควร!” “พวกแกทั้งบ้านรีบคุกเข่าขอขม
หวังหยงลูบหลังหวังหลิง ช่วยหวังหลิงระบายอารมณ์ และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “อย่าตื่นตระหนกไปเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน ฉันจะให้พวกเขาขอโทษอย่างสาสม” หวังหลิงพยักหน้าและพาลูกชายของเธอถอยหลังไปสองก้าว หวังหยงพูดด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “พวกคุณยังต้องการให้ซีซีพบแพทย์ที่นี่ต่อไหม? ถ้ายังต้องการรับการรักษาต่อ ครอบครัวของคุณทั้งหมดจะต้องคุกเข่าลงและขอขมาน้องสาวของผม” “สำหรับเรื่องค่าเสียหาย ดูจากสารรูปพวกคุณก็ดูไม่น่าจะเป็นคนมีเงิน ผมจะไม่พูดถึงมันแล้ว แต่พวกคุณสองสามีภรรยาควรแสดงให้เห็นหน่อยไหมว่า พวกคุณยอมเป็นทาสรับใช้ในบ้านน้องสาวของฉันสักสามถึงห้าเดือน" หวังหยงยื่นข้อเสนอที่น่ารังเกียจมากกว่าเดิม ตามอารมณ์ของหวังหลิงแล้ว ถ้ายอมไปเป็นทาสรับใช้ในบ้านเธอสักสามเดือนก็คาดว่าจะเกิดอาการโรคประสาทแล้ว “สมองคุณคงมีปัญหาใช่ไหม ก่อนพูดจาช่วยใช้สมองคิดหน่อยไม่ได้หรือไง?” หลี่โม่ตอบกลับด้วยใบหน้าเย็นชา “ให้ตาย! นี่คุณยังกล้ายอกย้อนผม! ผมว่าคุณคงไม่อยากให้ลูกสาวรับการรักษาแล้ว เพียงแค่ผมพูดออกไปประโยคเดียว ผมรับประกันเลยว่าไม่มีโรงพยาบาลไหน หรือแพทย์ที่ไหนในเมืองฮั่นที่จะรักษาลูกสาวของคุณ ลูกสาวข
"คนยากจนอย่างแก จะไปเรียกคนแบบไหนมาได้ ประเภทที่คนยากจนรู้จักได้คงจะเป็นคนยากไร้ไม่ก็คนไร้ประโยชน์ แกเรียกมาเลย ฉันจะคอยดูซิว่า แกจะเรียกคนโง่เง่าเต่าตุ่นแบบไหนมากัน" คำพูดของหวังหยงเต็มไปด้วยการดูถูกหลี่โม่ ตามสามัญสำนึกแล้ว คนยาจกไม่มีวันรู้จักกับคนที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน “ฮัลโหล ผู้อำนวยการหลิวซินหมินใช่ไหมครับ? ผมหลี่โม่” หลี่โม่ตอบกลับอย่างเฉยชา “นายน้อย สวัสดีครับ ผมหลิวซินหมิน คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ? ถ้าหากว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการรักษา คุณไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผู้เชี่ยวชาญได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และได้กำหนดแผนการวินิจฉัยและการรักษาแล้วครับ” หลิวซินหมินโค้งตัวและกล่าวด้วยความเคารพอย่างมาก หลิวหมินซินนั้นรู้ดีอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนในเรื่องตัวตนและเบื้องหลังของหลี่โม่ นั่นคือนักลงทุนที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเชียวนะ ว่าตามความอาวุโส เขาเป็นระดับปู่เลยแหละ! “หัวหน้าแผนกหวังกับผมมีเรื่องกันนิดหน่อย คุณแวะมาดูหน่อยสิ เราอยู่ตรงประตูห้องพักผู้ป่วยของซีซี” หลี่โม่เลิกคิ้วและเหลือบมองหวังหยงที่อยู่ตรงข้ามและกำลังเผชิญกับเลือดกำเดาไหล “หวังหยงเจ้านั่น! นายน้อยรอสักครู่ครับ ผมจะไ
หวังหยงเหล่มองหลี่โม่ เมื่อเห็นท่าทีที่สงบของหลี่โม่ ก็ทำให้ในใจของหวังหยงกระตุก เป็นไปได้ไหมว่าผู้อำนวยการหลิวถูกคนยาจกนี่เรียกมา? หวังหลิงที่ยืนอยู่ข้างหวังหยงก็พูดเสียงเบา ๆ ว่า “พี่คะ มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน” “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ คอยดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หวังหยงหันกลับแล้วเดินไปหาหลิวซินหมิน พูดด้วยใบหน้าที่ร้องไห้คร่ำครวญว่า "ผู้อำนวยการหลิวมาทันเวลาพอดีเลยครับคุณมองดูหน้าผมซิครับ ผมถูกอันธพาลนี่ต่อย คุณต้องขอความเป็นธรรมให้ผมด้วยนะครับ" หลิวซินหมินมองดูใบหน้าของหวังหยง แล้วพูดอย่างโหดร้ายว่า "สมควรแล้ว!" "อะไรนะครับ?" หวังหยงมองหลิวซินหมินอย่างเหม่อลอย คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวซินหมินจะพูดคำแบบนี้ออกมา “ผู้อำนวยการหลิว นี่คุณหมายความว่าอย่างไรครับ? ผมหวังหยงไม่มีคุณงามความดีแต่ก็ทำงานหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ผมถูกคนจนนี้ทุบต่อย แต่คุณกลับบอกว่าสมควร?” “หรือไม่สมควรล่ะ! แกลองคิดดูว่าแกทำอะไรลงไป แกได้ตรวจสอบความจริงแล้วหรือยัง? พวกเขาไม่ได้โกรธสุดขีด ลงมือทุบต่อยแก? แกทบทวนถึงสิ่งที่แกทำลงไป!” หลิวซินหมินดุเสียงดัง หวังหยงห