ชายร่างกำยำแปดคนที่อยู่ข้างหลังพี่เปียวยืนขึ้นพร้อมกัน พวกเขาเป็นยอดฝีมือทั้งแปดคนภายใต้สังกัดของพี่เปียว และพวกเขายังมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้บรรดาลูกน้องของพี่เปียวอีกด้วย “ย้า!” ทั้งแปดคนยืนอยู่ตรงหน้าหลี่โม่ เมื่อเบ่งแขนสองข้าง กล้ามเนื้อของพวกเขาก็ปูดออกมา เสื้อผ้าตึงเปรี๊ยะ ในที่สุดกระดุมเสื้อผ้าก็หลุดออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง “ยอดขุนพลทั้งแปดขอคำแนะนำด้วย!” “นอกจากกล้ามเนื้อเยอะหน่อยแล้ว มีอะไรดี แกคิดว่าคนโง่ที่มีกล้ามเนื้อทั้งแปดคนนี้ จะจัดการฉันได้เหรอ? ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ” หลี่โม่ดูถูกยอดขุนพลทั้งแปดอย่างมาก และเมื่อเห็นการแสดงออกที่ดูถูกเหยียดหยามของหลี่โม่ ยอดขุนพลทั้งแปดก็โกรธอย่างมาก “รนหาที่ตาย! แล้วแกจะต้องเสียใจ!” ยอดขุนพลทั้งแปดกระจายตัว ล้อมรอบหลี่โม่ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง และโจมตีหลี่โม่ในเวลาเดียวกัน พี่เปียวหยิบซิการ์ออกมาแล้วจุดไฟอีกครั้ง ดูการต่อสู้ของยอดขุนพลทั้งแปดและหลี่โม่ราวกับดูละคร ในสายตาของพี่เปียว รอบนี้ชนะอย่างแน่นอน แปดต่อหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่ายอดขุนพลทั้งแปดล้วนเป็นนักสู้ระดับปรมาจารย์ การต่อสู้ครั้งนี้ต้องไ
“ใครกล้าให้คุณหลี่คุกเข่าลง?” เสียงตะโกนของชูจงเทียนดังเข้ามา พวกอันธพาลที่อยู่ตรงหน้าประตูได้ก้าวถอยหลัง และหลีกทางให้ ชูจงเทียนเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลูกน้องของเขา และมองไปที่หลี่โม่ทันที เมื่อเขาเห็นว่าร่างกายของหลี่โม่ไม่มีบาดแผล เขาจึงโล่งใจ พี่เปียวใจสั่นชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ ชูจงเทียนจะมากะทันหันแบบนี้ พี่เปียวที่มีคนหนุนหลังไม่เกรงกลัวชูจงเทียนแต่อย่างใด แต่ชูจงเทียนก็เป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงเช่นกัน ถ้าเขาต่อสู้กับคนของชูจงเทียนในเวลานี้ คงลงเอยด้วยการแพ้ทั้งสองฝ่าย เมื่อถึงเวลานั้น พี่เปียวก็จะสูญเสียผลประโยชน์ และเขาอาจจะหลุดพ้นจากการมีผู้หนุนหลัง หรืออาจถูกฆ่าปิดปาก ข้อดีและข้อเสียได้ปรากฏขึ้นในความคิดของพี่เปียว ทันใดนั้นพี่เปียวก็มีหนทางในการตัดสินใจ และเขาตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งให้ได้มากที่สุด “อ้าว ผมก็นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้คุณเทียนมานี่เอง ดูเหมือนว่าคุณเทียนจะคุ้นเคยกับคุณหลี่เป็นอย่างดีนะ” พี่เปียวพูดด้วยรอยยิ้ม ชูจงเทียนไม่สนใจพี่เปียวแม้แต่น้อย แต่กลับเดินไปหาหลี่โม่ แล้วโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “คุณหลี่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครั
“อยู่เฉย ๆ นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเจ้านาย ใครกล้ายกมือขึ้นแม้แต่เล็กน้อย ฉันจะตัดมือคนคนนั้น ใครกล้ายกเท้าขึ้น ฉันจะตัดเท้าคนคนนั้น และใครกล้าก้าวไปข้างหน้า ฉันจะเอาชีวิตคนคนนั้น! ” ลูกน้องของชูจงเทียนเองก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง แล้วรีบพุ่งเข้ามา พร้อมกับถือดาบซามูไรชี้ไปทางลูกน้องของพี่เปียว “ไม่ได้ยินที่คุณเทียนพูดหรือไง อย่าขยับ ถ้าใครขยับจะฆ่าคนนั้น!” “พี่ใหญ่ตัดสินปัญหากัน ลูกน้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์ก็พอ อย่าได้ทำผิดกฎ” ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของชูจงเทียน ลูกน้องของพี่เปียวรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปช่วยพี่เปียวอย่างหุนหันพลันแล่น หลี่โม่พุ่งไปอยู่ตรงหน้าของพี่เปียว พี่เปียวดูเคร่งขรึม ยกที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลที่ทั้งหนาและหนักบนโต๊ะเป็นอาวุธ จากนั้นทุบไปที่หน้าผากของหลี่โม่ หลี่โม่เบี่ยงตัวเล็กน้อย จับแขนขวาของพี่เปียวด้วยมือทั้งสองข้างและออกแรง มีเสียงหักของกระดูกดังขึ้น พี่เปียวร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย! เจ็บ ๆ ! แขนฉัน!” เมื่อเห็นแขนที่งอผิดรูป น้ำตาขอพี่เปียวก็ไหลออกมา เจ็บจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว หลี่โม่ยังไม่วางมือ จากนั้นเขาก็จับแขนอีกข้างของพี
ชูจงเทียนมองไปที่หลี่โม่อย่างเคารพ รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่หลี่โม่เป็นนายน้อยของแดนมังกร เวลานี้ดูดุดันอย่างไร้ที่เปรียบ หลี่โม่ยื่นนิ้วชี้ไปที่พี่เปียว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังชูจงเทียนวิ่งมาทันที ค้นโทรศัพท์มือถือของพี่เปียว และถามว่าจะโทรหาเบอร์ไหนในสมุดรายชื่อของเขา “โทรหาคนแรกในรายชื่อ” พี่เปียวพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง หลังจากที่นักเลงกดโทรออก เขาก็วางโทรศัพท์ไว้ที่หูของพี่เปียว หลังจากที่พี่เปียวพูดกับอีกฝ่ายได้สองสามคำ สีหน้าของเขาก็ดูเหมือนว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เพิ่งมีความสุขได้เพียงชั่วครู่ ก็กระเทือนถึงบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนหน้าบิดเบี้ยว “โอ๊ย เจ็บจริง ๆ เลย พวกแกรอก่อนเถอะ ผู้หนุนหลังของฉันกำลังมา แล้วพวกแกจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็น ‘ผู้กุมชะตาของเมืองฮั่น’” ชูจงเทียนดึงเก้าอี้มาวางไว้ข้างหลังหลี่โม่ หลังจากที่หลี่โม่นั่งลง ชูจงเทียนก็หยิบกล่องซิการ์สีทองออกมา หยิบซิการ์ออกมาแล้ววางไว้ระหว่างสองนิ้วของหลี่โม่ ชู่! ไม้ขีดไม้ซีดาร์แท่งหนึ่งถูกจุดขึ้น และกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของต้นซีดาร์ก็โชยขึ้นมา ซิการ์ถูกจุดด้วยไม้ขีดไฟ หลังจากที่หลี่โม่สูบมัน ก็เผยรอยยิ้มออ
บนพื้นที่เมืองฮั่นที่กว้างขวางนี้ ท่านไป๋ถือได้ว่าเป็นราชาของเมือง ตราบใดที่เป็นคนทำมาหากินในเมืองฮั่นนี้ ก็ต้องก้มหัวทำความเคารพเมื่อเจอท่านไป๋ แต่ที่หลี่โม่ทำแบบนี้ ถ้าหลี่โม่ไม่โง่จริง ก็คือหลี่โม่ต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งพอสมควร “น่าสนใจ แกรู้ไหมว่า คนล่าสุดที่ไม่เคารพฉัน จุดจบของมันเป็นอย่างไร” ท่านไป๋ถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง หลี่โม่ยกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่อยากรู้ แต่ที่ฉันรู้คือชะตากรรมของแก” “ฮ่าฮ่าฮ่า น่าขำเสียจริง ในเมืองฮั่นนี้ไม่มีใครแตะต้องตัวฉันได้ เพราะฉันคือ ‘ผู้กุมชะตาของเมืองฮั่น’! ตอนนี้แกทำให้ฉันโมโห ฉันจะทำให้แกรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าบทลงโทษจากสวรรค์!” ท่านไป๋ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ ซึ่งไม่มีใครกล้าขัดขืนเขามานานแล้วหลายปี! สิ่งที่หลี่โม่ทำในวันนี้ ทำให้ท่านไป๋รู้สึกว่าอำนาจของเขาถูกท้าทาย และหลี่โม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต “มีคำหนึ่งที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า คนที่ควรรู้ว่าอะไรเรียกว่าบทลงโทษจากสวรรค์ คือแก” หลี่โม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา จากนั้นกดโทรหาหมายเลขหนึ่ง ท่านไป๋ส่ายหัว “โทรเรียกคนตอนน
ท่านไป๋คุกเข่าลง พี่เปียว เลขาใหญ่ที่อยู่ข้างท่านไป๋ รวมไปถึงชูจงเทียนต่างก็ตกใจ นอกจากหลี่โม่เพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือต่างก็พากันตกตะลึง นี่คือท่านไป๋เชียวนะ เขาคือคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นของเมืองฮั่น หรือเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งเมืองฮั่น! คนประเภทนี้ จะคุกเข่าง่ายดายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ “ท่านไป๋ ท่าน ๆ ๆ… คือท่าน เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงได้คุกเข่า ท่านเป็นที่หนึ่งในราชาเมืองฮั่น ท่านจะคุกเข่าได้ยังไง!” ดวงตาของเลขาใหญ่แดงก่ำ นายถูกหยามข้าทาสต้องตาย ท่านไป๋ตอนนี้ถึงกับคุกเข่า นี่มันโดนหยามจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่ว่าจะอย่างไรเลขาใหญ่ก็ต้องหาวิธีกอบกู้หน้าของเจ้านายให้ได้ “ทำไมฉันถึงคุกเข่าไม่ได้ พวกแกก็ต้องคุกเข่ากับฉัน อาเปียวให้คนของแกคุกเข่าต่อหน้าคุณหลี่ซะ!” ท่านไป๋กัดฟันพูด เลขาใหญ่ลังเล และในที่สุดก็คุกเข่าอยู่ข้างหลังท่านไป๋ “รีบคุกเข่าเดี๋ยวนี้ ไม่เห็นรึไงว่าท่านไป๋คุกเข่าแล้ว พวกแกมัวแต่ยืนนิ่งทำไม คุกเข่าต่อหน้าคุณหลี่ซะ แล้วเรียกนายท่าน สองคนมาพยุงฉันคุกเข่าทำความเคารพนายท่านของฉัน” ในใจของพี่เปียวค่อนข้างวุ่นวาย เพราะคนที่คอยหนุนหลังยังต
เลขาใหญ่ของท่านไป๋รู้สึกสับสนไปหมด ในอดีตภาพลักษณ์ของท่านไป๋นั้นดุดันไม่เกรงใจใคร แน่นอนว่าเป็นเจ้าแห่งความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในขณะนี้ เลขาใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่า ตัวเองเห็นท่านไป๋ตัวปลอม “ท่านไป๋ ท่าน… สำรวมหน่อยครับ” เลขาใหญ่กระซิบ “สำรวมบ้าอะไร! ยาวดอกไม้เบ่งบานให้รีบเก็บ อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่ง! การรับพ่อบุญธรรมก็เช่นกัน มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะได้เจอคุณหลี่และมีพ่อบุญธรรมที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่คำนึงถึงอะไรในการรับพ่อบุญธรรม!” ท่านไป๋พูดอย่างไร้ยางอาย หลี่โม่ยิ้มเยาะเย้ย และเตะศีรษะของท่านไป๋ จนท่านไป๋กลิ้งเป็นลูกน้ำเต้า “โอ้! ท่านพ่อท่านเตะได้ดี เมื่อครู่ลูกทำผิดจริง ๆ ต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากท่านพ่อ ท่านช่วยสั่งสอนผมทีครับ” ท่านไป๋ตะโกนพลางกุมศีรษะ ท่านไป๋หัวเราะ “หน้าด้านไม่เบานี่” หลี่โม่พูดอย่างจนปัญญา ต้องเผชิญกับคนหน้าด้านเช่นนี้ ทำได้เพียงส่งเขาไปกลับตัวกลับใจใหม่เท่านั้น ชูจงเทียนตกตะลึงอย่างหนัก ชูจงเทียนถือว่าเป็นคนที่เห็นอะไรมามากแล้ว เมื่อเห็นสภาพของท่านไป๋ในตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองยังประเมินผู้คนบนโลกนี้ต่ำเกินไป คนที่
ท่านไป๋ถูกจับและคุมตัวไป เขาสาปแช่งหลี่โม่ตลอดทาง เมื่อกี้อินกับการแสดงมากเกินไป ทำให้ท่านไป๋คิดว่าถ้าเขาเรียกหลี่โม่ว่าพ่อ แสดงความภักดีแล้วจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นในช่วงเวลานี้ที่ท่านไป๋ถูกจับกุม สภาพจิตใจของเขาก็ทรุดลงทันที เขาจึงใช้การสาปแช่งหลี่โม่เป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าและความกลัวในใจของเขา ชูจงเทียนเฝ้าดูท่านไป๋ถูกจับกุมไป รู้สึกว่าเขาเข้าใจหลี่โม่เป็นอย่างดี หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และโทรออกไปยังหมายเลขของกู้หยุนหลาน “ที่รัก คนที่อยู่เบื้องหลังถูกจัดการแล้ว ช่วงนี้คงไม่มีใครกล้าไปก่อความวุ่นวายที่โรงงานวัตถุดิบแล้วล่ะ” “ฮะ?” กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็นึกถึงการต่อสู้ที่น่าทึ่งของหลี่โม่ จึงเข้าใจขึ้นมาทันที “คุณ… คุณไม่ถูกทำร้ายใช่ไหม?” กู้หยุนหลานถามอย่างประหม่า “ไม่เป็นไร ก็แค่ไอ้อ้วนคนหนึ่ง แค่จัดการมันอย่างลวก ๆ แล้วก็ส่งมันให้หน่วยสิบสวนไปแล้ว” หลี่โม่พูดอย่างสบาย ๆ“อ๋อ อย่างนั้นก็ดีแล้ว ไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แล้วฉันก็ไม่ต้องไปคอยคุมโรงงานวัตถุดิบแล้วสินะ บ่ายนี้เราไปเยี่ยมซีซีที่โรงพยาบาลกันเถอะ” “ได้สิ ผมก็คิดถึงซีซีแล้วเหมือนกัน ถ้าอย
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา