“คำหยาบคายที่พวกแกเพิ่งพล่ามออกมา ขอโทษซะ” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา อันธพาลหลายคนที่ยืนอยู่รอบนอกมองไปยังหลี่โม่ จากนั้นต่างก็หัวเราะขึ้นมา “ขอโทษ? ขอโทษบ้านแม่แกสิ! แกเป็นคนขี้แพ้จากไหนกัน ให้พวกเราขอโทษ แกรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร!” “คนที่กล้าให้พวกเราพูดขอโทษนั้นยังไม่มาเกิดเลย แต่คนขี้แพ้อย่างแกนี่โผล่มาจากไหนกัน” “จะพูดไร้สาระกับมันไปทำไม อัดมันก่อนค่อยแล้วคุยดีกว่า!” ชายหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่รอบนอกก็ระเบิดอารมณ์รุนแรง พูดยังไม่ทันจบก็กำหมัดขึ้นแล้ว และพุ่งเข้าไปต่อยหลี่โม่ “รนหาที่ตาย!” หลี่โม่ก็ไม่ออมมือเช่นกัน เนื่องจากชายหนุ่มพวกนี้เอากู้หยุนหลานมาพูดเล่น ถ้าอย่างนั้นหลี่โม่ก็จะทำให้พวกเขาชดใช้อย่างเจ็บปวดและสาสม ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ! เสียงต่อยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมัดของหลี่โม่เร็วราวกับสายฟ้า กระทบเข้ากับแขนของชายหนุ่มหลายคน กร๊อบ! แกร๊บ! เสียงกระดูกหักดังขึ้น และพวกเขาทุกคนต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย แขนฉันหักแล้ว!” “มือของฉันก็หัก ไอ้นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!” “ลูกพี่ครับ มีคนมาป่วนที่นี่!” เมื่อชายหนุ่มหลายคนรู้ว่าหลี่โม่เก่งกาจมาก ต
“ถุย!” พี่พีลี่ถุยน้ำลาย และมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูถูก เขาโบกมือและตะโกนว่า “ทุกคนเข้าไปรุมซะ จับมันอัดให้ตาย! ถ้ามันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง!” ลูกน้องทุกคนต่างหยิบไม้เบสบอลที่พวกเขาเอาติดมาด้วยออกมาทันที แล้วรีบวิ่งพุ่งเข้าไปหาหลี่โม่พร้อมกัน จากบทเรียนที่ได้รับก่อนหน้านี้ที่โดนหักแขน จึงทำให้คนพวกนี้ระมัดระวังตัวมากขึ้น “ล้มลงไปซะ!” ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง และยกไม้เบสบอลขึ้นตรงเข้าไปทุบหัวของหลี่โม่ มุมปากของหลี่โม่ยกยิ้มขึ้น จากนั้นมือขวาของเขายื่นออกราวกับสายฟ้า และคว้าข้อมือของลูกน้องคนนั้นบิดอย่างแรงจนข้อมือของฝ่ายตรงข้ามหัก “โอ๊ย!” ลูกน้องคนนั้นร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด และเจ็บจนล้มลงกับพื้น “ให้ตาย! ไอ้เด็กนี่ข้างมีฝีมือ เข้าไปล้อมเขาไว้ทั้งซ้ายขวา แล้วอัดมันอย่าได้ปรานี!” พี่พีลี่ตะโกนสั่งเสียงดัง ลูกน้องพี่พีลี่หลายคนถือว่าต่างก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าหลี่โม่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม จากนั้นทุกคนก็ต่างเข้าไปรุมล้อมทันที ตอนนี้หลี่โม่เป็นเหมือนเสือเข้าไปในฝูงแกะ แทนที่จะถอยหนีตอนโดนรุมล้อม แต่เขากลับพุ่งเข้าไปในฝูง และรีบพุ่งตรงไปยังที่ที่
คนที่ยืนข้างนอกยังวิ่งหนีได้ ถ้าเดินเข้าไปหมอบลงจริง ๆ คุณก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความเมตตาของเขาน่ะสิ “พวกแกจะทรยศหรือไง! รีบเดินมานี่แล้วคุกเข่าลง ถ้าใครกล้าวิ่งหนีล่ะก็ ฉันจะพาพี่ใหญ่คนนี้ไล่ฆ่าพวกแกถึงบ้าน!” ถ้าตายคนเดียวงั้นก็ตายหมู่ดีกว่า ถือว่าพี่พีลี่เป็นคนมีความคิด ในฐานะที่ตัวเองเป็นลูกพี่นั้น หลี่โม่จะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน ดังนั้นแม้ว่าจะต้องคุกเข่าหมอบลงก็ต้องพาลูกน้องทั้งหมดคุกเข่าหมอบลงด้วยกัน อันธพาลพวกนี้ตัวทรุดลงไปหมดแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าลูกพี่ตัวเองจะทรยศเพื่อนร่วมทีม มันเหมือนกับว่าเขาอยากให้ทุกคนตายด้วยกัน “เร็วเข้า ถ้ายังไม่มาอีกล่ะ พวกแกได้หมอบไปตลอดชีวิตแน่!” พี่พีลี่เร่งเร้า พวกเขาต่างโยนไม้เบสบอลในมืออย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินไปหาหลี่โม่ จากนั้นเอามือไว้หลังศีรษะและหมอบลง พี่พีลี่ยิ้มอย่างประจบสอพลอ “พี่ใหญ่ ดูสิลูกน้องของผมอยู่ตรงนี้กันหมดแล้ว พวกคนที่บาดเจ็บคงจะหมอบลงไม่ได้ พี่ปล่อยให้พวกเขานอนลงและฟังคำแนะนำของพี่เถอะครับ” “แกก็หมอบลงด้วย” หลี่โม่ตอบกลับอย่างเยาะเย้ย “ครับ ๆ” พี่พีลี่หมอบลงอย่างรวดเร็ว กุมศีรษะด้วยมือสองข้าง แล้วเงยหน้ามองไปยังหลี
ทางฝั่งนี้ กู้หยุนหลานรีบไปที่โรงงานวัตถุดิบอย่างกระวนกระวาย กู้เผิงเฟยพร้อมกับผู้อำนวยการโรงงานต้อนรับกู้หยุนหลานเข้าไปในห้องประชุม ผู้จัดการและพนักงานตั้งแต่ตำแหน่งใหญ่และเล็กของโรงงานต่างกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม พวกเขาต่างทำอะไรไม่ถูกกับยานพาหนะขนส่งที่ถูกขวางได้ เมื่อเห็นกู้หยุนหลานเข้ามา ทุกคนก็ยืนขึ้น “ผู้อำนวยการกู้มาแล้ว” “สวัสดีครับ ผู้อำนวยการกู้” "ผู้อำนวยการกู้มาถึงแล้วคงมีทางออกแน่นอน" ทันใดนั้นผู้จัดการและพนักงานตั้งแต่ตำแหน่งใหญ่และเล็กต่างตั้งความหวังไว้ที่กู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานนั่งบนที่นั่งหลักด้วยท่าทางเคร่งขรึมและถามว่า "สถานการณ์หลักตอนนี้เป็นอย่างไร? พวกคุณได้พยายามทำอะไรกันแล้วบ้าง" กู้เผิงเฟยยิ้มขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก “สถานการณ์ก็คือรถถูกอันธพาลพวกนั้นขวางทางไว้ และเราติดต่อไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า” “สำนักงานโรงงานของเราได้ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกล่าวว่าเป็นข้อพิพาททางแพ่ง ให้เราเจรจากับอีกฝ่ายเพื่อแก้ไข” “แผนกรักษาความปลอดภัยไปเจรจากับอีกฝ่ายแล้ว แต่คนของเรายังไม่ได้พูดอะไรสักคำก็ถูกอีกฝ่ายทุบต
“ทำไมไม่ต้องแล้วล่ะ? ตอนนี้เป็นเวลาที่งานการผลิตหนักที่สุด จะเกิดปัญหาแม้แต่นิดเดียวไม่ได้ ฉันต้องไปเจรจากับพวกเขาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้” กู้หยุนหลานตอบกลับอย่างหนักแน่น “ผมหมายถึงว่า ผมได้เจรจากับพวกเขาแล้ว พวกเขาได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาจากส่วนลึกของวิญญาณแล้ว และจำเป็นต้องเปลี่ยนความผิดพลาดครั้งก่อน” กู้หยุนหลาน กู้เผิงเฟย และผู้จัดการต่างตาโตจ้องมองที่หลี่โม่ราวกับว่าได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ “ทุกวันนี้ การพูดเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์เลย คุณรู้ไหมว่า คนพวกนั้นโหดร้ายมากแค่ไหน? ผมกับรปภ.สิบกว่าคนที่ไปเจรจาต่างก็ถูกทุบตีจนขวัญหนีดีฝ่อ” ผู้จัดการฝ่ายแผนกรักษาความปลอดภัยตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “ชายหนุ่มพวกนั้นไม่ใช่พวกอันธพาลธรรมดา ล้วนเป็นอันธพาลใหญ่ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ลงมือโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ลูกพี่ใหญ่ของพวกเขาคือพี่เปียวที่มีชื่อเสียง คุณยังไปเจรจากับพวกเขา ผมเกรงว่าแค่คุจะโดนไล่ตีออกมา” “เมื่อครู่นี้ผมเพิ่งติดต่อพวกมีอำนาจไปตี่งหลายคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เลย คุณเป็นแค่แมงดาเกาะผู้หญิงกินวัน ๆ อยู่แต่บ้าน แต่กลับมีความสามารถในการจั
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ให้โอกาสเราปรับปรุงตัวครับ พวกเราจะทำงานหนักแน่นอน และจะแก้ไขความผิดพลาดในอดีตของเราอย่างแน่นอน ขอบคุณพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ครับ” พี่พีลี่กล่าวขอบคุณเสร็จสรรพ แล้วพาลูกน้องที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปทำงานที่โกดัง ส่วนลูกน้องที่บาดเจ็บนั้น พี่พีลี่ควักเงินตัวเองจ่ายให้คนพาพวกเขาไปโรงพยาบาล เมื่อมองไปยังพี่พีลี่ที่กำลังปรับปรุงตัวอย่างแข็งขัน กู้เผิงเฟยและคนอื่น ๆ ต่างก็ยุ่งเหยิงไปหมด ภาพตรงหน้านี้เกินขีดจำกัดการจินตนาการของทุกคนโดยสิ้นเชิง “สุดยอด สุดยอดเกินไปแล้ว นี่มันอะไรกัน เมื่อครู่นี้ที่ผมพูดจาไม่สภาพ หวังว่าหลี่โม่จะยอมยกโทษให้ผมได้” ผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัยขออภัยอย่างสุดซึ้ง เมื่อเห็นสถานการณ์ที่น่าเวทนาของพี่พีลี่ หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็รู้สึกเสียใจกับการเยาะเย้ยหลี่โม่เมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นว่าเรื่องได้รับการจัดการแล้วในตอนนี้ เขาก็ออกมาขอโทษเป็นคนแรกทันที ส่วนผู้จัดการคนอื่น ๆ ที่เคยโกรธหลี่โม่ต่างก็ขอโทษหลี่โม่ด้วย “พี่หลี่ ผมปากไม่ดีเอง ที่พูดไปเมื่อกี้นี้ไม่ได้ใช้สมองคิด ดังนั้นพี่หลี่ได้โปรดปรานี” “ผมก็ปากไม่ดีเหมือนกัน คำพูดที่สงสัยพี่ห
หลังจากพูดคุยพี่เปียวพูดจบก็จ้องไปที่กู้เจี้ยนกั๋วและลูกชายแวบหนึ่ง จากนั้นใช้มือขวาตบบนโต๊ะ “ลูกน้องของผมต่างบอกว่า พวกเขาต่างโดนคนคนนึงอัดจนบาดเจ็บสาหัส ยอดฝีมือคนเดียวแต่สามารถล้มคนหลายสิบคนในรวดเดียวได้ พวกคุณก็ลองคิดดูเองว่าประสิทธิภาพการต่อสู้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน” “และผมก็ตรวจสอบแล้วด้วยว่าผู้ชายคนนั้นไม่เพียงแต่มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่เบื้องหลังเขาก็ไม่ธรรมดา ช่วยพวกคุณจัดการเรื่องนี้ ผมไม่เพียงแต่สูญเสียลูกน้องเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายคนขุ่นเคืองด้วย” กู้เจี้ยนกั๋วและกู้ซิ่งเหว่ยชำเลืองมองกันและกัน ต่างคิดไม่ออกว่าคนที่พี่เปียวพูดถึงนั้นเป็นใครไปได้ “เราไม่รู้จริง ๆ ว่ามีคนยอดฝีมืออยู่ที่นั่น ยอดฝีมือที่คุณพูดถึงคือใคร?” กู้ซิ่งเหว่ยถามกลับ “คนคนนั้นก็คือคุณชายหลี่ พวกคุณไม่รู้จักเหรอ?” พี่เปียวขมวดคิ้วและพูดตอบ “คุณชายหลี่? อย่าบอกนะว่าเป็นหลี่โม่? นั่นคือคนไร้ประโยชน์นี่ พี่เปียวคุณเล่นตลกอะไรอยู่?” กู้ซิ่งเหว่ยเคาะโต๊ะและตะโกนต่อว่า กู้เจี้ยนกั๋วคว้าซิ่งเหว่ยไว้ แล้วจ้องไปยังพี่เปียวที่อยู่ตรงข้ามและพูดว่า "ดังนั้นคุณเลยกลัวแล้ว? ไม่กล้าที่จะโจมตีพวกเขาอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่โม่เตรียมอาหารเช้าเสร็จและจัดเรียงวางไว้บนโต๊ะอาหาร หวังฟางนั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก และใช้สายตาไม่พอใจมองไปยังหลี่โม่ “คนไร้ประโยชน์แบบแกไม่มีความเป็นผู้ชายหลงเหลืออยู่เลย ผู้ชายบ้านคนอื่นออกไปทำงานหนักนอกบ้านและผู้หญิงทำงานบ้านอยู่ที่บ้าน แล้วแกล่ะ? ให้หยุนหลานออกไปทำงานหนักนอกบ้าน แกทำงานบ้านอยู่ที่บ้าน แกมีความรู้สึกละอายใจสักนิดไหม?” หลี่โม่ก้มหน้าลงไม่พูดอะไร จากนั้นหันกลับเข้าไปในห้องครัวอย่างเงียบ ๆ กู้หยุนหลานที่เก็บของเสร็จแล้วเดินออกจากห้องครัว จากนั้นเหลือบมองแผ่นหลังของโม่ และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “แม่คะ หยุดว่าเขาเถอะค่ะ” “ไม่ว่ามันแล้วให้ว่าใคร แค่มองดูท่าทางคนต่ำต้อยของมันก็ทำให้ฉันโมโหแล้ว ฉันไม่เคยเจอผู้ชายไร้ประโยชน์แบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หนำซ้ำยังปล่อยให้คนไร้ประโยชน์แบบนี้มาเป็นลูกเขยของฉันอีก นี่มันช่างเป็นความอัปยศในชีวิตของฉันจริง ๆ เลย!" “หยุนหลาน แกยังทนใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกเหรอ? แกหยุดแสแสร้งได้แล้ว แม่รู้ว่าในใจแกก็ทุกข์ เจ็บแต่จบดีกว่าเจ็บเรื่อย ๆ ตัดขาดกับมันเถอะ ยังไงก็ตามซีซียังเด็กและคงไม่..." ไม่รอให