อยากทำอะไรก็ทำได้ตามสบายเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าสามารถเลือกตำแหน่งในเจียงซานกรุ๊ปได้ตามใจชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งประธานและหัวหน้างานของเจียงซานกรุ๊ป แม้ว่าจะเป็นผู้จัดการแผนกก็สามารถมองคนอื่นได้อย่างเหยียดหยาม! ไป่จื่อห่าวและฮั๋วเจี้ยนเฟิงต่างตกตะลึง ในตอนนี้ทั้งคู่มีคำถามขึ้นในใจว่า หลี่โม่เป็นใครกันแน่? หวังฟางตัวแข็งทื่อ สถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไปเร็วมากจนสมองของหวังฟางไมาสามารถเข้าใจได้ “ท่านประธานเจียงคะ นี่คุณจริงจังใช่ไหมคะ?” กู้หยุนหลานถามอย่างอ่อนน้อม ตำแหน่งระดับสูงในเจียงซานกรุ๊ป หากว่าหลี่โม่สามารถนั่งในตำแหน่งแบบนี้ได้ นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างความประทับใจให้ทุกคนในตระกูลกู้แล้ว “จริงจังแน่นอนครับ ผมแค่กังวลว่า คุณชายหลี่จะไม่พอใจเจียงซานกรุ๊ปของเรา ถ้าหากว่าคุณชายหลี่ยินยอม เจียงซานกรุ๊ปของเราจะให้บริการอย่างดีที่สุด” เจียงเฉิงกล่าวด้วยความเคารพ “มีสิทธิ์อะไร ทำไมหลี่โม่ถึงมีสิทธิ์ทำแบบนี้ได้!” หวังฟางถามอย่างจริงจัง สถานการณ์แบบนี้มันเกินจินตนาการของหวังฟางอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกว่าจะตบหน้าหลี่โม่ แต่ตอนนี้หวังฟางรู้สึกเจ็บแสบร้อนบนใบหน้า ไม่เพียงแต่
ด้วยการข่มขู่จากเจียงเฉิงเมื่อครู่นี้ ไป่จื่อห่าวไม่สามารถแม้แต่จะคิดลาออกได้ ถ้าหากว่าเขาลาออก เขาก็จะกลายเป็นคนตกงานอย่างสมบูรณ์ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกขอโทษต่อไป่จื่อห่าว และพูดขึ้นมาในความเงียบว่า “เพื่อนรัก อดทนไปก่อน รอให้ฉันกำจัดหลี่โม่ก่อน แล้วนายจะกลับมายืนขึ้นได้อีกแน่นอน” “นายต้องรีบจัดการให้เสร็จนะ ฉันไม่อยากเป็นคนเฝ้าประตูนานเกินไป” น้ำเสียงของไป่จื่อห่าวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และทางฮั๋วเจี้ยนเฟิงเขาก็เป็นคนที่ไม่สามารถยั่วยุได้ ทำได้เพียงหวังว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะกำจัดหลี่โม่เสร็จในไม่ช้า ในขณะนี้เจียงเฉิงได้ส่งหลี่โม่ออกไปแล้ว และจัดเตรียมให้คนขับรถของตัวเองไปส่งคนทั้งครอบครัวของหลี่โม่กลับ “คุณชายหลี่ครับ คราวหลังถ้ามีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อย ๆ นะครับ ประตูใหญ่ของเจียงซานกรุ๊ปของเราจะเปิดต้อนรับให้คุณเสมอ คุณเป็นแขกคนพิเศษของเราตลอดไป” เจียงเฉิงกล่าวอย่างประจบประแจงและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ครับ ถ้ามีเวลาว่างผมจะมา” หลี่โม่เข้านั่งที่เบาะหลัง เจียงเฉิงปิดประตูอย่างขยันขันแข็งและโบกมือดูรถขับออกไป ระหว่างทางหวังฟางไม่ได้พูดอะไรเลย ในใจสับสนวุ่นว
ในเวลาเดียวกัน พี่หู่ยืนอยู่ข้างหน้ากู้ซิ่งเหว่ยด้วยใบหน้าและจมูกที่บวมช้ำ เขามองกู้ซิ่งเหว่ยอย่างน่าสงสาร “ไม่ใช่ว่าฉันพี่หู่ไม่ได้ทำงานหนัก นายดูสภาพที่ฉันถูกทุบตีสิ คนต่ำต้อยคนนั้นช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ลูกน้องสิบกว่าคนของฉันก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้” พี่หู่ตอบกลับอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม กู้ซิ่งเหว่ยดึงเงินออกมาหนึ่งปึกแล้ววางไว้ต่อหน้าพี่หู่ “ไร้ประโยชน์ทั้งหมด เอาไปทำแผลซะ” พี่หู่รับเงินแล้วจากไป เขามาหากู้ซิ่งเหว่ยก็เพื่อมารับเงิน กู้ซิ่งเหว่ยมองไปยังเงาหลังของพี่หู่ แล้วหยิบบุหรี่ออกมาสูบ จากนั้นก็กดโทรหากู้เผิงเฟย แต่โทรศัพท์ดังกว่าสิบครั้งแล้วก็ไม่มีใครรับสาย กู้ซิ่งเหว่ยโทรหลายครั้งติดต่อกัน แต่กู้เผิงเฟยไม่รับสายเลย “ให้ตายเถอะ! มันหักหลังแน่ ๆ คิดว่าแค่นี้ก็สามารถนอนหลับสบายโดยไร้กังวลแล้วเหรอ? ช่างไร้เดียงสา!” เนื่องจากแผนแรกล้มเหลวแล้ว กู้ซิ่งเหว่ยจึงตัดสินใจใช้แผนสอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องทำให้วัตถุดิบสำคัญมีปัญหา และกู้หยุนหลานก็จะไม่สามารถส่งมอบสัญญาทั้งหมดตามกำหนดเวลาได้ “พี่พีลี่ ทำตามที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้ พรุ่งนี้พวกพี่ไปขวางทางเส้นที่เข้าไปโ
“คำหยาบคายที่พวกแกเพิ่งพล่ามออกมา ขอโทษซะ” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา อันธพาลหลายคนที่ยืนอยู่รอบนอกมองไปยังหลี่โม่ จากนั้นต่างก็หัวเราะขึ้นมา “ขอโทษ? ขอโทษบ้านแม่แกสิ! แกเป็นคนขี้แพ้จากไหนกัน ให้พวกเราขอโทษ แกรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร!” “คนที่กล้าให้พวกเราพูดขอโทษนั้นยังไม่มาเกิดเลย แต่คนขี้แพ้อย่างแกนี่โผล่มาจากไหนกัน” “จะพูดไร้สาระกับมันไปทำไม อัดมันก่อนค่อยแล้วคุยดีกว่า!” ชายหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่รอบนอกก็ระเบิดอารมณ์รุนแรง พูดยังไม่ทันจบก็กำหมัดขึ้นแล้ว และพุ่งเข้าไปต่อยหลี่โม่ “รนหาที่ตาย!” หลี่โม่ก็ไม่ออมมือเช่นกัน เนื่องจากชายหนุ่มพวกนี้เอากู้หยุนหลานมาพูดเล่น ถ้าอย่างนั้นหลี่โม่ก็จะทำให้พวกเขาชดใช้อย่างเจ็บปวดและสาสม ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ! เสียงต่อยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมัดของหลี่โม่เร็วราวกับสายฟ้า กระทบเข้ากับแขนของชายหนุ่มหลายคน กร๊อบ! แกร๊บ! เสียงกระดูกหักดังขึ้น และพวกเขาทุกคนต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย แขนฉันหักแล้ว!” “มือของฉันก็หัก ไอ้นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!” “ลูกพี่ครับ มีคนมาป่วนที่นี่!” เมื่อชายหนุ่มหลายคนรู้ว่าหลี่โม่เก่งกาจมาก ต
“ถุย!” พี่พีลี่ถุยน้ำลาย และมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูถูก เขาโบกมือและตะโกนว่า “ทุกคนเข้าไปรุมซะ จับมันอัดให้ตาย! ถ้ามันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง!” ลูกน้องทุกคนต่างหยิบไม้เบสบอลที่พวกเขาเอาติดมาด้วยออกมาทันที แล้วรีบวิ่งพุ่งเข้าไปหาหลี่โม่พร้อมกัน จากบทเรียนที่ได้รับก่อนหน้านี้ที่โดนหักแขน จึงทำให้คนพวกนี้ระมัดระวังตัวมากขึ้น “ล้มลงไปซะ!” ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง และยกไม้เบสบอลขึ้นตรงเข้าไปทุบหัวของหลี่โม่ มุมปากของหลี่โม่ยกยิ้มขึ้น จากนั้นมือขวาของเขายื่นออกราวกับสายฟ้า และคว้าข้อมือของลูกน้องคนนั้นบิดอย่างแรงจนข้อมือของฝ่ายตรงข้ามหัก “โอ๊ย!” ลูกน้องคนนั้นร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด และเจ็บจนล้มลงกับพื้น “ให้ตาย! ไอ้เด็กนี่ข้างมีฝีมือ เข้าไปล้อมเขาไว้ทั้งซ้ายขวา แล้วอัดมันอย่าได้ปรานี!” พี่พีลี่ตะโกนสั่งเสียงดัง ลูกน้องพี่พีลี่หลายคนถือว่าต่างก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าหลี่โม่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม จากนั้นทุกคนก็ต่างเข้าไปรุมล้อมทันที ตอนนี้หลี่โม่เป็นเหมือนเสือเข้าไปในฝูงแกะ แทนที่จะถอยหนีตอนโดนรุมล้อม แต่เขากลับพุ่งเข้าไปในฝูง และรีบพุ่งตรงไปยังที่ที่
คนที่ยืนข้างนอกยังวิ่งหนีได้ ถ้าเดินเข้าไปหมอบลงจริง ๆ คุณก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความเมตตาของเขาน่ะสิ “พวกแกจะทรยศหรือไง! รีบเดินมานี่แล้วคุกเข่าลง ถ้าใครกล้าวิ่งหนีล่ะก็ ฉันจะพาพี่ใหญ่คนนี้ไล่ฆ่าพวกแกถึงบ้าน!” ถ้าตายคนเดียวงั้นก็ตายหมู่ดีกว่า ถือว่าพี่พีลี่เป็นคนมีความคิด ในฐานะที่ตัวเองเป็นลูกพี่นั้น หลี่โม่จะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน ดังนั้นแม้ว่าจะต้องคุกเข่าหมอบลงก็ต้องพาลูกน้องทั้งหมดคุกเข่าหมอบลงด้วยกัน อันธพาลพวกนี้ตัวทรุดลงไปหมดแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าลูกพี่ตัวเองจะทรยศเพื่อนร่วมทีม มันเหมือนกับว่าเขาอยากให้ทุกคนตายด้วยกัน “เร็วเข้า ถ้ายังไม่มาอีกล่ะ พวกแกได้หมอบไปตลอดชีวิตแน่!” พี่พีลี่เร่งเร้า พวกเขาต่างโยนไม้เบสบอลในมืออย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินไปหาหลี่โม่ จากนั้นเอามือไว้หลังศีรษะและหมอบลง พี่พีลี่ยิ้มอย่างประจบสอพลอ “พี่ใหญ่ ดูสิลูกน้องของผมอยู่ตรงนี้กันหมดแล้ว พวกคนที่บาดเจ็บคงจะหมอบลงไม่ได้ พี่ปล่อยให้พวกเขานอนลงและฟังคำแนะนำของพี่เถอะครับ” “แกก็หมอบลงด้วย” หลี่โม่ตอบกลับอย่างเยาะเย้ย “ครับ ๆ” พี่พีลี่หมอบลงอย่างรวดเร็ว กุมศีรษะด้วยมือสองข้าง แล้วเงยหน้ามองไปยังหลี
ทางฝั่งนี้ กู้หยุนหลานรีบไปที่โรงงานวัตถุดิบอย่างกระวนกระวาย กู้เผิงเฟยพร้อมกับผู้อำนวยการโรงงานต้อนรับกู้หยุนหลานเข้าไปในห้องประชุม ผู้จัดการและพนักงานตั้งแต่ตำแหน่งใหญ่และเล็กของโรงงานต่างกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม พวกเขาต่างทำอะไรไม่ถูกกับยานพาหนะขนส่งที่ถูกขวางได้ เมื่อเห็นกู้หยุนหลานเข้ามา ทุกคนก็ยืนขึ้น “ผู้อำนวยการกู้มาแล้ว” “สวัสดีครับ ผู้อำนวยการกู้” "ผู้อำนวยการกู้มาถึงแล้วคงมีทางออกแน่นอน" ทันใดนั้นผู้จัดการและพนักงานตั้งแต่ตำแหน่งใหญ่และเล็กต่างตั้งความหวังไว้ที่กู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานนั่งบนที่นั่งหลักด้วยท่าทางเคร่งขรึมและถามว่า "สถานการณ์หลักตอนนี้เป็นอย่างไร? พวกคุณได้พยายามทำอะไรกันแล้วบ้าง" กู้เผิงเฟยยิ้มขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก “สถานการณ์ก็คือรถถูกอันธพาลพวกนั้นขวางทางไว้ และเราติดต่อไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า” “สำนักงานโรงงานของเราได้ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกล่าวว่าเป็นข้อพิพาททางแพ่ง ให้เราเจรจากับอีกฝ่ายเพื่อแก้ไข” “แผนกรักษาความปลอดภัยไปเจรจากับอีกฝ่ายแล้ว แต่คนของเรายังไม่ได้พูดอะไรสักคำก็ถูกอีกฝ่ายทุบต
“ทำไมไม่ต้องแล้วล่ะ? ตอนนี้เป็นเวลาที่งานการผลิตหนักที่สุด จะเกิดปัญหาแม้แต่นิดเดียวไม่ได้ ฉันต้องไปเจรจากับพวกเขาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้” กู้หยุนหลานตอบกลับอย่างหนักแน่น “ผมหมายถึงว่า ผมได้เจรจากับพวกเขาแล้ว พวกเขาได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาจากส่วนลึกของวิญญาณแล้ว และจำเป็นต้องเปลี่ยนความผิดพลาดครั้งก่อน” กู้หยุนหลาน กู้เผิงเฟย และผู้จัดการต่างตาโตจ้องมองที่หลี่โม่ราวกับว่าได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ “ทุกวันนี้ การพูดเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์เลย คุณรู้ไหมว่า คนพวกนั้นโหดร้ายมากแค่ไหน? ผมกับรปภ.สิบกว่าคนที่ไปเจรจาต่างก็ถูกทุบตีจนขวัญหนีดีฝ่อ” ผู้จัดการฝ่ายแผนกรักษาความปลอดภัยตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “ชายหนุ่มพวกนั้นไม่ใช่พวกอันธพาลธรรมดา ล้วนเป็นอันธพาลใหญ่ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ลงมือโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ลูกพี่ใหญ่ของพวกเขาคือพี่เปียวที่มีชื่อเสียง คุณยังไปเจรจากับพวกเขา ผมเกรงว่าแค่คุจะโดนไล่ตีออกมา” “เมื่อครู่นี้ผมเพิ่งติดต่อพวกมีอำนาจไปตี่งหลายคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เลย คุณเป็นแค่แมงดาเกาะผู้หญิงกินวัน ๆ อยู่แต่บ้าน แต่กลับมีความสามารถในการจั