แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หากนายน้อยต้องการฝากงานให้คนอื่น เพียงต่อสายโทรศัพท์หาเขาโดยตรงก็พอแล้ว ทำไมถึงไม่มาหาเขาเป็นการส่วนตัว? แต่ทำไมไปที่ฝ่ายบุคคล? ความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเจียงเฉิง แต่เจียงเฉิงกลับเดาเหตุผลการมาของหลี่โม่ในครั้งนี้ไม่ออกจริง ๆ “ผมเข้าใจแล้ว ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก หลังจากผมตรวจสอบแล้ว จะย้ายคุณไปทำงานส่วนกลางพร้อมทั้งเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือนให้” เจียงเฉิงพูด “ขอบคุณมากค่ะท่านประธาน!” พนักงานแผนกต้อนรับสาววางสายโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก อยากจะวิ่งไปหอมแก้มของหลี่โม่ซักฟอดใหญ่ คำสัญญาที่เจียงเฉิงให้นั้น ทำให้สาวพนักงานต้อนรับดีใจจนเนื้อเต้น เจียงเฉิงถือโทรศัพท์ลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ วางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่อง และจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย “ต้องไปพบนายน้อยให้ได้ ดูจากสถานการณ์แล้ว นายน้อยคงไม่ต้องการให้เปิดเผยฐานะของเขา” เจียงเฉิงเตรียมความพร้อม จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้พูดอะไรผิดพลาดออกไป มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ไม่อาจประจบประแจงได้ แต่อาจทำให้ถูกเหยียบจนจมดินได้อีกด้วย …… ฮั่วเจี้ยนเฟิ
“นายหมายความว่ายังไง หางานให้นายทำยังไม่ยินดีอีก นายคิดว่าคนไร้ประโยชน์อย่างนายมีค่าแค่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเจี้ยนเฟิง ฉันไม่มีทางสนใจนายด้วยซ้ำ! ทั่วทั้งเมืองฮั่น มีใครไม่รู้บ้างว่านายเป็นตัวอะไร!” “มาถึงที่นี่แล้วยังจะเสแสร้งอะไรอีก นายคิดว่าทำเช่นนี้แล้ว จะสลัดคราบราชาแมงดาออกไปได้หรือไง? รีบคุกเข่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะยอมให้อภัยนายสักครั้ง ไม่อย่างนั้น วันนี้นายอย่าคิดที่จะออกไปจากประตูของเจียงซานกรุ๊ปได้ง่าย ๆ !” ไป่จื่อห่าวเดือดดาลสุดขีด หลายปีมานี้ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไป่จื่อห่าวขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเยินยอต่าง ๆ นานา ทำให้ไป่จื่อห่าวกลายเป็นคางคกขึ้นวอตัวหนึ่งไปแล้ว “นายพูดเหมือนกับนายเป็นประธานเจียงซานกรุ๊ป ฉันอยากจะหัวเราะจริง ๆ” กู้หยุนหลานเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะบานปลายใหญ่โต จึงรีบกระซิบว่า “หลี่โม่ พูดให้น้อยลงหน่อย ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสม พวกเราก็กลับ ไม่ต้องไปโต้เถียงให้มากความ” หวังฟางจ้องกู้หยุนหลานตาเขม็ง จากนั้นจึงตะคอกใส่หลี่โม่ว่า “รีบขอโทษผู้จัดการไป๋เดี๋ยวนี้! คนไร้ประโยชน์อย
เมื่อเจียงเฉิงเห็นรอยยิ้มของหลี่โม่ ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกโล่งอก นายน้อยมีความสุขเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ! “ไป่จื่อห่าว เมื่อกี้นี้คุณจัดงานให้คุณชายหลี่ยังไง คุณจัดงานตำแหน่งไหน” เจียงเฉิงถามด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านประธานครับ ผมจัดให้เขาไปที่โกดังในตำแหน่งคนเฝ้าประตู นั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่มีนัยสำคัญแน่นอน ผมไม่กล้าแหกกฎของบริษัทเรา เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่เอื้ออำนวยต่อมนุษยสัมพันธ์” ไป๋จื่อห่าวพูดพลางแอบสังเกตเจียงเฉิงไปด้วย อยากจะดูว่าความโกรธของเจียงเฉิงเป็นอย่างไร แต่เมื่อไป๋จื่อห่าวเห็นดวงตาของเจียงเฉิงลุกเป็นไฟ เขาก็รู้สึกตกใจทันที! “เจ้าทึ่ม! หัวสมองแกโดนลาเตะไปแล้วใช่ไหม? จัดการแบบนี้ไปได้ยังไง! แกไม่ต้องเป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลแล้วพรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่โกดังที่แกพูดซะ ไปเป็นคนเฝ้าประตูไป!” เจียงเฉิงเดือด! ไป่จื่อห่าวทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ให้ตัวเองที่เป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ไปเป็นคนเฝ้าประตูที่โกดัง นี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์อย่างมากเลยนะ ไม่รอให้ไป่จื่อห่าวเข้าใจ เจียงเฉิงก็พูดต่อว่า "อย่าแม้แต่คิดเกี่ยวกับการลาออกและเปลี่ยนงาน
อยากทำอะไรก็ทำได้ตามสบายเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าสามารถเลือกตำแหน่งในเจียงซานกรุ๊ปได้ตามใจชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งประธานและหัวหน้างานของเจียงซานกรุ๊ป แม้ว่าจะเป็นผู้จัดการแผนกก็สามารถมองคนอื่นได้อย่างเหยียดหยาม! ไป่จื่อห่าวและฮั๋วเจี้ยนเฟิงต่างตกตะลึง ในตอนนี้ทั้งคู่มีคำถามขึ้นในใจว่า หลี่โม่เป็นใครกันแน่? หวังฟางตัวแข็งทื่อ สถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไปเร็วมากจนสมองของหวังฟางไมาสามารถเข้าใจได้ “ท่านประธานเจียงคะ นี่คุณจริงจังใช่ไหมคะ?” กู้หยุนหลานถามอย่างอ่อนน้อม ตำแหน่งระดับสูงในเจียงซานกรุ๊ป หากว่าหลี่โม่สามารถนั่งในตำแหน่งแบบนี้ได้ นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างความประทับใจให้ทุกคนในตระกูลกู้แล้ว “จริงจังแน่นอนครับ ผมแค่กังวลว่า คุณชายหลี่จะไม่พอใจเจียงซานกรุ๊ปของเรา ถ้าหากว่าคุณชายหลี่ยินยอม เจียงซานกรุ๊ปของเราจะให้บริการอย่างดีที่สุด” เจียงเฉิงกล่าวด้วยความเคารพ “มีสิทธิ์อะไร ทำไมหลี่โม่ถึงมีสิทธิ์ทำแบบนี้ได้!” หวังฟางถามอย่างจริงจัง สถานการณ์แบบนี้มันเกินจินตนาการของหวังฟางอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกว่าจะตบหน้าหลี่โม่ แต่ตอนนี้หวังฟางรู้สึกเจ็บแสบร้อนบนใบหน้า ไม่เพียงแต่
ด้วยการข่มขู่จากเจียงเฉิงเมื่อครู่นี้ ไป่จื่อห่าวไม่สามารถแม้แต่จะคิดลาออกได้ ถ้าหากว่าเขาลาออก เขาก็จะกลายเป็นคนตกงานอย่างสมบูรณ์ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกขอโทษต่อไป่จื่อห่าว และพูดขึ้นมาในความเงียบว่า “เพื่อนรัก อดทนไปก่อน รอให้ฉันกำจัดหลี่โม่ก่อน แล้วนายจะกลับมายืนขึ้นได้อีกแน่นอน” “นายต้องรีบจัดการให้เสร็จนะ ฉันไม่อยากเป็นคนเฝ้าประตูนานเกินไป” น้ำเสียงของไป่จื่อห่าวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และทางฮั๋วเจี้ยนเฟิงเขาก็เป็นคนที่ไม่สามารถยั่วยุได้ ทำได้เพียงหวังว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะกำจัดหลี่โม่เสร็จในไม่ช้า ในขณะนี้เจียงเฉิงได้ส่งหลี่โม่ออกไปแล้ว และจัดเตรียมให้คนขับรถของตัวเองไปส่งคนทั้งครอบครัวของหลี่โม่กลับ “คุณชายหลี่ครับ คราวหลังถ้ามีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อย ๆ นะครับ ประตูใหญ่ของเจียงซานกรุ๊ปของเราจะเปิดต้อนรับให้คุณเสมอ คุณเป็นแขกคนพิเศษของเราตลอดไป” เจียงเฉิงกล่าวอย่างประจบประแจงและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ครับ ถ้ามีเวลาว่างผมจะมา” หลี่โม่เข้านั่งที่เบาะหลัง เจียงเฉิงปิดประตูอย่างขยันขันแข็งและโบกมือดูรถขับออกไป ระหว่างทางหวังฟางไม่ได้พูดอะไรเลย ในใจสับสนวุ่นว
ในเวลาเดียวกัน พี่หู่ยืนอยู่ข้างหน้ากู้ซิ่งเหว่ยด้วยใบหน้าและจมูกที่บวมช้ำ เขามองกู้ซิ่งเหว่ยอย่างน่าสงสาร “ไม่ใช่ว่าฉันพี่หู่ไม่ได้ทำงานหนัก นายดูสภาพที่ฉันถูกทุบตีสิ คนต่ำต้อยคนนั้นช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ลูกน้องสิบกว่าคนของฉันก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้” พี่หู่ตอบกลับอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม กู้ซิ่งเหว่ยดึงเงินออกมาหนึ่งปึกแล้ววางไว้ต่อหน้าพี่หู่ “ไร้ประโยชน์ทั้งหมด เอาไปทำแผลซะ” พี่หู่รับเงินแล้วจากไป เขามาหากู้ซิ่งเหว่ยก็เพื่อมารับเงิน กู้ซิ่งเหว่ยมองไปยังเงาหลังของพี่หู่ แล้วหยิบบุหรี่ออกมาสูบ จากนั้นก็กดโทรหากู้เผิงเฟย แต่โทรศัพท์ดังกว่าสิบครั้งแล้วก็ไม่มีใครรับสาย กู้ซิ่งเหว่ยโทรหลายครั้งติดต่อกัน แต่กู้เผิงเฟยไม่รับสายเลย “ให้ตายเถอะ! มันหักหลังแน่ ๆ คิดว่าแค่นี้ก็สามารถนอนหลับสบายโดยไร้กังวลแล้วเหรอ? ช่างไร้เดียงสา!” เนื่องจากแผนแรกล้มเหลวแล้ว กู้ซิ่งเหว่ยจึงตัดสินใจใช้แผนสอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องทำให้วัตถุดิบสำคัญมีปัญหา และกู้หยุนหลานก็จะไม่สามารถส่งมอบสัญญาทั้งหมดตามกำหนดเวลาได้ “พี่พีลี่ ทำตามที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้ พรุ่งนี้พวกพี่ไปขวางทางเส้นที่เข้าไปโ
“คำหยาบคายที่พวกแกเพิ่งพล่ามออกมา ขอโทษซะ” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา อันธพาลหลายคนที่ยืนอยู่รอบนอกมองไปยังหลี่โม่ จากนั้นต่างก็หัวเราะขึ้นมา “ขอโทษ? ขอโทษบ้านแม่แกสิ! แกเป็นคนขี้แพ้จากไหนกัน ให้พวกเราขอโทษ แกรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร!” “คนที่กล้าให้พวกเราพูดขอโทษนั้นยังไม่มาเกิดเลย แต่คนขี้แพ้อย่างแกนี่โผล่มาจากไหนกัน” “จะพูดไร้สาระกับมันไปทำไม อัดมันก่อนค่อยแล้วคุยดีกว่า!” ชายหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่รอบนอกก็ระเบิดอารมณ์รุนแรง พูดยังไม่ทันจบก็กำหมัดขึ้นแล้ว และพุ่งเข้าไปต่อยหลี่โม่ “รนหาที่ตาย!” หลี่โม่ก็ไม่ออมมือเช่นกัน เนื่องจากชายหนุ่มพวกนี้เอากู้หยุนหลานมาพูดเล่น ถ้าอย่างนั้นหลี่โม่ก็จะทำให้พวกเขาชดใช้อย่างเจ็บปวดและสาสม ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ! เสียงต่อยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมัดของหลี่โม่เร็วราวกับสายฟ้า กระทบเข้ากับแขนของชายหนุ่มหลายคน กร๊อบ! แกร๊บ! เสียงกระดูกหักดังขึ้น และพวกเขาทุกคนต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย แขนฉันหักแล้ว!” “มือของฉันก็หัก ไอ้นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!” “ลูกพี่ครับ มีคนมาป่วนที่นี่!” เมื่อชายหนุ่มหลายคนรู้ว่าหลี่โม่เก่งกาจมาก ต
“ถุย!” พี่พีลี่ถุยน้ำลาย และมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูถูก เขาโบกมือและตะโกนว่า “ทุกคนเข้าไปรุมซะ จับมันอัดให้ตาย! ถ้ามันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง!” ลูกน้องทุกคนต่างหยิบไม้เบสบอลที่พวกเขาเอาติดมาด้วยออกมาทันที แล้วรีบวิ่งพุ่งเข้าไปหาหลี่โม่พร้อมกัน จากบทเรียนที่ได้รับก่อนหน้านี้ที่โดนหักแขน จึงทำให้คนพวกนี้ระมัดระวังตัวมากขึ้น “ล้มลงไปซะ!” ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง และยกไม้เบสบอลขึ้นตรงเข้าไปทุบหัวของหลี่โม่ มุมปากของหลี่โม่ยกยิ้มขึ้น จากนั้นมือขวาของเขายื่นออกราวกับสายฟ้า และคว้าข้อมือของลูกน้องคนนั้นบิดอย่างแรงจนข้อมือของฝ่ายตรงข้ามหัก “โอ๊ย!” ลูกน้องคนนั้นร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด และเจ็บจนล้มลงกับพื้น “ให้ตาย! ไอ้เด็กนี่ข้างมีฝีมือ เข้าไปล้อมเขาไว้ทั้งซ้ายขวา แล้วอัดมันอย่าได้ปรานี!” พี่พีลี่ตะโกนสั่งเสียงดัง ลูกน้องพี่พีลี่หลายคนถือว่าต่างก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าหลี่โม่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม จากนั้นทุกคนก็ต่างเข้าไปรุมล้อมทันที ตอนนี้หลี่โม่เป็นเหมือนเสือเข้าไปในฝูงแกะ แทนที่จะถอยหนีตอนโดนรุมล้อม แต่เขากลับพุ่งเข้าไปในฝูง และรีบพุ่งตรงไปยังที่ที่