ในเวลาเดียวกันนี้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเคาะประตูบ้านของกู้หยุนหลาน หลังทราบข่าวจากพี่ตาว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอดใจไม่ไหว รีบรุดมาเยาะเย้ยหลี่โม่ หลังพี่ตาวถูกชูจงเทียนตำหนิยกใหญ่ ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แสร้งบอกฮั๋วเจี้ยนเฟิงว่าได้จัดการหลี่โม่แล้ว เพื่อให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิงโอนเงินงวดสุดท้ายให้เขา หลังฮั๋วเจี้ยนเฟิงโอนเงินงวดสุดท้ายไปด้วยความดีใจ จึงรีบไปซื้อของฝากให้ครอบครัวกู้หยุนหลานทันที เพื่อเยาะเย้ยและสร้างความอับอายให้แก่หลี่โม่ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของตน เปิดประตูบ้าน หวังฟางเห็นแก้มของฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคงมีรอบบวมแดงอยู่ จึงเกิดความรู้สึกโกรธแค้นขึ้นในใจ “เจี้ยนเฟิงเองเหรอ รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อนเถอะ” “ผมซื้อเครื่องสำอาง และแผ่นมาร์คหน้ามาให้คุณป้าครับ สามารถลดอาการปวดบวมได้เป็นอย่างดี ผมเองก็ลองใช้ดูแล้ว ดีขึ้นมากทีเดียว” หวังฟางได้ยินก็แทบจะร้องไห้ ช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นจริง ๆ ตนเองถูกตบจนหน้าบวม ยังไม่ลืมซื้อของมาฝากอีก เมื่อเทียบกับคนไร้ค่าอย่างหลี่โม่แล้ว เขาใส่ใจมากกว่าหลายเท่านัก “เธอควรพักฟื้นอยู่ที่บ้าน เป็นถึงเจ้าคนนายคน รักษาแผลให้หายดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องอับอายต่อหน้าล
“แต่ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไรนักหรอกนะ เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยของเพื่อน แต่หลี่โม่ไม่มีเอกสารรับรองการศึกษา ทำงานรักษาความปลอดภัย ก็ถือว่าดีมากสำหรับเขาแล้ว” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน กู้หยุนหลานถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ไม่ว่ากู้หยุนหลานจะพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งกู้หยุนหลานเองก็หวังว่าหลี่โม่จะหางานดี ๆ ทำ อย่างไรเสียผู้ชายก็ไม่เหมาะสมที่จะทำงานในร้านเสริมสวยสักเท่าไหร่ หลี่โม่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ราวกับว่าสิ่งที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตน เพื่อไม่ให้กู้หยุนหลานต้องวางตัวลำบากระหว่างตนกับแม่ของเธอ หลี่โม่จึงยินดีแบกรับความอัปยศเอาไว้กับตนเอง หวังฟางเหลือบมองหลี่โม่ และพูดเสียงดังว่า “หลี่โม่ เพื่อที่จะหางานให้แกทำ เจี้ยนเฟิงอุตส่าห์ใช้เส้นสายในวงการ แกยังไม่รีบขอบคุณเขาอีกหรือ” “อ๋อ รอให้จัดการเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยขอบคุณจะดีกว่า เพราะหากทำไม่ได้ ไม่เท่ากับว่าเป็นการขอบคุณโดยเปล่าประโยชน์หรือครับ” หลี่โม่ตอบเบา ๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะท้องแข็ง “เจ้าคนไร้ค่า นายนี่มันลูกไม้เยอะจริง ๆ ฉันบอกว่าจัดการได้ก็ต้องจัดการได้แ
คุณหลี่คือใคร? คุณหลี่ก็คือหลี่โม่ไม่ใช่หรือ หรือว่าหลี่โม่ยังมีฐานะอื่นอีก? ภูมิหลังที่ทำให้พี่ตาวตกใจถึงเพียงนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ฮั๋วเจี้ยนเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดจะส่งข้อความถามพี่ตาวอีกครั้ง หวังฟางก็พากู้หยุนหลานกับหลี่โม่มาถึงพอดี เห็นหลี่โม่และคนอื่น ๆ มาถึง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงจึงเก็บโทรศัพท์ ไม่ได้ทำอะไรต่อ “หยุนหลาน แกไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเร็วเข้าสิ” หวังฟางส่งสายตาให้กู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานแสร้งทำเป็นไม่เห็น เดินไปนั่งด้านหลังทันที หวังฟางโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ จึงเดินไปนั่งที่นั่งข้างคนขับแทน ฮั๋วเจี้ยนเฟิงมองกระจกหลัง เห็นกู้หยุนหลานกับหลี่โม่ที่นั่งอยู่แถวหลัง ก็แอบยิ้มมุมปากอย่างมีนัย “คุณป้า หยุนหลาน เพื่อนของผมเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลระดับสูงของเจียงซานกรุ๊ป และเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล เรื่องจัดหาตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคงไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้ารู้ว่าเป็นงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเจียงซานกรุ๊ป ผู้คนในเมืองฮั่นต่างก็แย่งกันเข้าไปทำงาน แน่นอนว่ารายได้มากกว่าทำงานร้านเสริมสวยหลายเท่า” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงกำลังสาธยายเส้นสายในวงการธุรกิจและความส
แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หากนายน้อยต้องการฝากงานให้คนอื่น เพียงต่อสายโทรศัพท์หาเขาโดยตรงก็พอแล้ว ทำไมถึงไม่มาหาเขาเป็นการส่วนตัว? แต่ทำไมไปที่ฝ่ายบุคคล? ความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเจียงเฉิง แต่เจียงเฉิงกลับเดาเหตุผลการมาของหลี่โม่ในครั้งนี้ไม่ออกจริง ๆ “ผมเข้าใจแล้ว ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก หลังจากผมตรวจสอบแล้ว จะย้ายคุณไปทำงานส่วนกลางพร้อมทั้งเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือนให้” เจียงเฉิงพูด “ขอบคุณมากค่ะท่านประธาน!” พนักงานแผนกต้อนรับสาววางสายโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก อยากจะวิ่งไปหอมแก้มของหลี่โม่ซักฟอดใหญ่ คำสัญญาที่เจียงเฉิงให้นั้น ทำให้สาวพนักงานต้อนรับดีใจจนเนื้อเต้น เจียงเฉิงถือโทรศัพท์ลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ วางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่อง และจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย “ต้องไปพบนายน้อยให้ได้ ดูจากสถานการณ์แล้ว นายน้อยคงไม่ต้องการให้เปิดเผยฐานะของเขา” เจียงเฉิงเตรียมความพร้อม จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้พูดอะไรผิดพลาดออกไป มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ไม่อาจประจบประแจงได้ แต่อาจทำให้ถูกเหยียบจนจมดินได้อีกด้วย …… ฮั่วเจี้ยนเฟิ
“นายหมายความว่ายังไง หางานให้นายทำยังไม่ยินดีอีก นายคิดว่าคนไร้ประโยชน์อย่างนายมีค่าแค่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเจี้ยนเฟิง ฉันไม่มีทางสนใจนายด้วยซ้ำ! ทั่วทั้งเมืองฮั่น มีใครไม่รู้บ้างว่านายเป็นตัวอะไร!” “มาถึงที่นี่แล้วยังจะเสแสร้งอะไรอีก นายคิดว่าทำเช่นนี้แล้ว จะสลัดคราบราชาแมงดาออกไปได้หรือไง? รีบคุกเข่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะยอมให้อภัยนายสักครั้ง ไม่อย่างนั้น วันนี้นายอย่าคิดที่จะออกไปจากประตูของเจียงซานกรุ๊ปได้ง่าย ๆ !” ไป่จื่อห่าวเดือดดาลสุดขีด หลายปีมานี้ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไป่จื่อห่าวขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเยินยอต่าง ๆ นานา ทำให้ไป่จื่อห่าวกลายเป็นคางคกขึ้นวอตัวหนึ่งไปแล้ว “นายพูดเหมือนกับนายเป็นประธานเจียงซานกรุ๊ป ฉันอยากจะหัวเราะจริง ๆ” กู้หยุนหลานเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะบานปลายใหญ่โต จึงรีบกระซิบว่า “หลี่โม่ พูดให้น้อยลงหน่อย ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสม พวกเราก็กลับ ไม่ต้องไปโต้เถียงให้มากความ” หวังฟางจ้องกู้หยุนหลานตาเขม็ง จากนั้นจึงตะคอกใส่หลี่โม่ว่า “รีบขอโทษผู้จัดการไป๋เดี๋ยวนี้! คนไร้ประโยชน์อย
เมื่อเจียงเฉิงเห็นรอยยิ้มของหลี่โม่ ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกโล่งอก นายน้อยมีความสุขเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ! “ไป่จื่อห่าว เมื่อกี้นี้คุณจัดงานให้คุณชายหลี่ยังไง คุณจัดงานตำแหน่งไหน” เจียงเฉิงถามด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านประธานครับ ผมจัดให้เขาไปที่โกดังในตำแหน่งคนเฝ้าประตู นั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่มีนัยสำคัญแน่นอน ผมไม่กล้าแหกกฎของบริษัทเรา เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่เอื้ออำนวยต่อมนุษยสัมพันธ์” ไป๋จื่อห่าวพูดพลางแอบสังเกตเจียงเฉิงไปด้วย อยากจะดูว่าความโกรธของเจียงเฉิงเป็นอย่างไร แต่เมื่อไป๋จื่อห่าวเห็นดวงตาของเจียงเฉิงลุกเป็นไฟ เขาก็รู้สึกตกใจทันที! “เจ้าทึ่ม! หัวสมองแกโดนลาเตะไปแล้วใช่ไหม? จัดการแบบนี้ไปได้ยังไง! แกไม่ต้องเป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลแล้วพรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่โกดังที่แกพูดซะ ไปเป็นคนเฝ้าประตูไป!” เจียงเฉิงเดือด! ไป่จื่อห่าวทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ให้ตัวเองที่เป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ไปเป็นคนเฝ้าประตูที่โกดัง นี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์อย่างมากเลยนะ ไม่รอให้ไป่จื่อห่าวเข้าใจ เจียงเฉิงก็พูดต่อว่า "อย่าแม้แต่คิดเกี่ยวกับการลาออกและเปลี่ยนงาน
อยากทำอะไรก็ทำได้ตามสบายเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าสามารถเลือกตำแหน่งในเจียงซานกรุ๊ปได้ตามใจชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งประธานและหัวหน้างานของเจียงซานกรุ๊ป แม้ว่าจะเป็นผู้จัดการแผนกก็สามารถมองคนอื่นได้อย่างเหยียดหยาม! ไป่จื่อห่าวและฮั๋วเจี้ยนเฟิงต่างตกตะลึง ในตอนนี้ทั้งคู่มีคำถามขึ้นในใจว่า หลี่โม่เป็นใครกันแน่? หวังฟางตัวแข็งทื่อ สถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไปเร็วมากจนสมองของหวังฟางไมาสามารถเข้าใจได้ “ท่านประธานเจียงคะ นี่คุณจริงจังใช่ไหมคะ?” กู้หยุนหลานถามอย่างอ่อนน้อม ตำแหน่งระดับสูงในเจียงซานกรุ๊ป หากว่าหลี่โม่สามารถนั่งในตำแหน่งแบบนี้ได้ นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างความประทับใจให้ทุกคนในตระกูลกู้แล้ว “จริงจังแน่นอนครับ ผมแค่กังวลว่า คุณชายหลี่จะไม่พอใจเจียงซานกรุ๊ปของเรา ถ้าหากว่าคุณชายหลี่ยินยอม เจียงซานกรุ๊ปของเราจะให้บริการอย่างดีที่สุด” เจียงเฉิงกล่าวด้วยความเคารพ “มีสิทธิ์อะไร ทำไมหลี่โม่ถึงมีสิทธิ์ทำแบบนี้ได้!” หวังฟางถามอย่างจริงจัง สถานการณ์แบบนี้มันเกินจินตนาการของหวังฟางอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกว่าจะตบหน้าหลี่โม่ แต่ตอนนี้หวังฟางรู้สึกเจ็บแสบร้อนบนใบหน้า ไม่เพียงแต่
ด้วยการข่มขู่จากเจียงเฉิงเมื่อครู่นี้ ไป่จื่อห่าวไม่สามารถแม้แต่จะคิดลาออกได้ ถ้าหากว่าเขาลาออก เขาก็จะกลายเป็นคนตกงานอย่างสมบูรณ์ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกขอโทษต่อไป่จื่อห่าว และพูดขึ้นมาในความเงียบว่า “เพื่อนรัก อดทนไปก่อน รอให้ฉันกำจัดหลี่โม่ก่อน แล้วนายจะกลับมายืนขึ้นได้อีกแน่นอน” “นายต้องรีบจัดการให้เสร็จนะ ฉันไม่อยากเป็นคนเฝ้าประตูนานเกินไป” น้ำเสียงของไป่จื่อห่าวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และทางฮั๋วเจี้ยนเฟิงเขาก็เป็นคนที่ไม่สามารถยั่วยุได้ ทำได้เพียงหวังว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะกำจัดหลี่โม่เสร็จในไม่ช้า ในขณะนี้เจียงเฉิงได้ส่งหลี่โม่ออกไปแล้ว และจัดเตรียมให้คนขับรถของตัวเองไปส่งคนทั้งครอบครัวของหลี่โม่กลับ “คุณชายหลี่ครับ คราวหลังถ้ามีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อย ๆ นะครับ ประตูใหญ่ของเจียงซานกรุ๊ปของเราจะเปิดต้อนรับให้คุณเสมอ คุณเป็นแขกคนพิเศษของเราตลอดไป” เจียงเฉิงกล่าวอย่างประจบประแจงและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ครับ ถ้ามีเวลาว่างผมจะมา” หลี่โม่เข้านั่งที่เบาะหลัง เจียงเฉิงปิดประตูอย่างขยันขันแข็งและโบกมือดูรถขับออกไป ระหว่างทางหวังฟางไม่ได้พูดอะไรเลย ในใจสับสนวุ่นว
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา