ระหว่างทางจนถึงโรงแรม เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรกับโม่ไป๋อีกเลยแม้แต่ประโยคเดียว โม่ไป๋พาเธอไปที่โรงแรมที่อยู่ใกล้กับสนามบิน ถึงจะบอกว่ามันอยู่ใกล้ๆ แต่จริงๆแล้วมันก็ใช้เวลาในการขับรถไปเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากจัดการอะไรต่างๆให้เธอแล้ว โม่ไป๋ก็พูดกับเธอว่า "พักผ่อนตามสบายเลย ตอนเย็นผมจะมา..." ปัง! ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ประตูห้องก็ปิดลงต่อหน้าโม่ไป๋ โม่ไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดคำพูดที่เหลือให้จบ “มารับเธอ” น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ “ประธานโม่...” ผู้ช่วยเฉินที่อยู่ข้างๆเห็นเช่นนั้นก็เรียกเขาด้วยความลังเล ทำไมมันลำบากเช่นนี้นะ? โม่ไป๋ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง เขาหันไปสั่งว่า "เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี อย่าให้ใครที่น่าสงสัยเข้าไป" ผู้ช่วยเฉินพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงครับประธานโม่ เราจะไม่ให้คนที่น่าสงสัยเข้าไปได้เด็ดขาด คุณไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่เมื่อคืน รีบไปพักผ่อนเถอะครับ” โม่ไป๋ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลา20ชั่วโมงแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยดวงตาเส้นเลือดสีแดง ด้วยสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ในตอนนี้ ต่อให้กลับไปที่ห้อง เขาคงจะนอนไม่หลับอยู่ดี แต่การได้หลับต
หลังจากวางโทรศัพท์ลงแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดม่านแล้วจึงเห็นว่าที่อยู่คือชั้น16 เมื่อเดินไปเปิดประตู เธอก็เห็นผู้ช่วยเฉินที่มีสีหน้าหวาดกลัว และยังมีการ์ดร่างสูงกำยำสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ไม่ว่าจะไปทางไหน มันก็ถูกปิดตายหมด การที่โม่ไป๋ทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการกักบริเวณเธอเลย เสิ่นหยินอู้โกรธจัดจนพูดกับผู้ช่วยเฉินว่า "ฉันอยากออกไป" ผู้ช่วยเฉินแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาทันที “คุณหนูเสิ่น ผมเกรงว่าจะไม่ได้ คุณเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบิน ประธานโม่ได้กำชับไว้ว่าให้คุณกับลูกๆพักผ่อนเยอะๆ ดังนั้นตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ชั่วคราวครับ” “เพราะฉันเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินเลยอยากให้ฉันพักผ่อนเยอะๆ หรือกำลังกักบริเวณฉันกันแน่?” เมื่อได้ยินคำว่ากักบริเวณ ผู้ช่วยเฉินก็ปฏิเสธทันทีและพูดว่า "คุณหนูเสิ่น ทำไมถึงพูดว่าเป็นการกักบริเวณล่ะครับ? คุณไม่ได้พักผ่อนในระหว่างทางเลย ประธานโม่ทำเพื่อคุณนะครับ" “ยังไงก็จะไม่ให้ฉันออกไปใช่ไหม?” ผู้ช่วยเฉินไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้กระแทกปิดประตูเสียงดังต่อหน้าเขาอีกครั้ง เมื่อกลับมาที่หน้าโซฟาและเห็นเด็กน้อยทั้งสองหลับอ
เมื่อพูดถึงการกักขัง ผู้ช่วยเฉินก็ชะงักไป เขาถึงกับพูดไม่ออก “ฉันอยากกินตอนนี้ ถ้าคุณไม่อยากไปหามาให้ฉันกินก็ไม่เป็นไร ช่างเถอะ ฉันไม่กินแล้ว” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตัดสายไป เธอรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง โทรศัพท์ของเธอถูกดักฟังจริงๆสินะ? ถ้างั้น นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าเธอจะโทรไปขออะไร ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์สินะ? คิดไม่ถึงเลยว่าโม่ไป๋จะทำได้ถึงขนาดนี้ เธอต้องคิดใหม่อีกครั้ง มันต้องมีวิธีอะไรสักอย่างแน่นอน - หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินวางสาย เขาก็ตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงไปถามความคิดเห็นของประธานโม่เท่านั้น หลังจากทราบคำขอของเธอแล้ว โม่ไป๋ก็เม้มริมฝีปากบางแล้วพูดว่า "ทำตามที่เธอขอเถอะ" “แต่ในโรงแรม...” “ไม่มีในโรงแรม ข้างนอกก็ไม่มีงั้นเหรอ? ลองหาร้านที่เจ้าเป็นของคนจีน ถ้าต้องขับรถไปซื้อก็ขับรถไปซื้อ หรือจะจ้างเชฟในราคาสูงๆมาก็ได้” " ผู้ช่วยเฉิน: "..." “ตอนนี้ข้างๆเธอมีแค่ผมเท่านั้น ถ้าผมทำตามคำขอของเธอไม่ได้ แล้วใครจะทำได้ล่ะ?” ช่วยไม่ได้ ผู้ช่วยเฉินทำได้เพียงทำตามที่เขาพูด นิ้วของโม่ไป๋ประสานกันอยู่บนโต๊ะ เขาซึ่งแต่
การระเบิดอารมณ์อย่างกะทันหันของเธอทำให้พนักงานเสิร์ฟตกใจ ฝีเท้าของเธอก็หยุดลงอยู่ที่เดิมและทำอะไรไม่ถูก คนที่ตกใจที่สุดในพวกเขาสามคนคงจะเป็นโม่ไป๋ เพราะเขารู้จักเธอมาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเสิ่นหยินอู้โกรธมากเช่นนี้“อาหารพวกนี้ฉันกินได้ แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย” เสิ่นหยินอู้จ้องเขาและพูดออกมาทีละคำ หลังจากพูดจบ เธอถึงขั้นลงมือผลักโม่ไป๋ไปข้างหน้า เมื่อเธอพูดว่าไม่อยากเห็นหน้าเขา โม่ไป๋ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจของเขา ก่อนที่เขาจะทันได้โต้ตอบอะไร เขาก็ถูกเธอผลักออกไปด้านนอก แม้ว่าเขาจะรู้สึกหนักใจ แต่เมื่อคิดว่าถ้าไม่เห็นหน้าเขาแล้วเธอจะทานอาหารได้ เขาก็โล่งใจ เมื่อเขาถูกผลักออกไปข้างนอก ประตูก็ปิดลงด้วยเสียงดังปังต่อหน้าเขา ผู้ช่วยเฉินรีบก้าวเข้ามาเพื่อพยุงโม่ไป๋และถามอย่างร้อนรน: "ประธานโม่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?" โม่ไป๋ยืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงพูดว่า "ไม่เป็นไร" จากนั้นเขาก็ผลักมือของผู้ช่วยเฉินออกไป ผู้ช่วยเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันเช่นนี้ “ประธานโม่ ตอนนี้เสียใจแล้วหรือยังครับ? คุณหนูเสิ่นไม่ใช่แค่ไม่อยากกินอะไร แต่ยังก่อ
เมื่อเห็นว่าเธอเข้าใจผิดว่าหยินอู้และโม่ไป๋เป็นแฟนกัน เสิ่นหยินอู้ก็ขี้เกียจเกินกว่าอธิบายอะไรเพิ่มในเวลานี้ ดังนั้นเธอจึงยอมรับไปตามน้ำ: "ฉันทะเลาะกับเขา และฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา ดังนั้นขอร้องเถอะค่ะ ถือซะว่ามันเป็นการช่วยฉันระบายความโกรธ ได้ไหมคะ?” เสิ่นหยินอู้ก้าวไปข้างหน้าและกอดแขนของพนักงานสาวคนนั้น โดยหวังว่าเธอจะช่วยตนเองได้ เมื่อถูกเธอร้องขอเช่นนี้ พนักงานสาวก็ใจอ่อนมาก ในที่สุดเธอจึงทำได้เพียงพูดว่า "งั้น งั้นฉันไปขออนุญาตผู้จัดการก่อนนะคะ ถ้าผู้จัดการยินยอม..." “ได้ค่ะ ถ้าผู้จัดการไม่ยอม คุณโทรมาหาฉันนะคะ เดี๋ยวฉันจัดการคุยให้” พนักงานหญิงยิ้มให้เธอแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรออก เสิ่นหยินอู้ยิ้ม: "ฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ เสร็จแล้วเป็นยังไงบอกฉันด้วยนะคะ" "ได้ค่ะ" หลังจากเข้าไปในห้องน้ำแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รีบหยิบซิมการ์ดออกมาเปลี่ยน เธอไม่มีเข็มสำหรับจิ้มที่ใส่ซิม แต่โชคดีที่ในตอนที่เธอออกไปข้างนอกในวันนี้ เธอไม่ได้แต่งหน้า แต่สวมต่างหูคู่หนึ่งให้ตัวเองเพื่อเสริมลุค มันมีประโยชน์เพื่อการนี้พอดี หัวใจของเสิ่นหยินอู้เต้นรัวในขณะที่เธอกำลังเปลี่ยนซิมการ์ด และเธอก็
ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ สายตาที่ฝั่งผู้ชายมองไปยังผู้หญิงนั้นดูหมดหนทางเล็กน้อย แต่ฝั่งผู้หญิงกลับเอามือกอดอกไว้ ราวกับว่าเธอไม่อยากพูดคุยอะไรกับเขาต่อ คงจะเป็นการทะเลาะกัน ผู้ชายน่าจะเป็นต้นเหตุ และในตอนนี้ก็กำลังขอโทษอยู่สินะ? วินาทีต่อมา เสิ่นหยินอู้ก็หัวเราะเยาะออกมา “นายยินดีอยู่เป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันอยากให้นายมาอยู่เป็นเพื่อนหรอ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โม่ไป๋ น้ำเสียงของเธอเย็นชามาก: "นายคงไม่ได้ไม่รู้ว่านายทำอะไรลงไปใช่ไหม? นายยังคิดว่าฉันจะกินข้าวด้วยกันกับนายได้อย่างสงบสุขหรอ? งั้นฉันพูดไว้ก่อนเลย ถ้านายยังไม่ส่งฉันกลับไป จากนี้ไปฉันจะหาคนอื่นมากินข้าวด้วยกันกับฉันแทน ต่อให้จะเป็นคนแปลกหน้าตามถนน ฉันก็จะไปหามาแทนนาย” คำพูดของเธอแทงเข้าไปในหัวใจของโม่ไป๋ราวกับดาบที่คมกริบ หากพนักงานสามารถเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ในเวลานี้ เธอคงคิดว่าสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดนั้นรุนแรงเกินไป แต่น่าเสียดายที่พนักงานหญิงคนนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย หลังจากที่เธอพูดจบ โม่ไป๋ก็ไม่พูดอะไร แต่เขากลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน ราวกับว่าเขาไม่สบายใจเสิ่นหยินอู้เปิด
โม่ไป๋ยืนนิ่งและจ้องเธอเขม็ง “ไม่ต้องขนาดนั้น หยินอู้ กินข้าวด้วยได้นะ” “ไม่ ตอนนี้ฉันไม่อยากกินแล้ว” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็นอนลงบนโซฟา หลับตา ท่าทางของเธอดูเหมือนว่าเธอไม่คิดที่จะสนทนาต่อ เห็นได้ชัดว่าพนักงานหญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการสนทนาของพวกเขาจะไม่เป็นผล และตอนนี้หญิงสาวก็ไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว แปลกจริงๆ…… ในระหว่างการสนทนา ผู้ชายคนนี้อ่อนโยนมากเลยแท้ๆ แล้วทำไมเขาถึงยังทำไม่สำเร็จล่ะ? แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่อยากทานต่อ เธอจึงลุกขึ้นยืน “งั้นฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ เชิญคุยกันตามสบายค่ะ” หลังจากพูดจบพนักงานสาวก็ทำท่ากำลังเดินออกไป “รอเดี๋ยว” โม่ไป๋หยุดเธอ จากนั้น โม่ไป๋ก็เดินไปตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ เขามองดวงตาที่ปิดอยู่ของเธอแล้วพูดเบาๆว่า : "ขอโทษที ผมระแวงมากเกินไป ผมไม่ควรสงสัยเธอ เรื่องเมื่อกี้ผมผิดเอง ลุกขึ้นมากินข้าวได้ไหม? " น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพูดไปมากเพียงใด และไม่ว่าน้ำเสียงของเขาจะนุ่มนวลเพียงใด เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับศพ เธอไม่คิดที่จะสนใจเขาเลย “หยินอู้?” เสิ่นหยินอู้ยังคงนอนนิ่งอยู่ “
เสิ่นหยินอู้พูดแทรกเธอ “สิ่งที่ฉันจะพูดตอนนี้ เธอจำไว้ให้หมดนะ แล้วก็อย่าแทรกฉัน” เธอไม่ค่อยพูดกับชวงชวงด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ ชวงชวงจึงตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องนี้ในทันที จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความจริงจัง "โอเค" เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เปิดแอปบันทึกเสียงในโทรศัพท์ของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้เธอพลาดหรือลืมสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูด "ฟังให้ดีนะ พิกัดของฉันในตอนนี้คือที่ประเทศM เป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่ใช้เวลาขับรถจากสนามบินที่อยู่ใกล้ๆประมาณ20นาที มีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด24ชั่วโมงอยู่สองร้านที่หน้าประตู ฉันอยู่บนชั้น16 แต่ฉันคงจะไม่ได้อยู่ที่นี่นาน มีคนเฝ้าประตูอยู่สองสามคน อาจจะต้องย้ายที่อยู่ในตอนเย็น แต่ฉันจะพยายามหาทางอยู่ที่นี่ให้ได้นานที่สุด ถ้าฉันยื้อไว้ไม่ได้แล้วถูกพาตัวไป ฉันจะหาทางติดต่อเธอไปอีกครั้ง” เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวชวงชวงก็สับสน เธอถูกลักพาตัวงั้นเหรอ? ในเวลานี้ เจ้านายของเธอมาหาเธอพอดี เมื่อเขาเห็นเธอคุยโทรศัพท์อยู่ เขาก็หันหลังกลับและเดินไป คิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยกลับมาหาเธอ "เฮ้ๆๆ" โจวชวงชวงตะโกนเรียกเขาในทันที ให้เขาเดินเข้ามา เผยจ้าวเหิงซึ่งโจวชวงซว
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน