หลังจากวางโทรศัพท์ลงแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดม่านแล้วจึงเห็นว่าที่อยู่คือชั้น16 เมื่อเดินไปเปิดประตู เธอก็เห็นผู้ช่วยเฉินที่มีสีหน้าหวาดกลัว และยังมีการ์ดร่างสูงกำยำสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ไม่ว่าจะไปทางไหน มันก็ถูกปิดตายหมด การที่โม่ไป๋ทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการกักบริเวณเธอเลย เสิ่นหยินอู้โกรธจัดจนพูดกับผู้ช่วยเฉินว่า "ฉันอยากออกไป" ผู้ช่วยเฉินแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาทันที “คุณหนูเสิ่น ผมเกรงว่าจะไม่ได้ คุณเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบิน ประธานโม่ได้กำชับไว้ว่าให้คุณกับลูกๆพักผ่อนเยอะๆ ดังนั้นตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ชั่วคราวครับ” “เพราะฉันเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินเลยอยากให้ฉันพักผ่อนเยอะๆ หรือกำลังกักบริเวณฉันกันแน่?” เมื่อได้ยินคำว่ากักบริเวณ ผู้ช่วยเฉินก็ปฏิเสธทันทีและพูดว่า "คุณหนูเสิ่น ทำไมถึงพูดว่าเป็นการกักบริเวณล่ะครับ? คุณไม่ได้พักผ่อนในระหว่างทางเลย ประธานโม่ทำเพื่อคุณนะครับ" “ยังไงก็จะไม่ให้ฉันออกไปใช่ไหม?” ผู้ช่วยเฉินไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้กระแทกปิดประตูเสียงดังต่อหน้าเขาอีกครั้ง เมื่อกลับมาที่หน้าโซฟาและเห็นเด็กน้อยทั้งสองหลับอ
เมื่อพูดถึงการกักขัง ผู้ช่วยเฉินก็ชะงักไป เขาถึงกับพูดไม่ออก “ฉันอยากกินตอนนี้ ถ้าคุณไม่อยากไปหามาให้ฉันกินก็ไม่เป็นไร ช่างเถอะ ฉันไม่กินแล้ว” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตัดสายไป เธอรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง โทรศัพท์ของเธอถูกดักฟังจริงๆสินะ? ถ้างั้น นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าเธอจะโทรไปขออะไร ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์สินะ? คิดไม่ถึงเลยว่าโม่ไป๋จะทำได้ถึงขนาดนี้ เธอต้องคิดใหม่อีกครั้ง มันต้องมีวิธีอะไรสักอย่างแน่นอน - หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินวางสาย เขาก็ตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงไปถามความคิดเห็นของประธานโม่เท่านั้น หลังจากทราบคำขอของเธอแล้ว โม่ไป๋ก็เม้มริมฝีปากบางแล้วพูดว่า "ทำตามที่เธอขอเถอะ" “แต่ในโรงแรม...” “ไม่มีในโรงแรม ข้างนอกก็ไม่มีงั้นเหรอ? ลองหาร้านที่เจ้าเป็นของคนจีน ถ้าต้องขับรถไปซื้อก็ขับรถไปซื้อ หรือจะจ้างเชฟในราคาสูงๆมาก็ได้” " ผู้ช่วยเฉิน: "..." “ตอนนี้ข้างๆเธอมีแค่ผมเท่านั้น ถ้าผมทำตามคำขอของเธอไม่ได้ แล้วใครจะทำได้ล่ะ?” ช่วยไม่ได้ ผู้ช่วยเฉินทำได้เพียงทำตามที่เขาพูด นิ้วของโม่ไป๋ประสานกันอยู่บนโต๊ะ เขาซึ่งแต่
การระเบิดอารมณ์อย่างกะทันหันของเธอทำให้พนักงานเสิร์ฟตกใจ ฝีเท้าของเธอก็หยุดลงอยู่ที่เดิมและทำอะไรไม่ถูก คนที่ตกใจที่สุดในพวกเขาสามคนคงจะเป็นโม่ไป๋ เพราะเขารู้จักเธอมาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเสิ่นหยินอู้โกรธมากเช่นนี้“อาหารพวกนี้ฉันกินได้ แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย” เสิ่นหยินอู้จ้องเขาและพูดออกมาทีละคำ หลังจากพูดจบ เธอถึงขั้นลงมือผลักโม่ไป๋ไปข้างหน้า เมื่อเธอพูดว่าไม่อยากเห็นหน้าเขา โม่ไป๋ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจของเขา ก่อนที่เขาจะทันได้โต้ตอบอะไร เขาก็ถูกเธอผลักออกไปด้านนอก แม้ว่าเขาจะรู้สึกหนักใจ แต่เมื่อคิดว่าถ้าไม่เห็นหน้าเขาแล้วเธอจะทานอาหารได้ เขาก็โล่งใจ เมื่อเขาถูกผลักออกไปข้างนอก ประตูก็ปิดลงด้วยเสียงดังปังต่อหน้าเขา ผู้ช่วยเฉินรีบก้าวเข้ามาเพื่อพยุงโม่ไป๋และถามอย่างร้อนรน: "ประธานโม่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?" โม่ไป๋ยืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงพูดว่า "ไม่เป็นไร" จากนั้นเขาก็ผลักมือของผู้ช่วยเฉินออกไป ผู้ช่วยเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันเช่นนี้ “ประธานโม่ ตอนนี้เสียใจแล้วหรือยังครับ? คุณหนูเสิ่นไม่ใช่แค่ไม่อยากกินอะไร แต่ยังก่อ
เมื่อเห็นว่าเธอเข้าใจผิดว่าหยินอู้และโม่ไป๋เป็นแฟนกัน เสิ่นหยินอู้ก็ขี้เกียจเกินกว่าอธิบายอะไรเพิ่มในเวลานี้ ดังนั้นเธอจึงยอมรับไปตามน้ำ: "ฉันทะเลาะกับเขา และฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา ดังนั้นขอร้องเถอะค่ะ ถือซะว่ามันเป็นการช่วยฉันระบายความโกรธ ได้ไหมคะ?” เสิ่นหยินอู้ก้าวไปข้างหน้าและกอดแขนของพนักงานสาวคนนั้น โดยหวังว่าเธอจะช่วยตนเองได้ เมื่อถูกเธอร้องขอเช่นนี้ พนักงานสาวก็ใจอ่อนมาก ในที่สุดเธอจึงทำได้เพียงพูดว่า "งั้น งั้นฉันไปขออนุญาตผู้จัดการก่อนนะคะ ถ้าผู้จัดการยินยอม..." “ได้ค่ะ ถ้าผู้จัดการไม่ยอม คุณโทรมาหาฉันนะคะ เดี๋ยวฉันจัดการคุยให้” พนักงานหญิงยิ้มให้เธอแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรออก เสิ่นหยินอู้ยิ้ม: "ฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ เสร็จแล้วเป็นยังไงบอกฉันด้วยนะคะ" "ได้ค่ะ" หลังจากเข้าไปในห้องน้ำแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รีบหยิบซิมการ์ดออกมาเปลี่ยน เธอไม่มีเข็มสำหรับจิ้มที่ใส่ซิม แต่โชคดีที่ในตอนที่เธอออกไปข้างนอกในวันนี้ เธอไม่ได้แต่งหน้า แต่สวมต่างหูคู่หนึ่งให้ตัวเองเพื่อเสริมลุค มันมีประโยชน์เพื่อการนี้พอดี หัวใจของเสิ่นหยินอู้เต้นรัวในขณะที่เธอกำลังเปลี่ยนซิมการ์ด และเธอก็
ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ สายตาที่ฝั่งผู้ชายมองไปยังผู้หญิงนั้นดูหมดหนทางเล็กน้อย แต่ฝั่งผู้หญิงกลับเอามือกอดอกไว้ ราวกับว่าเธอไม่อยากพูดคุยอะไรกับเขาต่อ คงจะเป็นการทะเลาะกัน ผู้ชายน่าจะเป็นต้นเหตุ และในตอนนี้ก็กำลังขอโทษอยู่สินะ? วินาทีต่อมา เสิ่นหยินอู้ก็หัวเราะเยาะออกมา “นายยินดีอยู่เป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันอยากให้นายมาอยู่เป็นเพื่อนหรอ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โม่ไป๋ น้ำเสียงของเธอเย็นชามาก: "นายคงไม่ได้ไม่รู้ว่านายทำอะไรลงไปใช่ไหม? นายยังคิดว่าฉันจะกินข้าวด้วยกันกับนายได้อย่างสงบสุขหรอ? งั้นฉันพูดไว้ก่อนเลย ถ้านายยังไม่ส่งฉันกลับไป จากนี้ไปฉันจะหาคนอื่นมากินข้าวด้วยกันกับฉันแทน ต่อให้จะเป็นคนแปลกหน้าตามถนน ฉันก็จะไปหามาแทนนาย” คำพูดของเธอแทงเข้าไปในหัวใจของโม่ไป๋ราวกับดาบที่คมกริบ หากพนักงานสามารถเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ในเวลานี้ เธอคงคิดว่าสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดนั้นรุนแรงเกินไป แต่น่าเสียดายที่พนักงานหญิงคนนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย หลังจากที่เธอพูดจบ โม่ไป๋ก็ไม่พูดอะไร แต่เขากลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน ราวกับว่าเขาไม่สบายใจเสิ่นหยินอู้เปิด
โม่ไป๋ยืนนิ่งและจ้องเธอเขม็ง “ไม่ต้องขนาดนั้น หยินอู้ กินข้าวด้วยได้นะ” “ไม่ ตอนนี้ฉันไม่อยากกินแล้ว” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็นอนลงบนโซฟา หลับตา ท่าทางของเธอดูเหมือนว่าเธอไม่คิดที่จะสนทนาต่อ เห็นได้ชัดว่าพนักงานหญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการสนทนาของพวกเขาจะไม่เป็นผล และตอนนี้หญิงสาวก็ไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว แปลกจริงๆ…… ในระหว่างการสนทนา ผู้ชายคนนี้อ่อนโยนมากเลยแท้ๆ แล้วทำไมเขาถึงยังทำไม่สำเร็จล่ะ? แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่อยากทานต่อ เธอจึงลุกขึ้นยืน “งั้นฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ เชิญคุยกันตามสบายค่ะ” หลังจากพูดจบพนักงานสาวก็ทำท่ากำลังเดินออกไป “รอเดี๋ยว” โม่ไป๋หยุดเธอ จากนั้น โม่ไป๋ก็เดินไปตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ เขามองดวงตาที่ปิดอยู่ของเธอแล้วพูดเบาๆว่า : "ขอโทษที ผมระแวงมากเกินไป ผมไม่ควรสงสัยเธอ เรื่องเมื่อกี้ผมผิดเอง ลุกขึ้นมากินข้าวได้ไหม? " น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพูดไปมากเพียงใด และไม่ว่าน้ำเสียงของเขาจะนุ่มนวลเพียงใด เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับศพ เธอไม่คิดที่จะสนใจเขาเลย “หยินอู้?” เสิ่นหยินอู้ยังคงนอนนิ่งอยู่ “
เสิ่นหยินอู้พูดแทรกเธอ “สิ่งที่ฉันจะพูดตอนนี้ เธอจำไว้ให้หมดนะ แล้วก็อย่าแทรกฉัน” เธอไม่ค่อยพูดกับชวงชวงด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ ชวงชวงจึงตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องนี้ในทันที จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความจริงจัง "โอเค" เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เปิดแอปบันทึกเสียงในโทรศัพท์ของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้เธอพลาดหรือลืมสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูด "ฟังให้ดีนะ พิกัดของฉันในตอนนี้คือที่ประเทศM เป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่ใช้เวลาขับรถจากสนามบินที่อยู่ใกล้ๆประมาณ20นาที มีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด24ชั่วโมงอยู่สองร้านที่หน้าประตู ฉันอยู่บนชั้น16 แต่ฉันคงจะไม่ได้อยู่ที่นี่นาน มีคนเฝ้าประตูอยู่สองสามคน อาจจะต้องย้ายที่อยู่ในตอนเย็น แต่ฉันจะพยายามหาทางอยู่ที่นี่ให้ได้นานที่สุด ถ้าฉันยื้อไว้ไม่ได้แล้วถูกพาตัวไป ฉันจะหาทางติดต่อเธอไปอีกครั้ง” เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวชวงชวงก็สับสน เธอถูกลักพาตัวงั้นเหรอ? ในเวลานี้ เจ้านายของเธอมาหาเธอพอดี เมื่อเขาเห็นเธอคุยโทรศัพท์อยู่ เขาก็หันหลังกลับและเดินไป คิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยกลับมาหาเธอ "เฮ้ๆๆ" โจวชวงชวงตะโกนเรียกเขาในทันที ให้เขาเดินเข้ามา เผยจ้าวเหิงซึ่งโจวชวงซว
กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปเกือบหกนาที และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็จัดการบัญชีเรียบร้อย ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น "หยินอู้" เสียงผู้ชายที่คุ้นเคยคนหนึ่งดังขึ้น หลังจากตระหนักได้ว่าเป็นเสียงของใคร โจวชวงชวงก็แทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่มือใหญ่ของเผยจ้าวเหิงก็พุ่งเข้ามาปิดปากของเธอไว้ ดวงตาของโจวชวงชวงเบิกกว้าง เธอต้องการผลักเขาออกไป แต่เผยจ้าวเหิงจับไหล่ของเธอไว้ จากนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเธอ: "อย่าเพิ่งพูด" โจวชวงชวงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนอีก จากนั้นเสียงของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง “ฉันบอกว่าอยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพักไม่ใช่เหรอ? ฉันหาคนมากินข้าวด้วย นายก็มายุ่ง ตอนนี้ฉันจะอาบน้ำ นายก็ยังจะมายุ่งอีกหรอ?” ในขณะที่พูด เสิ่นหยินอู้ก็วางโทรศัพท์ไว้บนชั้นวางข้างๆ พร้อมกับถอดเสื้อผ้าของตัวเองและไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว ข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า: "ไปอาบน้ำโอเค งั้นเธออาบน้ำก่อน ผมจะรอเธอที่ข้างนอก" เสิ่นหยินอู้มองที่ชั้นวางแล้วพูดว่า "ฉันลืมหยิบเสื้อผ้ามา นายช่วยไปหยิบเสื้อผ้าฉันจากกระเป๋าเดินทางมาให้หน่อย" "โอเค เดี๋ยวผมไปเอามาให้"
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ