เมื่อเห็นว่าเธอเข้าใจผิดว่าหยินอู้และโม่ไป๋เป็นแฟนกัน เสิ่นหยินอู้ก็ขี้เกียจเกินกว่าอธิบายอะไรเพิ่มในเวลานี้ ดังนั้นเธอจึงยอมรับไปตามน้ำ: "ฉันทะเลาะกับเขา และฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา ดังนั้นขอร้องเถอะค่ะ ถือซะว่ามันเป็นการช่วยฉันระบายความโกรธ ได้ไหมคะ?” เสิ่นหยินอู้ก้าวไปข้างหน้าและกอดแขนของพนักงานสาวคนนั้น โดยหวังว่าเธอจะช่วยตนเองได้ เมื่อถูกเธอร้องขอเช่นนี้ พนักงานสาวก็ใจอ่อนมาก ในที่สุดเธอจึงทำได้เพียงพูดว่า "งั้น งั้นฉันไปขออนุญาตผู้จัดการก่อนนะคะ ถ้าผู้จัดการยินยอม..." “ได้ค่ะ ถ้าผู้จัดการไม่ยอม คุณโทรมาหาฉันนะคะ เดี๋ยวฉันจัดการคุยให้” พนักงานหญิงยิ้มให้เธอแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรออก เสิ่นหยินอู้ยิ้ม: "ฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ เสร็จแล้วเป็นยังไงบอกฉันด้วยนะคะ" "ได้ค่ะ" หลังจากเข้าไปในห้องน้ำแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รีบหยิบซิมการ์ดออกมาเปลี่ยน เธอไม่มีเข็มสำหรับจิ้มที่ใส่ซิม แต่โชคดีที่ในตอนที่เธอออกไปข้างนอกในวันนี้ เธอไม่ได้แต่งหน้า แต่สวมต่างหูคู่หนึ่งให้ตัวเองเพื่อเสริมลุค มันมีประโยชน์เพื่อการนี้พอดี หัวใจของเสิ่นหยินอู้เต้นรัวในขณะที่เธอกำลังเปลี่ยนซิมการ์ด และเธอก็
ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ สายตาที่ฝั่งผู้ชายมองไปยังผู้หญิงนั้นดูหมดหนทางเล็กน้อย แต่ฝั่งผู้หญิงกลับเอามือกอดอกไว้ ราวกับว่าเธอไม่อยากพูดคุยอะไรกับเขาต่อ คงจะเป็นการทะเลาะกัน ผู้ชายน่าจะเป็นต้นเหตุ และในตอนนี้ก็กำลังขอโทษอยู่สินะ? วินาทีต่อมา เสิ่นหยินอู้ก็หัวเราะเยาะออกมา “นายยินดีอยู่เป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันอยากให้นายมาอยู่เป็นเพื่อนหรอ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โม่ไป๋ น้ำเสียงของเธอเย็นชามาก: "นายคงไม่ได้ไม่รู้ว่านายทำอะไรลงไปใช่ไหม? นายยังคิดว่าฉันจะกินข้าวด้วยกันกับนายได้อย่างสงบสุขหรอ? งั้นฉันพูดไว้ก่อนเลย ถ้านายยังไม่ส่งฉันกลับไป จากนี้ไปฉันจะหาคนอื่นมากินข้าวด้วยกันกับฉันแทน ต่อให้จะเป็นคนแปลกหน้าตามถนน ฉันก็จะไปหามาแทนนาย” คำพูดของเธอแทงเข้าไปในหัวใจของโม่ไป๋ราวกับดาบที่คมกริบ หากพนักงานสามารถเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ในเวลานี้ เธอคงคิดว่าสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดนั้นรุนแรงเกินไป แต่น่าเสียดายที่พนักงานหญิงคนนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย หลังจากที่เธอพูดจบ โม่ไป๋ก็ไม่พูดอะไร แต่เขากลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน ราวกับว่าเขาไม่สบายใจเสิ่นหยินอู้เปิด
โม่ไป๋ยืนนิ่งและจ้องเธอเขม็ง “ไม่ต้องขนาดนั้น หยินอู้ กินข้าวด้วยได้นะ” “ไม่ ตอนนี้ฉันไม่อยากกินแล้ว” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็นอนลงบนโซฟา หลับตา ท่าทางของเธอดูเหมือนว่าเธอไม่คิดที่จะสนทนาต่อ เห็นได้ชัดว่าพนักงานหญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการสนทนาของพวกเขาจะไม่เป็นผล และตอนนี้หญิงสาวก็ไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว แปลกจริงๆ…… ในระหว่างการสนทนา ผู้ชายคนนี้อ่อนโยนมากเลยแท้ๆ แล้วทำไมเขาถึงยังทำไม่สำเร็จล่ะ? แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่อยากทานต่อ เธอจึงลุกขึ้นยืน “งั้นฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ เชิญคุยกันตามสบายค่ะ” หลังจากพูดจบพนักงานสาวก็ทำท่ากำลังเดินออกไป “รอเดี๋ยว” โม่ไป๋หยุดเธอ จากนั้น โม่ไป๋ก็เดินไปตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ เขามองดวงตาที่ปิดอยู่ของเธอแล้วพูดเบาๆว่า : "ขอโทษที ผมระแวงมากเกินไป ผมไม่ควรสงสัยเธอ เรื่องเมื่อกี้ผมผิดเอง ลุกขึ้นมากินข้าวได้ไหม? " น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพูดไปมากเพียงใด และไม่ว่าน้ำเสียงของเขาจะนุ่มนวลเพียงใด เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับศพ เธอไม่คิดที่จะสนใจเขาเลย “หยินอู้?” เสิ่นหยินอู้ยังคงนอนนิ่งอยู่ “
เสิ่นหยินอู้พูดแทรกเธอ “สิ่งที่ฉันจะพูดตอนนี้ เธอจำไว้ให้หมดนะ แล้วก็อย่าแทรกฉัน” เธอไม่ค่อยพูดกับชวงชวงด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ ชวงชวงจึงตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องนี้ในทันที จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความจริงจัง "โอเค" เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เปิดแอปบันทึกเสียงในโทรศัพท์ของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้เธอพลาดหรือลืมสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูด "ฟังให้ดีนะ พิกัดของฉันในตอนนี้คือที่ประเทศM เป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่ใช้เวลาขับรถจากสนามบินที่อยู่ใกล้ๆประมาณ20นาที มีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด24ชั่วโมงอยู่สองร้านที่หน้าประตู ฉันอยู่บนชั้น16 แต่ฉันคงจะไม่ได้อยู่ที่นี่นาน มีคนเฝ้าประตูอยู่สองสามคน อาจจะต้องย้ายที่อยู่ในตอนเย็น แต่ฉันจะพยายามหาทางอยู่ที่นี่ให้ได้นานที่สุด ถ้าฉันยื้อไว้ไม่ได้แล้วถูกพาตัวไป ฉันจะหาทางติดต่อเธอไปอีกครั้ง” เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวชวงชวงก็สับสน เธอถูกลักพาตัวงั้นเหรอ? ในเวลานี้ เจ้านายของเธอมาหาเธอพอดี เมื่อเขาเห็นเธอคุยโทรศัพท์อยู่ เขาก็หันหลังกลับและเดินไป คิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยกลับมาหาเธอ "เฮ้ๆๆ" โจวชวงชวงตะโกนเรียกเขาในทันที ให้เขาเดินเข้ามา เผยจ้าวเหิงซึ่งโจวชวงซว
กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปเกือบหกนาที และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็จัดการบัญชีเรียบร้อย ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น "หยินอู้" เสียงผู้ชายที่คุ้นเคยคนหนึ่งดังขึ้น หลังจากตระหนักได้ว่าเป็นเสียงของใคร โจวชวงชวงก็แทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่มือใหญ่ของเผยจ้าวเหิงก็พุ่งเข้ามาปิดปากของเธอไว้ ดวงตาของโจวชวงชวงเบิกกว้าง เธอต้องการผลักเขาออกไป แต่เผยจ้าวเหิงจับไหล่ของเธอไว้ จากนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเธอ: "อย่าเพิ่งพูด" โจวชวงชวงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนอีก จากนั้นเสียงของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง “ฉันบอกว่าอยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพักไม่ใช่เหรอ? ฉันหาคนมากินข้าวด้วย นายก็มายุ่ง ตอนนี้ฉันจะอาบน้ำ นายก็ยังจะมายุ่งอีกหรอ?” ในขณะที่พูด เสิ่นหยินอู้ก็วางโทรศัพท์ไว้บนชั้นวางข้างๆ พร้อมกับถอดเสื้อผ้าของตัวเองและไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว ข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า: "ไปอาบน้ำโอเค งั้นเธออาบน้ำก่อน ผมจะรอเธอที่ข้างนอก" เสิ่นหยินอู้มองที่ชั้นวางแล้วพูดว่า "ฉันลืมหยิบเสื้อผ้ามา นายช่วยไปหยิบเสื้อผ้าฉันจากกระเป๋าเดินทางมาให้หน่อย" "โอเค เดี๋ยวผมไปเอามาให้"
เผยจ้าวเหิง: "..." เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะกดเข้าไปซื้อตั๋วจริงๆ เผยจ้าวเหิงก็ยกมือขึ้นมาขวางเธอไว้อย่างพูดไม่ออก “ตอนที่คุณวู่วาม คุณจะสงบสติอารมณ์ลงก่อนแล้วใช้สมองสักหน่อยไม่ได้หรอ?” โจวชวงชวงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับคำพูดของเขา “คุณก็บอกว่าฉันวู่วาม แล้วฉันจะสงบสติอารมณ์ได้ยังไง?” เผยจ้าวเหิงไม่ได้เถียงกับเธอต่อ แต่กลับเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับเรื่องนี้แทน “ไม่ต้องซื้อตั๋ว แจ้งตำรวจแทน” แจ้งตำรวจเหรอ? “ไม่ได้! อย่าแจ้งตำรวจ!” โจวชวงซวงกดมือของเขาที่กำลังจะโทรหาตำรวจเอาไว้ เผยจ้าวเหิงมองดูเธอ “คุณไม่ได้ฟังที่หยินอู้พูดเหรอ? เธอไม่ให้เราแจ้งตำรวจ” “แต่เธอถูกลักพาตัว โจวชวงชวง นี่มันผิดกฎหมายนะ” “ฉันรู้” โจวชวงชวงกัดริมฝีปากล่าง: “ใครจะไม่รู้ว่านี่มันผิดกฎหมาย แต่ห้าปีที่ผ่านมาโม่ไป๋ก็ช่วยเธอแล้วก็ดูแลเธอมาโดยตลอดนะ ตอนนี้ที่โม่ไป๋ทำแบบนี้ มันคงมีความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่างแน่ๆ เธอไม่ให้ฉันโทรแจ้งตำรวจ เธอคงจะมีวิธีของเธออยู่” เผยจ้าวเหิงมองเธอเงียบๆ โจวชวงชวงพูดต่อว่า: "คนเราน่ะต้องมีเมตตากันบ้าง แล้วก็ต้องให้โอกาสคนอื่นในการกลับตัวกลับใจไม่ใช่หรอ?" หลังจากสบต
จนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่อง โจวชวงชวงก็ยังโทรหาฉินเย่ไม่ติดเลย “ฉันหมดคำจะพูดจริงๆ หยินอู้ชอบผู้ชายแบบนี้ไปได้ยังไง แล้วยังมาให้ฉันช่วยบอกเขา ฉันว่าถ้าเธอกับโม่ไป๋คบด้วยกัน อย่างน้อยโม่ไป๋คงไม่มีทางที่จะไม่รับโทรศัพท์” เนื่องจากในตอนนี้หยินอู้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย อารมณ์ของโจวชวงชวงจึงซับซ้อนเป็นพิเศษ ในขณะที่โทรหาฉินเย่ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่รับสายเลย ในตอนนี้ชวงชวงจึงแทบจะอยากดุด่าฉินเย่แบบสาดเสียเทเสีย ถึงขั้นคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับหยินอู้ เผยจ้าวเหิงที่ทำงานด้วยกันกับเธอมาหลายปีไม่เคยเห็นเธอสติแตกขนาดนี้มาก่อน “ใจเย็นๆลงหน่อยได้ไหม อาจจะมีเหตุผลที่เขาไม่รับสาย” “เหตุผลอะไรล่ะ? โทรไปตั้งหลายครั้งแต่ไม่มีใครรับสาย ถึงจะยุ่งแค่ไหนแต่ก็คงไม่ถึงขั้นรับสายไม่ได้เลยสักครั้งเดียวหรอกนะ ผู้ชายแบบนี้เชื่อถือไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าฉันเจอหยินอู้ ฉันจะบอกเธอ”ริมฝีปากบางของเผยจ้าวเหิงขยับ เขาคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดนั้น ในขณะนี้ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไร ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ตกอยู่ในอันตรายก็เป็นถึงเพื่อนรักของเธอ ไม่ว่าเขาจะสงสารแค่ไหน เขา
หลังจากที่เขาจากไป เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนนี้เป็นไปได้สองทาง ทางหนึ่งคือโม่ไป๋ยังไม่รู้เรื่องซิมการ์ด คงจะแค่คิดว่าเธอจงใจก่อปัญหาให้เขา และจะทำจนกว่าเขาจะส่งเธอกลับจีนถึงจะหยุด อีกทางหนึ่งคือโม่ไป๋รู้เรื่องซิมการ์ดแล้ว แต่เพียงว่าเป็นเพราะเธออยู่ในห้องน้ำ เขาจึงเข้ามาไม่ได้ ท้ายที่สุดเขาก็อยู่ด้านนอก แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าที่เธอบอกว่าจะแช่น้ำนั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่กล้าเปิดประตูเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าเขาจะตามจีบเธอมาห้าปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ล้ำเส้นเลย ในด้านนี้ โม่ไป๋ก็ให้เกียรติเธอเป็นอย่างมาก คนสองคนที่เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เหตุใดจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะจุ่มหน้าของเธอลงไปในน้ำเพื่อให้หัวของเธอโล่งขึ้นมาสักนิด เธออยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดมากมาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเธอติดต่อกับโจวชวงชวงได้ เธอจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อจากนี้ คงจะมีศึกหนักทีที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื่องจากเธอต้องยื้อเวลา เสิ่นหยินอู้แช่น้ำไปจนกระทั่งอุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น แต่เธอก็ยังไม่ลุกขึ
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี