จนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่อง โจวชวงชวงก็ยังโทรหาฉินเย่ไม่ติดเลย “ฉันหมดคำจะพูดจริงๆ หยินอู้ชอบผู้ชายแบบนี้ไปได้ยังไง แล้วยังมาให้ฉันช่วยบอกเขา ฉันว่าถ้าเธอกับโม่ไป๋คบด้วยกัน อย่างน้อยโม่ไป๋คงไม่มีทางที่จะไม่รับโทรศัพท์” เนื่องจากในตอนนี้หยินอู้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย อารมณ์ของโจวชวงชวงจึงซับซ้อนเป็นพิเศษ ในขณะที่โทรหาฉินเย่ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่รับสายเลย ในตอนนี้ชวงชวงจึงแทบจะอยากดุด่าฉินเย่แบบสาดเสียเทเสีย ถึงขั้นคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับหยินอู้ เผยจ้าวเหิงที่ทำงานด้วยกันกับเธอมาหลายปีไม่เคยเห็นเธอสติแตกขนาดนี้มาก่อน “ใจเย็นๆลงหน่อยได้ไหม อาจจะมีเหตุผลที่เขาไม่รับสาย” “เหตุผลอะไรล่ะ? โทรไปตั้งหลายครั้งแต่ไม่มีใครรับสาย ถึงจะยุ่งแค่ไหนแต่ก็คงไม่ถึงขั้นรับสายไม่ได้เลยสักครั้งเดียวหรอกนะ ผู้ชายแบบนี้เชื่อถือไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าฉันเจอหยินอู้ ฉันจะบอกเธอ”ริมฝีปากบางของเผยจ้าวเหิงขยับ เขาคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดนั้น ในขณะนี้ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไร ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ตกอยู่ในอันตรายก็เป็นถึงเพื่อนรักของเธอ ไม่ว่าเขาจะสงสารแค่ไหน เขา
หลังจากที่เขาจากไป เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนนี้เป็นไปได้สองทาง ทางหนึ่งคือโม่ไป๋ยังไม่รู้เรื่องซิมการ์ด คงจะแค่คิดว่าเธอจงใจก่อปัญหาให้เขา และจะทำจนกว่าเขาจะส่งเธอกลับจีนถึงจะหยุด อีกทางหนึ่งคือโม่ไป๋รู้เรื่องซิมการ์ดแล้ว แต่เพียงว่าเป็นเพราะเธออยู่ในห้องน้ำ เขาจึงเข้ามาไม่ได้ ท้ายที่สุดเขาก็อยู่ด้านนอก แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าที่เธอบอกว่าจะแช่น้ำนั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่กล้าเปิดประตูเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าเขาจะตามจีบเธอมาห้าปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ล้ำเส้นเลย ในด้านนี้ โม่ไป๋ก็ให้เกียรติเธอเป็นอย่างมาก คนสองคนที่เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เหตุใดจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะจุ่มหน้าของเธอลงไปในน้ำเพื่อให้หัวของเธอโล่งขึ้นมาสักนิด เธออยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดมากมาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเธอติดต่อกับโจวชวงชวงได้ เธอจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อจากนี้ คงจะมีศึกหนักทีที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื่องจากเธอต้องยื้อเวลา เสิ่นหยินอู้แช่น้ำไปจนกระทั่งอุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น แต่เธอก็ยังไม่ลุกขึ
หลังจากที่เสิ่นหยินอู้เป่าผมเสร็จแล้ว เธอก็นอนพักผ่อน อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาในร่างกายเธอยังไม่หมด เมื่อเธอนอนลงจึงผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอได้สติ เธอก็ได้ยินบทสนทนาเล็กๆน้อยๆดังมาจากด้านนอก “ประธานโม่ คุณหนูเสิ่นยังไม่ตื่นเหรอครับ?” "อืม" “แต่รถของเราพร้อมแล้ว เราต้องออกเดินทางกันแล้วนะครับ” โม่ไป๋มองไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่และเม้มริมฝีปากบาง: "เธอเหนื่อย ให้เธอนอนอีกสักพักเถอะ" “แต่ประธานโม่…” ผู้ช่วยเฉินดูเหมือนลังเลเล็กน้อย แต่จู่ๆเสียงของโม่ไป๋กลับเย็นชาขึ้นมา “ผมบอกว่าให้เธอนอนอีกสักพัก ไม่เข้าใจเหรอ? ต้องให้ผมพูดซ้ำไหม?” จู่ๆเขาก็โมโห ผู้ช่วยเฉินก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก และทำได้เพียงพยักหน้า "เข้าใจแล้วครับ" ผู้ช่วยเฉินเดินออกไป พูดกับคนที่อยู่ข้างนอกไม่กี่ประโยค จากนั้นจึงเฝ้าอยู่ด้านนอก ในความเป็นจริง เขาต้องการจะเตือนโม่ไป๋ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว และคุณหนูเสิ่นก็ได้พบกับคนอื่นในระหว่างนี้ คนเหล่านั้นไม่ใช่คนของพวกเขา ซึ่งมันควบคุมได้ยาก ถ้าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น มันจะจัดการยาก แม้ว่าเขาจะคิดว่าโม่ไป๋บ้า แต่เรื่องทุกอย่
ขณะเสิ่นหยินอู้เปิดประตูออกไป เสียงประตูก็ดังขึ้น พวกเขาหันกลับมาและสบตาเข้ากับเธอภาพตรงหน้านี้ทำให้หัวใจของเสิ่นหยินอู้แทบจะสลาย เธอรีบพุ่งเข้าไปด้านหน้าแล้วถามว่า "พวกคุณทำอะไรกับลูกๆของฉัน?" ผู้ช่วยเฉินไม่คาดไม่ถึงว่าเสิ่นหยินอู้จะเห็นเขาในขณะที่เขากำลังทำอะไรเช่นนี้ เดิมทีเขารอเธอมาเกือบสองชั่วโมง เธอก็ยังไม่ตื่น ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะพาเด็กๆทั้งสองคนออกจากห้องไปก่อน เมื่อเสิ่นหยินอู้ตื่นขึ้นมา แม้ว่าเธอจะไม่ยินยอมที่จะไป แต่เพื่อเด็กๆแล้ว เธอก็จะทำได้เพียงต้องจำใจออกไปกับพวกเขาอย่างโดยดี คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะตื่นมาในเวลานี้ “คุณหนูเสิ่น คุณกำลังเข้าใจผิด... คุณฟังผมอธิบายก่อน” “เข้าใจผิดเหรอ? เข้าใจผิดแบบไหนกันที่ทำให้คุณต้องแอบเข้ามาพาลูกๆของฉันออกไป?” ขณะที่พูด เสิ่นหยินอู้ก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้าลูกหนึ่งคนในนั้นมา จากนั้นจึงเดินไปที่ด้านหน้าอีกคนหนึ่ง: "พาลูกของฉันกลับไปที่เดิม!" ชายคนนั้นมองผู้ช่วยเฉินด้วยความลังเล เมื่อเห็นผู้ช่วยเฉินพยักหน้า เขาก็วางเสิ่นซือเหนียนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากลับลงไปบนเตียง เสิ่นหยินอู้อุ้มลูกไว้และถอยกลับไป จากนั้นจึงไล่เขาออกไป ผ
หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยสองคนกลับเข้าไปในห้อง เธอก็ล็อคประตูห้อง เธอรู้ดีว่าเธอคงจะไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้เป็นเวลานาน เมื่อเห็นวิธีที่ผู้ช่วยเฉินทำเมื่อครู่นี้ เรื่องซิมการ์ดคงแดงขึ้นมาแล้ว แต่แค่เขายังไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจนก็เท่านั้น แต่หลังจากผ่านปัญหาเมื่อครู่นี้มา เด็กน้อยทั้งสองก็ตื่นขึ้นแล้ว พวกเขาขยี้ตาแล้วมองเธอ “หม่ามี๊ เมื่อกี้พวกหม่ามี๊คุยอะไรกันหรอคะ?” เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเธอเบาๆ : "ตื่นแล้วเหรอ? หิวไหม อีกเดี๋ยวลุงโม่ไป๋มา เราค่อยให้เขาช่วยหาร้านไอศกรีมแบบที่มีที่จีนให้นะ โอเคไหม?" ในตอนแรกพวกเขาทั้งสองไม่ได้คิดถึงไอศกรีม แต่เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดถึงมันขึ้นมา ความตะกละในท้องของเด็กน้อยก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาในทันที "ได้ค่า" ไม่นานหลังจากที่เธอพูดจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “หยินอู้” เสียงของโม่ไป๋ดังขึ้นจากที่ด้านนอกประตู จากนั้นเขาก็เปิดประตูและเดินเข้ามา “ลุงโม่ไป๋” เนื่องจากเธอยังคงคิดถึงเรื่องการกิน เสิ่นเหมิงเหมิงจึงประจบประแจงเป็นพิเศษ ทันทีที่เธอเห็นโม่ไป๋ เธอก็อ้าแขนออกเพื่อจะกอดเขาทันที โม่ไป๋ก้าวไปข้างหน้าและอุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขนของเข
โม่ไป๋ยืนอยู่เงียบๆ อาจเป็นเพราะสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ที่คิดจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมากับเขา เขาเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อยแล้วมองเสิ่นหยินอู้ด้วยสายตาที่หมดหวังเป็นอย่างมาก “แล้วถ้าไม่ส่งกลับไปล่ะ?” เสิ่นหยินอู้กระตุกริมฝีปากด้วยความเย้ยหยัน: "ถ้าไม่ งั้นจากนี้ไปเราก็ไม่ใช่เพื่อนกันอีก แล้วก็... นายจะทำให้เด็กๆทั้งสองผิดหวัง" เสิ่นซือเหนียนค่อนข้างเข้าใจอะไรง่าย เขาเพียงได้ยินเสิ่นหยินอู้พูด แล้วก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก แต่เหมิงเหมิงสดใสอยู่ไม่นิ่ง และยังขี้สงสัยเป็นอย่างมาก หลังจากได้ยินเธอพูดเช่นนี้ สมองเล็กๆของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัย “ลุงโม่ไป๋ทะเลาะกับหม่ามี๊เหรอคะ? อย่าทะเลาะกันสิคะ เหมิงเหมิงกลัว” เสียงที่นุ่มนวลของเด็กสาวตัวเล็กๆแทรกซึมเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของโม่ไป๋ราวกับสายไหม ความดื้อรั้นในส่วนลึกของจิตใจโม่ไป๋ก็อ่อนลงเล็กน้อย “วางเหมิงเหมิงลงแล้วให้เธอกลับมาหาฉัน” ในขณะที่โม่ไป๋กำลังจะปลอบเด็กสาวตัวน้อย จู่ๆเสิ่นหยินอู้กลับเรียกร้องความต้องการของเธอจากโม่ไป๋ ในขณะนี้ มือของโม่ไป๋ยังคงวางอยู่บนหลังของเด็กสาวตัวน้อย เขาพูดเบาๆว่า : "หยิ
ทุกคนต่างก็ยืนนิ่งไม่ไปไหนอยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลาหลายนาที ที่จริงแล้วผู้ช่วยเฉินกังวลว่าเสิ่นหยินอู้จะต่อต้านอีก อย่างไรเสีย...หากเขาขวางเธอไว้อีก คนที่จะได้รับบาดเจ็บก็จะมีแต่พวกเขาเท่านั้น พวกเขาทำได้เพียงขวางเธอไว้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำร้ายเธอได้ โชคดีที่เสิ่นหยินอู้ไม่ใช่ผู้หญิงวิปลาสเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นถ้าเธออาละวาดใส่พวกเขา พวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บมากมายหลายที่ ผู้ช่วยเฉินมองไปที่เสิ่นหยินอู้อย่างช่วยไม่ได้ และพูดเชิงโน้มน้าว: "คุณหนูเสิ่น ไม่มีแย่ที่จะตามประธานโม่ไป คุณน่าจะได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วในช่วงห้าปีที่ผ่านมาว่าประธานโม่มีเพียงแค่คุณคนเดียวที่อยู่ในใจและสายตาของเขา เขาจะไม่มีทางไปชอบคนอื่น และจะปฏิบัติต่อคุณอย่างดีในไปตลอดชีวิต” “แล้วไงล่ะ? เพราะเขาดีกับฉัน ฉันเลยต้องเลือกเขาเหรอ? แล้วอิสระของฉันล่ะ?” “สรุปแล้ว ตอนนี้คุณควรจะคิดดูให้รอบคอบกว่านี้ ผมรู้จักประธานโม่ดี สิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้วจะไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ ถ้าคุณยังสร้างปัญหาอีก มันจะยิ่งเป็นการกระตุ้นประธานโม่” หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่คนสองคนที่มีสีหน้าเรียบเฉยซึ่งอยู่ข้างๆ จากนั้นก็เข้าไปใกล้ๆเสิ่นหยิน
ผู้ช่วยเฉินพูดด้วยเสียงเบาๆว่า : "คุณหนูเสิ่น เมื่อกี้ผมติดต่อประธานโม่ได้แล้ว เขาพาเหมิงเหมิงไปซื้อไอศกรีมเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของเรา ถ้าเราออกเดินทางตอนนี้ เราน่าจะถึงช้ากว่าเขาประมาณสิบนาที ” ขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอกไปแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับยื้อเวลาไว้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เหมิงเหมิงยังอยู่กับเธออยู่เลย แต่เพราะความประมาทเลิ่นเล่อของเธอทำให้เธอต้องเสียเหมิงเหมิงไป เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอย่างหนักอยู่ในใจ หากตอนนั้นเธอไม่ยินยอมให้ซื้อไอศกรีมก็คงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น “คุณหนูเสิ่น” ผู้ช่วยเฉินยังคงรอเธออยู่ เมื่อเขาเห็นว่าเธอจมอยู่ในภวังค์ ไม่ตอบเขากลับ เขาจึงเร่งเธอ: "เราต้องไปแล้วครับ ถ้าช้ากว่านี้เราจะตามประธานโม่ไปไม่ทัน" เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งและพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร “เข้าใจแล้ว ฉันขอไปเก็บของก่อน” “ได้ครับ งั้นเราจะไปรอคุณหนูเสิ่นที่ด้านนอก ไม่เกินห้านาทีนะครับ” หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินออกไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พาเสิ่นซือเหนียนกลับมาที่ห้องเพื่อเก็บของ จากนั้นเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอก็หยิบเสื้อผ้าตัวหนึ่งออกจากกระเป๋าเดินทางมาแขวนไว้
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี