ผู้ช่วยเฉินพูดด้วยเสียงเบาๆว่า : "คุณหนูเสิ่น เมื่อกี้ผมติดต่อประธานโม่ได้แล้ว เขาพาเหมิงเหมิงไปซื้อไอศกรีมเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของเรา ถ้าเราออกเดินทางตอนนี้ เราน่าจะถึงช้ากว่าเขาประมาณสิบนาที ” ขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอกไปแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับยื้อเวลาไว้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เหมิงเหมิงยังอยู่กับเธออยู่เลย แต่เพราะความประมาทเลิ่นเล่อของเธอทำให้เธอต้องเสียเหมิงเหมิงไป เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอย่างหนักอยู่ในใจ หากตอนนั้นเธอไม่ยินยอมให้ซื้อไอศกรีมก็คงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น “คุณหนูเสิ่น” ผู้ช่วยเฉินยังคงรอเธออยู่ เมื่อเขาเห็นว่าเธอจมอยู่ในภวังค์ ไม่ตอบเขากลับ เขาจึงเร่งเธอ: "เราต้องไปแล้วครับ ถ้าช้ากว่านี้เราจะตามประธานโม่ไปไม่ทัน" เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งและพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร “เข้าใจแล้ว ฉันขอไปเก็บของก่อน” “ได้ครับ งั้นเราจะไปรอคุณหนูเสิ่นที่ด้านนอก ไม่เกินห้านาทีนะครับ” หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินออกไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พาเสิ่นซือเหนียนกลับมาที่ห้องเพื่อเก็บของ จากนั้นเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอก็หยิบเสื้อผ้าตัวหนึ่งออกจากกระเป๋าเดินทางมาแขวนไว้
การเดินทางครึ่งแรกราบรื่นดีมาก แต่หลังจากนั้นถนนหนทางก็เริ่มเป็นหลุมเป็นบ่อและคดเคี้ยวขึ้น ในตอนแรกเสิ่นหยินอู้ยังพอทนได้ แต่หลังจากผ่านไปสิบนาที เธอก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เหนียนเหนียนซบอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเช่นกัน แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ธอก็ยังดูแลเหนียนเหนียนโดยการนวดขมับให้ พร้อมกับถามด้วยเสียงนุ่มๆว่า "รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?" อย่างไรก็ตาม เหนียนเหนียนทรมานมากจนพูดไม่ออก เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงพูดกับคนที่อยู่ด้านหน้า: "คุณช่วยขับช้าลงหน่อยได้ไหม ลูกของฉันรู้สึกไม่ดีมากๆ" เนื่องจากพวกเขากำลังรีบ ถึงแม้ถนนจะเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่ความเร็วของรถก็ไม่สามารถช้าลงได้มากนัก พวกเขาเสียเวลาไปมาก ผู้ช่วยเฉินก็เป็นกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่เมื่อหันกลับไปเห็นเด็กน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นหยินอู้ และเสิ่นหยินอู้ก็อยู่ในสภาพที่หน้าซีดเผือกแต่กลับยังพยายามฝืนอดทนไว้ เขาจึงขอให้คนขับชะลอความเร็วรถลง หลังจากที่รถชะลอความเร็วลง รถก็ขับได้อย่างราบรื่นมากขึ้น สถานการณ์จึงดีขึ้นเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้อดทนกับความรู้สึกคลื่นไส้ที่โถ
"หมายความว่าไง?" คำพูดของเขาทำให้เสิ่นหยินอู้สงสัยมากยิ่งขึ้น “คุณหนูเสิ่นรู้เรื่องครอบครัวของประธานโม่หรือเปล่าครับ?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน ตอนที่ยังเด็ก เธอเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงพ่อของโม่ไป๋ว่าเป็นผู้ชายเสเพลที่ละเลยลูกและภรรยาของเขา เขามักจะไปมีชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอก ถึงขั้นมีเรื่องอื้อฉาวกับเด็กสาววัยรุ่น คนที่ด่าพ่อคนนี้มีไม่น้อยเลย แต่ก็มีคนที่พูดแก้ต่างแทนเขาด้วยเช่นกัน “คนรวยก็เป็นแบบนี้หมดทุกคนไม่ใช่เหรอ? พวกเขามีตำแหน่ง มีสถานะ พวกเขาก็แค่ออกไปข้างนอกเพื่อหาความสนุกให้กับชีวิตเท่านั้นเอง พอเบื่อแล้วเดี๋ยวก็กลับบ้านเอง ไม่มีทางมีปัญหาใหญ่อะไรหรอก” คนๆนั้นพูดจนทำให้ผู้ชายทุกคนไร้ค่า แต่เสิ่นหยินอู้รู้ดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนพ่อของโม่ไป๋ ตัวอย่างเช่นพ่อของเธอ หลังจากที่แม่ของเธอจากไป เขาก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด สาเหตุที่เขาไม่แต่งงานใหม่ไม่เพียงแต่เพื่อเธอ แต่ยังเป็นเพราะเขารักแม่ของเธออย่างสุดใจ แม้ว่าคนที่รักเขาอย่างสุดใจจะไม่ได้อยู่ข้างๆ แล้วเขาก็ยังสามารถรักษาจุดยืนของตัวเองไว้ได้ แล้วทำไมผู้ชายคนอื่นจะทำไม่ได้ล่ะ? นอกเสียจา
ในตอนแรกเสิ่นหยินอู้ได้ยินคำพูดแย่ๆ ดังนั้นเธอจึงคิดจะออกไปโต้แย้งเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงพวกนี้จะเอาเรื่องครอบครัวเธอมาโจมตีเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างแล้วจ้องมองพวกเธอ: "พวกเธอพูดว่าอะไรนะ?" “ทำไมหรอ เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? แต่คงจะมีแค่คนที่มีปัญหาในครอบครัวแบบเธอเท่านั้นแหละที่จะเห็นใจคนอย่างโม่ไป๋ ก็พวกตัวประหลาดอะเนอะ เข้ากับใครไม่ได้” “นี่ คุณหนูเสิ่น ถ้าเธอกับโม่ไป๋คบกัน ใครจะเป็นคนมีชู้ก่อนหรอ?” เสิ่นหยินอู้ถึงขีดจำกัด เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะที่เธอคิดที่จะไปต่อล้อต่อเถียงกับพวกเธอ ที่ด้านหลังเธอก็มีเสียงที่ดังกระหึ่มดังขึ้นมา เธอตกใจจนหันกลับไปมอง พบว่ามีถังขยะของโรงเรียนถูกใครบางคนตีจนแตกเป็นรูขนาดยักษ์ คนที่ทำคือโม่ไป๋ที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ ชายหนุ่มยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเย็นชา สายตาที่เย็นชาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ย้ายไปมองที่ผู้หญิงที่พูดจาพล่อยๆเมื่อครู่นี้ จากนั้นรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับความหล่อของเขาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ถ้าอยากรู้มากขนาดนี้ มาถามจากหมัดของผมดีกว่าไหม?” "ประสาทแล้ว" ผู้หญิงพวกนั้นต่างก็ตกใจกลัวกับท่าทางของเ
เมื่อเสิ่นหยินอู้ได้ยิน เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้ไม่เหมาะสมที่จะให้เหนียนเหนียนฟัง เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็พยักหน้า “ได้ค่ะ งั้นถ้าคุณมีโอกาสก็มาหาฉันนะคะ” “ได้เลยครับคุณหนูเสิ่น” เมื่อเดินผ่านทางเดินที่ยาวไกล ไม่นานพวกเขาก็ใกล้ที่จะถึงภายในตัวคฤหาสน์ จากที่ไกลๆ เสิ่นหยินอู้เห็นโม่ไป๋ยืนจูงมือเล็กๆของเหมิงเหมิงรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ๆ โม่ไป๋ทำท่าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนทั้งนั้น “มาแล้วเหรอ? ระหว่างทางเมารถหรือเปล่า? สีหน้าดูไม่ดีเลย” โม่ไป๋จ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอและแสดงความเป็นห่วงออกมา เขากักขังเธออยู่แท้ๆ แต่กลับแสร้งทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้ทำอะไร ซึ่งมันทำให้เสิ่นหยินอู้โกรธมากจริงๆ เมื่อเธอขยับปากเธอก็ต้องการจะตอบโต้เขากลับไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก คำพูดที่ผู้ช่วยเฉินพูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตายของแม่ของเขาก็แวบขึ้นมาในหัวของเธอดังนั้นเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เธอจึงกลืนคำพูดดังกล่าวกลับลงไป เธอก้มศีรษะลงและแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูด ช่างมันเถอะ ตอบโต้กลับไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เห
สิบนาทีต่อมา ผู้ช่วยเฉินก็ออกจากห้องของเสิ่นหยินอู้ หลังจากที่เขาจากไป เสิ่นหยินอู้ก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การที่นิสัยของโม่ไป๋ยังเป็นปกติอยู่ได้นั่นแหละที่แปลก ที่แท้ในตอนนั้นคุณนายโม่ไม่เพียงแต่ฆ่าตัวตายเท่านั้น แต่เธอยังตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งอยู่ช่วงหนึ่ง เธอพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระไปเรื่อย ถึงขั้นยังวางยาพิษลูกชายแท้ๆของเธอเองอีกด้วย โม่ไป๋ถูกเธอทุบตีดุด่าจนมีรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนบนร่างกาย แต่คงเป็นเพราะสงสารแม่ของตัวเองที่ต้องมาเป็นบ้าตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจึงไม่ตอบโต้หรือส่งเสียงใดๆออกมา ต่อมาคุณปู่โม่รู้เรื่องเข้า จึงให้คนมาช่วยเขาออกมา วันที่คุณปู่พาเขาไป แม่ของโม่ไป๋ก็ฆ่าตัวตาย ในช่วงเวลานั้นตระกูลโม่ก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย คุณปู่โม่ไม่เหมือนพ่อของโม่ไป๋ เขาเข้มงวดกับธรรมเนียมของครอบครัวและให้ความสำคัญกับศีลธรรมอันดีงามของตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงยึดอำนาจของพ่อของโม่ไป๋ไปในทันที จากนั้นก็ให้โม่ไป๋ที่เพิ่งสูญเสียแม่ของเขาไปกลายเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลโม่ ส่วนเมียน้อยที่กำลังตั้งท้องอยู่และคิดที่จะบุกเข้าไปในบ้าน เดิมทีคุณปู่โม่คิดที่จ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ช่วงคิ้วถึงดวงตาของเด็กสาวตัวน้อยคนนี้คล้ายกับของโม่ไป๋มาก ถ้าดูจากภายนอก ถ้าบอกคนอื่นว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันก็คงไม่มีใครสงสัยเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่เด็กสาวตัวน้อยร้องไห้ โม่ไป๋ก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เขามองดูเธอร้องไห้งอแงและหลั่งน้ำตาราวกับกำลังดูละคร เสียงร้องไห้ของเด็กนั้นน่ารำคาญเป็นอย่างมาก แต่เขากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับทำนองเพลงอะไรสักอย่างที่ไพเราะ เมื่อฟังจนพอใจแล้ว เขาก็ให้คนมาปิดปากเด็กคนนั้นแล้วลากออกไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กคนนั้นก็ไม่เคยมาหาโม่ไป๋อีกเลย เป็นเพราะเรื่องนี้ ผู้ช่วยเฉินจึงรู้สึกว่าโม่ไป๋มีอาการทางจิตอ่อนๆ อย่างน้อยในด้านจิตวิทยา เขาก็คงจะไม่ค่อยปกติสักเท่าไร เขาควรไปพบจิตแพทย์ แต่ผู้ช่วยเฉินไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเขาอาจจบเห่กับชีวิตได้หากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในตอนนี้เสิ่นหยินอู้ไม่ค่อยเข้าใจว่าโม่ไป๋กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาขังเธอไว้เพียงเพราะว่าเขาชอบเธอ หรือเพราะว่าเขาทนไม่ได้ที่เธอจะถูกแย่งไปจากเขา? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือไปบีบที่หว่างคิ้ว หากเขามีปัญหาทางจิต ถ้างั้นเรื่องก็คง
ณ สนามบิน ทันทีที่โจวชวงชวงและเผยจ้าวเหิงถึงสนามบิน พวกเขาก็รีบไปยังสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เสิ่นหยินอู้ส่งตำแหน่งมาให้พวกเขา หลังจากที่รถมาจอดที่หน้าโรงแรม โจวชวงชวงก็เริ่มมองไปที่อาคารที่เสิ่นหยินอู้พูดถึงก่อนหน้านี้ พบว่ามันตรงกันทุกอย่างจริงๆเธอถอนหายใจให้กับทักษะความช่างสังเกตที่ละเอียดอ่อนและความทรงจำที่แม่นยำของเสิ่นหยินอู้ พลางปลดเข็มขัดนิรภัย จานนั้นก็เปิดประตูรถแล้วลงจากรถ จากนั้นเธอก็กำลังจะเดินไปที่โรงแรม แต่ก็ถูกเผยจ้าวเหิงซึ่งออกมาจากรถทีหลังเธอคว้าแขนเอาไว้ “ใจเย็นๆหน่อย เราเข้าไปทั้งๆแบบนี้ไม่ได้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวชวงชวงก็เบิกตากว้าง เธอถามกลับด้วยความร้อนรน: "เวลาแบบนี้ ทำไมฉันถึงยังเข้าไปไม่ได้? หรือจะให้ฉันรออยู่ข้างนอกโดยไม่สนใจความปลอดภัยของเพื่อนรักของฉันเลยงั้นเหรอ? รอแล้วได้อะไรล่ะ? ” เผยจ้าวเหิงกวาดสายตาไปมองเธอด้วยดวงตาสีดำเข้มของเขา ต่อมาก็หรี่ตาลงแล้วมองไปที่โรงแรม จากนั้นจึงออกคำสั่ง “ผมจะเข้าไปคนเดียว” “อะไรนะ?” หัวใจของโจวชวงชวงเต้นผิดจังหวะไปครึ่งหนึ่ง “คุณรอข้อความจากผมอยู่ข้างนอก ถ้าผมไม่ออกมาหลังจากนี้ครึ่งชั่วโมง คุณก็โทรหาตำรว
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี