เมื่อเสิ่นหยินอู้ได้ยิน เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้ไม่เหมาะสมที่จะให้เหนียนเหนียนฟัง เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็พยักหน้า “ได้ค่ะ งั้นถ้าคุณมีโอกาสก็มาหาฉันนะคะ” “ได้เลยครับคุณหนูเสิ่น” เมื่อเดินผ่านทางเดินที่ยาวไกล ไม่นานพวกเขาก็ใกล้ที่จะถึงภายในตัวคฤหาสน์ จากที่ไกลๆ เสิ่นหยินอู้เห็นโม่ไป๋ยืนจูงมือเล็กๆของเหมิงเหมิงรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ๆ โม่ไป๋ทำท่าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนทั้งนั้น “มาแล้วเหรอ? ระหว่างทางเมารถหรือเปล่า? สีหน้าดูไม่ดีเลย” โม่ไป๋จ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอและแสดงความเป็นห่วงออกมา เขากักขังเธออยู่แท้ๆ แต่กลับแสร้งทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้ทำอะไร ซึ่งมันทำให้เสิ่นหยินอู้โกรธมากจริงๆ เมื่อเธอขยับปากเธอก็ต้องการจะตอบโต้เขากลับไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก คำพูดที่ผู้ช่วยเฉินพูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตายของแม่ของเขาก็แวบขึ้นมาในหัวของเธอดังนั้นเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เธอจึงกลืนคำพูดดังกล่าวกลับลงไป เธอก้มศีรษะลงและแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูด ช่างมันเถอะ ตอบโต้กลับไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เห
สิบนาทีต่อมา ผู้ช่วยเฉินก็ออกจากห้องของเสิ่นหยินอู้ หลังจากที่เขาจากไป เสิ่นหยินอู้ก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การที่นิสัยของโม่ไป๋ยังเป็นปกติอยู่ได้นั่นแหละที่แปลก ที่แท้ในตอนนั้นคุณนายโม่ไม่เพียงแต่ฆ่าตัวตายเท่านั้น แต่เธอยังตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งอยู่ช่วงหนึ่ง เธอพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระไปเรื่อย ถึงขั้นยังวางยาพิษลูกชายแท้ๆของเธอเองอีกด้วย โม่ไป๋ถูกเธอทุบตีดุด่าจนมีรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนบนร่างกาย แต่คงเป็นเพราะสงสารแม่ของตัวเองที่ต้องมาเป็นบ้าตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจึงไม่ตอบโต้หรือส่งเสียงใดๆออกมา ต่อมาคุณปู่โม่รู้เรื่องเข้า จึงให้คนมาช่วยเขาออกมา วันที่คุณปู่พาเขาไป แม่ของโม่ไป๋ก็ฆ่าตัวตาย ในช่วงเวลานั้นตระกูลโม่ก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย คุณปู่โม่ไม่เหมือนพ่อของโม่ไป๋ เขาเข้มงวดกับธรรมเนียมของครอบครัวและให้ความสำคัญกับศีลธรรมอันดีงามของตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงยึดอำนาจของพ่อของโม่ไป๋ไปในทันที จากนั้นก็ให้โม่ไป๋ที่เพิ่งสูญเสียแม่ของเขาไปกลายเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลโม่ ส่วนเมียน้อยที่กำลังตั้งท้องอยู่และคิดที่จะบุกเข้าไปในบ้าน เดิมทีคุณปู่โม่คิดที่จ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ช่วงคิ้วถึงดวงตาของเด็กสาวตัวน้อยคนนี้คล้ายกับของโม่ไป๋มาก ถ้าดูจากภายนอก ถ้าบอกคนอื่นว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันก็คงไม่มีใครสงสัยเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่เด็กสาวตัวน้อยร้องไห้ โม่ไป๋ก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เขามองดูเธอร้องไห้งอแงและหลั่งน้ำตาราวกับกำลังดูละคร เสียงร้องไห้ของเด็กนั้นน่ารำคาญเป็นอย่างมาก แต่เขากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับทำนองเพลงอะไรสักอย่างที่ไพเราะ เมื่อฟังจนพอใจแล้ว เขาก็ให้คนมาปิดปากเด็กคนนั้นแล้วลากออกไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กคนนั้นก็ไม่เคยมาหาโม่ไป๋อีกเลย เป็นเพราะเรื่องนี้ ผู้ช่วยเฉินจึงรู้สึกว่าโม่ไป๋มีอาการทางจิตอ่อนๆ อย่างน้อยในด้านจิตวิทยา เขาก็คงจะไม่ค่อยปกติสักเท่าไร เขาควรไปพบจิตแพทย์ แต่ผู้ช่วยเฉินไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเขาอาจจบเห่กับชีวิตได้หากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในตอนนี้เสิ่นหยินอู้ไม่ค่อยเข้าใจว่าโม่ไป๋กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาขังเธอไว้เพียงเพราะว่าเขาชอบเธอ หรือเพราะว่าเขาทนไม่ได้ที่เธอจะถูกแย่งไปจากเขา? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือไปบีบที่หว่างคิ้ว หากเขามีปัญหาทางจิต ถ้างั้นเรื่องก็คง
ณ สนามบิน ทันทีที่โจวชวงชวงและเผยจ้าวเหิงถึงสนามบิน พวกเขาก็รีบไปยังสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เสิ่นหยินอู้ส่งตำแหน่งมาให้พวกเขา หลังจากที่รถมาจอดที่หน้าโรงแรม โจวชวงชวงก็เริ่มมองไปที่อาคารที่เสิ่นหยินอู้พูดถึงก่อนหน้านี้ พบว่ามันตรงกันทุกอย่างจริงๆเธอถอนหายใจให้กับทักษะความช่างสังเกตที่ละเอียดอ่อนและความทรงจำที่แม่นยำของเสิ่นหยินอู้ พลางปลดเข็มขัดนิรภัย จานนั้นก็เปิดประตูรถแล้วลงจากรถ จากนั้นเธอก็กำลังจะเดินไปที่โรงแรม แต่ก็ถูกเผยจ้าวเหิงซึ่งออกมาจากรถทีหลังเธอคว้าแขนเอาไว้ “ใจเย็นๆหน่อย เราเข้าไปทั้งๆแบบนี้ไม่ได้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวชวงชวงก็เบิกตากว้าง เธอถามกลับด้วยความร้อนรน: "เวลาแบบนี้ ทำไมฉันถึงยังเข้าไปไม่ได้? หรือจะให้ฉันรออยู่ข้างนอกโดยไม่สนใจความปลอดภัยของเพื่อนรักของฉันเลยงั้นเหรอ? รอแล้วได้อะไรล่ะ? ” เผยจ้าวเหิงกวาดสายตาไปมองเธอด้วยดวงตาสีดำเข้มของเขา ต่อมาก็หรี่ตาลงแล้วมองไปที่โรงแรม จากนั้นจึงออกคำสั่ง “ผมจะเข้าไปคนเดียว” “อะไรนะ?” หัวใจของโจวชวงชวงเต้นผิดจังหวะไปครึ่งหนึ่ง “คุณรอข้อความจากผมอยู่ข้างนอก ถ้าผมไม่ออกมาหลังจากนี้ครึ่งชั่วโมง คุณก็โทรหาตำรว
ดังนั้นเธอจึงรีบเรียกพนักงานและบอกว่าเธอไม่ชินกับการดื่มกาแฟในขณะที่ท้องว่าง จึงให้พนักงานเสิร์ฟของหวานให้เธอหนึ่งจาน เมื่อของหวานมาเสิร์ฟ โจวชวงชวงก็แสร้งทำเป็นหยิบช้อนขึ้นมาและตักมันไปสองช้อนเต็มๆ เธอคิดที่จะทานของหวานให้หมดโดยเร็วที่สุด ใครจะรู้ว่าเพราะเธอทานเยอะเกินไปในคำเดียว เธอจึงสำลัก โจวชวงชวงทำได้เพียงรีบหยิบกาแฟที่หมดความเย็นลงไปแล้วขึ้นมาดื่มสองอึกเพื่อให้หายสำลัก จากนั้นเธอก็มองไปที่ของหวาน แล้วก็มองไปที่กาแฟ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไม่กิน เธอมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่โรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผ่านไปสิบห้านาทีแล้ว ยังเหลือเวลาอีกห้านาที หากเขายังไม่ปรากฏตัวภายในห้านาที เธอจะต้องแจ้งตำรวจ แม้ว่าเธอจะรับปากกับหยินอู้ว่าจะไม่โทรแจ้งตำรวจ แต่หากเป็นสถานการณ์เป็นพิเศษ ยังไงก็ต้องแจ้งตำรวจ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ไม่คาดคิดดังขึ้น มันทำให้โจวชวงชวงซึ่งนั่งอยู่ตกใจมาก เธอเกือบจะกระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ หลังจากใจเย็นลงแล้ว เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา สิ่งที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ก็คือเบอร์โทรศัพท์ของเผยจ้าวเหิง เธอรีบรับสาย “โจวเปาผี?” หลังจากพูดจบ โจวชวงชวงก็ป
เสิ่นหยินอู้อยู่กับเด็กๆที่ในห้องเป็นเวลานาน แต่โม่ไป๋ก็ยังไม่กลับมา ซึ่งมันทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกแปลกๆ เขาพาเธอมาที่นี่แล้วแท้ๆ เขายังมีเรื่องอะไรที่ต้องออกไปจัดการนานขนาดนี้อีก? แล้วก็ เมื่อเธอถามพ่อบ้านเมื่อครู่นี้ สีหน้าของพ่อบ้านก็ดูไม่ปกติอยู่แวบหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่... เสิ่นหยินอู้ตัดสินใจที่จะออกไปดู เธอไม่สามารถนั่งรอเฉยๆแบบนั้นได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ให้เด็กน้อยทั้งสองรออยู่ด้วยกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นและออกไป คาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เธอออกไป เธอก็พบกับโม่ไป๋ที่กำลังเดินมาทางเธอ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อตัวอื่นและถอดแว่นตาออก เมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอู้ ใบหน้าของโม่ไป๋ที่เดิมที่ยังเรียบเฉยอยู่ก็ปรากฎรอยยิ้มออกมาทันที "หยินอู้" เสิ่นหยินอู้: "..." เธอมองเครื่องแต่งกายแปลกๆของเขาแล้วถามว่า "นายไปไหนมา?" โม่ไป๋ตอบว่า: "ผมออกไปจัดการธุระมานิดหน่อย" “จัดการธุระต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหรอ?” เสิ่นหยินอู้สงสัย เมื่อได้ยินเช่นนั้น โม่ไป๋ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยกริมฝีปากบางขึ้นและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ที่แท้เธอก็สังเกตเห็นว่าผมใส่ชุดอะไร ผมอุส่าคิด
เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว “หยินอู้” โม่ไป๋เดินเข้าไปใกล้ๆ ลมหายใจที่แผ่วเบาของเขาปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอ “ผมไม่อยากบอกเธอเพราะไม่อยากให้เธอมาสงสารผม แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเธอจะรู้แล้ว ผู้ช่วยเฉินบอกเหรอ?” แม้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งคู่จะใกล้กันมาก แต่เสิ่นหยินอู้กลับไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิจากร่างกายของเขา และสายตาของเขาในเวลานี้บอกเสิ่นหยินอู้ว่าเขาอาจทำอะไรบางอย่างกับผู้ช่วยเฉิน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและพูดว่า "ฉันเป็นคนถามเองแล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากบางของโม่ไป๋ก็โค้งขึ้นเล็กน้อย สายตาอันอ่อนโยนของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ "หยินอู้ ไม่ว่าเมื่อไรเธอก็ใจดีแบบนี้เสมอ" เช่นเดียวกับตอนที่เขายังเด็ก ในตอนที่ผู้หญิงพวกนั้นพูดถึงเขาลับหลัง เขา...ไม่ได้สนใจข่าวลือพวกนั้นเลยแท้ๆ เธอก็สามารถหลับหูหลับตา ทำเป็นไม่ได้ยินอะไร แล้วเดินออกไปก็ได้ แต่เธอกลับเข้าไปพูดแก้ต่างให้เขา ผู้หญิงเช่นนี้ เขาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไรกัน? เธอเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ส่วนเขาเป็นปีศาจที่อยู่ในความมืดมิด คนที่อยู่ในความมืดมิดมาเนิ่นนาน จะมีใครบ้างที่ไม่โ
คราวนี้ ในที่สุดโม่ไป๋ก็ยอมตอบกลับเธอไปตรงๆ “หยินอู้ เราอยู่ด้วยกัน ยังไงเราก็ต้องเจอกัน” “นายจะเอาแบบนี้ให้ได้เลยใช่ไหม? ตอนนี้ยังมีทางกลับตัวกลับใจได้อยู่แท้ๆ นายจะรอไปถึงตอนที่ทุกคนมองหน้ากันไม่ติดจนแม้แต่เพื่อนธรรมดาๆก็เป็นไม่ได้ แล้วถึงค่อยยอมแพ้งั้นเหรอ?” "ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนอยู่แล้ว" โม่ไป๋ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วจับไหล่ของเธอ เสียงของเขาต่ำมาก: "ผมจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด" เสิ่นหยินอู้: "..." วินาทีต่อมา ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ โม่ไป๋ก็อุ้มเธอขึ้นมาและเดินไปที่ห้อง เสิ่นหยินอู้ตกใจ หลังจากตอบสนองได้ เธอก็คิดที่จะดิ้นรนโดยไม่รู้ตัว แต่พละกำลังของเธอกับโม่ไป๋นั้นแตกต่างกันมากเกินไป เธอจึงไม่สามารถดิ้นให้หลุดพ้นจากเขาได้เลย ทำได้เพียงมองเขาอุ้มเธอเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าทางที่เขาเดินไปคือที่เตียงของเธอ สายตาและเสียงของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป: "นายจะทำอะไร? โม่ไป๋ ขอบอกนะว่าถ้านายกล้าทำอะไรกับฉัน ต่อให้ตายฉันก็จะไม่ยอมจำนน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝีเท้าโม่ไป๋ก็ชะงักไปจากนั้นเขาก็หยุดที่ข้างเตียง "ปล่อยฉันนะ!" ความเจ็บปวดแวบขึ้นมาในสายตาของเขา "หยินอู้ ในสาย
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ