“ไอ้แก่ ดูซิว่าเด็กๆ เหมือนประธานฉินจากฉินซื่อกรุ๊ปไหม?”ได้ยินดังนั้น ผู้อำนวยการสวีก็มองเขาอย่างน่าสนใจ ตอนที่ไม่พูดถึงว่าไปอย่าง แต่พอถูกเขาพูดถึง เขาก็รู้สึกคล้ายกันมาก“เหมือนมากจริงๆ”“หรือจะเป็นลูกของประธานฉิน?”“ไร้สาระ เขาจะมีลูกเหรอ? แค่แต่งงานของยังไม่เคยเลย”“ก็จริง ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่พาลูกไปศัลยกรรม เพื่อแทรกเข้าตระกูลฉินไม่ใช่เหรอ? แต่ก็ไม่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นบนโลกนี้มีคนหน้าคล้ายก็ไม่แปลก อาจจะไม่ใช่สายเลือดของเขาก็ได้”ผู้อำนวยการสวีฟังเสียงบ่นจากภรรยาอยู่ข้างๆ แล้วอดมองหน้าจอแวบหนึ่งไม่ได้ เขาคิดในใจ ‘นี่ไม่เหมือนกับพวกที่ไปศัลยกรรมจริงๆ นะ นี่มันเหมือนจริงๆ’แน่นอนว่า คำพูดแบบนี้ เขาไม่กล้าพูดต่อหน้าฉินเย่อยู่แล้ว ตอนนี้ฉินเย่มองเด็กสองคนนี้อยู่นิ่งๆ สงสัยคงจะคิดเหมือนตนแหละมั้ง?ฉินเย่มองเด็กสองคนไม่ละสายตา จากนั้นก็เดินเข้าไป“ประธานฉิน”ผู้อำนวยการสวีเห็นดังนั้น ก็คิดจะเดินเข้าไป แต่กลับถูกหลี่มู่ถิงห้ามเอาไว้“ผู้อำนวยการสวี ประธานฉินของเราคงอยากเข้าไปทักทายเด็กสองคนเฉยๆ น่ะ คุณคงไม่ได้จะห้ามเรื่องนี้ด้วยหรอกมั้ง?”“แต่ว่า…” ผู้อำนวยการสวีทำหน้า
“คุณลุงอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”เพราะครั้งก่อนที่เจอกันอยู่บนเครื่องบิน แถมหลังจากกลับมาแล้ว ก็ไม่เจอกันนานแล้ว จู่ๆ ก็มาเจอฉินเย่ที่นี่ เสิ่นเหมิงเหมิงจึงแปลกใจเล็กน้อยฉินเย้ได้ยินเสียงเล็กๆ อ่อนๆ แล้ว ริมฝีปากพลันโค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้แค่ฟังก็รู้ว่าเด็กคนนี้ได้รับความเอ็นดูมากแน่ๆ แถมยังขี้อ้อนด้วยเหมือนตอนอยู่ในไลฟ์ไม่มีผิด เป็นเด็กมีชีวิตชีวา“มาเยี่ยมชมโรงเรียนน่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกหนูสองคนที่นี่”สายตาของฉินเย่มองไปที่เสิ่นซือเหนียนแวบหนึ่งเขาไม่ได้ขี้อ้อน และไม่ทำตัวเป็นมิตรเท่าเสิ่นเหมิงเหมิง ถึงขนาดตอนที่เขาย่อตัวนั่งลง เด็กหนุ่มคนนี้ยังทำท่าเหมือนป้องกันตัวขึ้นมา ทั้งยังจับมือของเด็กผู้หญิงเป็นครั้งคราวด้วยนี่เป็นการป้องกันตัวจากเขาแต่ฉินเย่กลับไม่โกรธ กลับกันยังรู้สึกชื่นชมเสิ่นซือเหนียน“เอ๋? คุณลุงสุดหล่อมาเยี่ยมชมโรงเรียนเหรอคะ? คุณลุงแต่งงานรึยังคะ? มีลูกหรือยัง?”เสิ่นเหมิงเหมิงเป็นเด็กขี้สงสัยอย่างเห็นได้ชัด โยนคำถามออกมาไม่หยุดฉินเย่เลิกคิ้วขึ้น ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไรดีหลังจากนั้น เขาก็มองไปที่เสิ่นซื่อเหนียนที่ทำตัวระมัดระวังว่า “อย่าเรียกคุณลุ
“ดีเลยๆ”ผู้อำนวยการสวีที่ยืนห่างออกไปเห็นพวกเขา ‘พูดคุยกันสนุกสนาน’ ความสงสัยในใจก็ยิ่งเพิ่มพูน แล้วหันไปมองหลี่มู่ถิง จากนั้นถามออกไปว่า“ผู้ช่วยหลี่ พวกเขาเป็นอะไรกันเหรอครับ?”หลี่มู่ถิงยิ้มแย้ม แล้วไม่ยอมบอก“ลองเดาดูสิ?”ผู้อำนวยการสวี “…”เขาจะกล้าเดาได้ยังไง?-เพราะคุยกันไม่สอดคล้องกัน บวกกับเด็กๆ ต้องเข้าเรียนแล้ว ดังนั้นฉินเย่จึงทำได้เพียงอยู่ต่อยี่สิบนาทีแล้วกลับเมื่อกลับมาถึงรถ เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีมากหลี่มู่ถิงเห็นดังนั้น ก็ใช้โอกาสนี้ยื่นแก้วเก็นความร้อนให้เขา “ประธานฉิน วันนี้อากาศหนาว ดื่มน้ำอุ่นสักหน่อยครับ”ฉินเย่อารมณ์ดีอยู่ จึงรับแก้วจากหลี่มู่ถิงมา แล้วดื่มไปสองอึกสิ่งที่อยู่ในแก้วเก็บความร้อนเป็นผลข้าวโอ๊ตบวกนมสดที่หลี่มู่ถิงชงให้เขา ตอนนี้อุ่นกำลังพอดี ช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้มากหลี่มู่ถิงมองดูเขา อาจเป็นเพราะอารมณ์ดีอยู่ ก็เลยดื่มไปหลายอึกถึงจะคืนแก้วให้เขา“ประธานฉิน ดื่มอีกสักหน่อยไหมครับ บำรุงร่างกายหน่อย เพราะตอนนี้คุณ…ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว”ได้ยินดังนั้น มือที่ถือแก้วของฉินเย่พลันชะงัก ดวงตาทรงยาวของเขาหลุบลงราวกับเชื่อฟังคำพูดของหลี่มู่
ตอนเย็น เสิ่นหยินอู้ไปรับเด็กทั้งสองคนเลิกเรียนตามเวลาหลังจากที่รับพวกเขาแล้ว ตอนที่ออกจากโรงเรียน เสิ่นหยินอู้ก้เห็นรถสีดำคันนั้นอีกรถสีดำคันนั้นเลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่ยังคงจอดนิ่งเหมือนเดิมบางที อาจเป็นรถของผู้ปกครองก็ได้ เธออาจคิดมาไปเองช่วงนี้ยุ่งๆ เธอไม่มีเวลาซื้อรถ แต่สองสามวันนี้เธอเสียเวลาเดินทางมามากแล้ว เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าตนควรซื้อรถสักคันแล้วไม่อย่างนั้นต้องรับส่งเด็กๆ ทุกวันไม่ค่อยสะดวกนักหลังจากกลับไปถึง เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มหารถเพราะว่าหลังจากนี้ลูกๆ ต้องใช้เงินเยอะ อีกอย่างรถก้เป็นแค่ยานพาหนะ ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงไม่คิดจะซื้อรถที่แพงมาก คิดไว้ให้อยู่ราวๆ สองแสนก็พอเธอดูรถเร็วมาก ไม่นานก็เจอรุ่นที่ราคาสูงกว่าหน่อย ตัดสินใจซื้อพรุ่งนี้เลยเมื่อถึงเวลานอน เสิ่นหยินอู้ก็เร่งให้ทั้งสองคนเข้านอน ทั้งสองคนเชื่อฟังมาก ต่างคนต่างกลับเข้าห้องนอนเสิ่นหยินอู้เดินไปตรงริมหน้าต่าง กำลังจะปิดม่าน ทว่าหางตาของเธอกลับพบรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ เหมือนคันที่อยู่หน้าโรงเรียนไม่มีผิดดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงชะงัก แล้วขมวดคิ้วขึ้นเบาๆเป็นเพราะกลางคืนพร่ามัว หรือเพราะเธอตาฝาดก
“คุณเย่?”“อืม คุณว่างเมื่อไหร่? เราเจอกันสักหน่อย”ข้อความใหม่ที่ตอบกลับมาไม่สั้นแล้ว แต่ทว่าคำขอที่เอ่ยขึ้นทำให้เสิ่นหยินอู้ต้องขมวดคิ้วเจอกัน?แค่โอนเงินคืนเท่านั้น จำเป็นต้องเจอหน้ากันด้วยเหรอ?“คุณเย่คะ ฉันโอนเงินเข้าบัญชีคุณเลยไม่ได้เหรอคะ?”“ผมรับแต่เงินสด”“…”“ถ้าคุณไม่อยากมา ก็ไม่เป็นไรครับ”ถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้เธอคืนเงินแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้วิธีนี้ทำให้เธอถอยเท่านั้นแต่ว่า…เธอก็ไม่อยากได้เงินของอีกฝ่ายหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายเสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับไปว่า“เจอกันที่ไหนคะ?”เห็นว่าเธอตอบตกลงตนแล้ว สีหน้าของฉินเย่พลันนิ่งขรึมลงทันใด ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์เขาเก็บโทรศัพท์ ไม่ตอบเธอกลับแม้แต่หลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างหน้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเย็นชาที่ออกมาจากตัวเขา และมองเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด“ประธานฉิน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”“ไป”แต่แล้วสิ่งที่เขาได้กลับมา เป็นเพียงคำพูดเย็นชาของฉินเย่เท่านั้นหลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่ขับรถออกไปส่วนเสิ่นหยินอู้รออยู่นาน
อาจเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ โม่ไป๋ยืนนิ่งอยู่กับที่อยู่นานถึงจะมองเธออย่างหมดหนทาง“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ให้ฉันไปส่งเธอ เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนได้ไหม?”เสิ่นหยินอู้ตั้งใจจะพูดกับเขาตรงๆ อยู่แล้ว หากเป็นครั้งสุดท้าย ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร“โอเค”ระหว่างทางไปโรงเรียน เสิ่นหยินอู้เงียบเป็นพิเศษ แต่กลับกันเสิ่นเหมิงเหมิงกลับพูดเจื้อยจ้อยไม่หยุดตลอดทางโม่ไป๋นั่งอย่างมีความอดทนเมื่อมาถึงโรงเรียน เขาก็พาเด็กๆ ทั้งสองคนเข้าโรงเรียนด้วยเสิ่นหยินอู้มองดูอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาอันเฉียบคมสาดมองมาที่แผ่นหลังของตัวเองเธอหันไปมองตามเส้นสายตาเมื่อเห็นรถคันสีดำเมื่อวาน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักทันใดถ้าความรู้สึกเมื่อวานเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้นวันนี้ล่ะ?เซ้นต์ของเสิ่นหยินอู้บอกกับเธอว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ไม่ชอบกลเธอก้าวเท้าเดินไปยังรถคันสีดำนั่นโดยสัญชาตญาณ“หยินอู้”เสียงของโม่ไป๋ดังขึ้นในขณะนั้น ดึงสติของเสิ่นหยินอู้กลับมา“มีอะไรหรือเปล่า?”อาจเป็นเพราะเห็นเธอจ้องที่นั่นอยู่นาน ดังนั้นโม่ไป๋จึงเดินเข้าไปหาเธอ หยุดอยู่ข้างๆ เธอ แล้วมองตามไปตอน
“ก้มลง!”ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฉินเย่ที่อยู่ในรถก็พูดขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ หลี่มู่ถิงได้สติแล้วรีบก้มลงอย่างรวดเร็วเสิ่นหยินอู้มองเข้าไปข้างในรถอย่างละเอียดขณะนี้แดดจ้ามาก เธอยืนอยู่ใต้แสงใต้มานานครึ่งวัน สายตาไม่ถือว่าดีนัก ดังนั้นแม้จะมองจากหน้าต่างรถอย่างไร ก็มองไม่เห็นอะไรเลยมืดสนิทแต่เธอไม่ล้มเลิกความพยายาม ยังคงมองอยู่ตรงนั้นต่อไปคนสองคนในรถนอนราบไปแล้ว ฉินเย่นอนอยู่บนเบาะนั่ง แล้วมองเธอที่อยู่ริมหน้าต่างเงียบๆหลี่มู่ถิงตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วขณะเขาไม่คิดเลยว่าเซ้นต์ของคุณเสิ่นจะแรงมากขนาดนี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ และเพิ่งจะมาที่นี่เป็นวันที่สอง ก็ถูกเธอจับได้ซะแล้ว?ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ก็ล้มเลิกความพยายาม เพราะมองอะไรไม่เห็นเลยหลังจากที่เธอจากไป หลี่มู่ถิงถึงจะหายใจได้เต็มปอด“ประธานฉิน คุณเสิ่นน่ากลัวเกินไปแล้ว เธอรู้ได้ยังไงว่าข้างในรถมีคนอยู่น่ะ?”ทั้งสองคนนอนราบอยู่ตรงนั้นคล้ายว่าถูกการกระทำฉับพลันของเสิ่นหยินอู้ทำเอาตกใจจนเสียขวัญ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่กล้าลุกขึ้นในบัดดล เพราะกลัวว่าเสิ่นหยินอู้จะย้อนกลับมาอีกผ่านไปนานพอควร หลังจากมั่นใ
เสิ่นซือเหนียนชะงักเล็กน้อยตอนที่เห็นฉินเย่ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหลังจากเดินเข้าไปใกล้ เขาถึงจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “คุณลุงเย่มู่”“อืม”ฉินเย่พยักหน้า สายตาที่มองเสิ่นซือเหนียนดูหมดหนทางเล็กน้อยเด็กคนนี้ระมัดระวังตัวมากกว่าเหมิงเหมิงมาก ถึงแม้เขาจะเปิดเผยตัวตนแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงระมัดระวังตัวมากอยู่ดีดูท่าแล้ว เขาต้องหาวิธีทำให้เด็กคนนี้เชื่อใจ และพึ่งพาตนให้ได้แต่มาหาที่โรงเรียนทุกวันแบบนี้ จะดูชัดเจนเกินไปฉินเย่ค่อยๆ หรี่ตาลง ในใจพลางคิดหาแผนการ“คุณลุงเย่มู่ ลูกของคุณลุงคือใครเหรอคะ? วันนี้พวกหนูจะทำความรู้จักเขาได้หรือยังคะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงยังคงคิดถึงเรื่องลูกที่เขาบอกเมื่อวานฉินเย่เอามือไว้ท้ายทอย แล้วพูดว่า “วันนี้ยังไม่สะดวกน่ะ ไว้วันอื่นนะ?”“อือ ก็ได้ค่ะ”จากนั้นฉินเย่ก็หันไปมองเสิ่นซือเหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองน้องสาวของตัวเองอยู่ ในใจคงไม่อยากอยู่ต่อ วันนี้เพิ่งจะวันที่สองเอง ท่าทีของเขาก็ดูระมัดระวังกว่าเมื่อวานมากขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กคนนี้ต้องสร้างกำแพงกีดกันตัวเองแน่ๆ ถึงตอนนั้นคงยากที่จะปีนข้ามกำแพงนี้ไปได้แล้