“ก้มลง!”ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฉินเย่ที่อยู่ในรถก็พูดขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ หลี่มู่ถิงได้สติแล้วรีบก้มลงอย่างรวดเร็วเสิ่นหยินอู้มองเข้าไปข้างในรถอย่างละเอียดขณะนี้แดดจ้ามาก เธอยืนอยู่ใต้แสงใต้มานานครึ่งวัน สายตาไม่ถือว่าดีนัก ดังนั้นแม้จะมองจากหน้าต่างรถอย่างไร ก็มองไม่เห็นอะไรเลยมืดสนิทแต่เธอไม่ล้มเลิกความพยายาม ยังคงมองอยู่ตรงนั้นต่อไปคนสองคนในรถนอนราบไปแล้ว ฉินเย่นอนอยู่บนเบาะนั่ง แล้วมองเธอที่อยู่ริมหน้าต่างเงียบๆหลี่มู่ถิงตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วขณะเขาไม่คิดเลยว่าเซ้นต์ของคุณเสิ่นจะแรงมากขนาดนี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ และเพิ่งจะมาที่นี่เป็นวันที่สอง ก็ถูกเธอจับได้ซะแล้ว?ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ก็ล้มเลิกความพยายาม เพราะมองอะไรไม่เห็นเลยหลังจากที่เธอจากไป หลี่มู่ถิงถึงจะหายใจได้เต็มปอด“ประธานฉิน คุณเสิ่นน่ากลัวเกินไปแล้ว เธอรู้ได้ยังไงว่าข้างในรถมีคนอยู่น่ะ?”ทั้งสองคนนอนราบอยู่ตรงนั้นคล้ายว่าถูกการกระทำฉับพลันของเสิ่นหยินอู้ทำเอาตกใจจนเสียขวัญ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่กล้าลุกขึ้นในบัดดล เพราะกลัวว่าเสิ่นหยินอู้จะย้อนกลับมาอีกผ่านไปนานพอควร หลังจากมั่นใ
เสิ่นซือเหนียนชะงักเล็กน้อยตอนที่เห็นฉินเย่ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหลังจากเดินเข้าไปใกล้ เขาถึงจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “คุณลุงเย่มู่”“อืม”ฉินเย่พยักหน้า สายตาที่มองเสิ่นซือเหนียนดูหมดหนทางเล็กน้อยเด็กคนนี้ระมัดระวังตัวมากกว่าเหมิงเหมิงมาก ถึงแม้เขาจะเปิดเผยตัวตนแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงระมัดระวังตัวมากอยู่ดีดูท่าแล้ว เขาต้องหาวิธีทำให้เด็กคนนี้เชื่อใจ และพึ่งพาตนให้ได้แต่มาหาที่โรงเรียนทุกวันแบบนี้ จะดูชัดเจนเกินไปฉินเย่ค่อยๆ หรี่ตาลง ในใจพลางคิดหาแผนการ“คุณลุงเย่มู่ ลูกของคุณลุงคือใครเหรอคะ? วันนี้พวกหนูจะทำความรู้จักเขาได้หรือยังคะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงยังคงคิดถึงเรื่องลูกที่เขาบอกเมื่อวานฉินเย่เอามือไว้ท้ายทอย แล้วพูดว่า “วันนี้ยังไม่สะดวกน่ะ ไว้วันอื่นนะ?”“อือ ก็ได้ค่ะ”จากนั้นฉินเย่ก็หันไปมองเสิ่นซือเหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองน้องสาวของตัวเองอยู่ ในใจคงไม่อยากอยู่ต่อ วันนี้เพิ่งจะวันที่สองเอง ท่าทีของเขาก็ดูระมัดระวังกว่าเมื่อวานมากขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กคนนี้ต้องสร้างกำแพงกีดกันตัวเองแน่ๆ ถึงตอนนั้นคงยากที่จะปีนข้ามกำแพงนี้ไปได้แล้
ส่วนพูดเรื่องอะไรนั้น…ฉินเย่รีบตอบกลับ “ไม่ได้ครับ พรุ่งนี้ผมไม่ว่างเหมือนกัน ตอนนี้ผมต้องการใช้เงินด่วน คุณหาเวลามาแล้วกัน”เสิ่นหยินอู้ที่เห็นข้อความนี้แล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นเพราะข้อความที่อีกฝ่ายส่งมามีแต่คำที่แสดงถึงความแข็งกร้าวเหมือนเมื่อคืน ถ้าหากตนจะคืนเงินให้เขา ก็ต้องทำตามที่เขาพูดเสิ่นหยินอู้มีความรู้สึกเหมือนถูก ‘ลักพาตัว’ อย่างไรอย่างนั้นถึงแม้เธอจะสามารถโทรหาโม่ไป๋ว่าไม่ไปดูรถแล้ว ให้เขาไม่ต้องไปเป็นเพื่อนตนแล้วก็ได้ เพราะอย่างไรเรื่องที่จะพูดก็สามารถพูดคราวหลังได้แต่ตอนนี้เธอรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดแข็งกร้าวของอีกฝ่ายมาก เซ้นต์ของเธอบอกเธอว่าห้ามทำแบบนี้แต่เขากลับบอกว่าตนรีบใช้เงินเสิ่นหยินอู้ตอบกลับ “ถ้าคุณรีบใช้เงินจริง งั้นฉันโอนให้คุณเลยดีกว่าค่ะ พกเงินสดมากไปมันไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”หลังกดส่งข้อความแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่าคำขอของอีกฝ่ายไม่สมเหตุสมผลเลยโจวชวงชวงมีเวลาว่างพูดคุยกับตนพอดี ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังคร่าวๆโจวชวงชวงได้ยินดังนั้น ก็โทรมาหาเธอทันที“นี่มันสะพานรักโรแมนติกหรือเปล่าเนี่ย? เขาอยากเจอเธอใช่ไหม แต่หาข้ออ้
คำพูดเหล่านี้ทำเอาเสิ่นหยินอู้อยากหัวเราะออกมา“เธอนี่มันกังวลเรื่องของฉันทั้งวันทั้งคืนเลยนะ”“ก็ฉันมีเพื่อนสนิทแค่เธอคนเดียวนี่ ฉันไม่กังวลแทนเธอ แล้วจะกังวลแทนใครล่ะ? จริงๆ เลยเธอเนี่ย อีกอย่างนี่เป็นความสุขของเธอในอนาคตนะ ฉันต้องใส่ใจให้มากอยู่แล้ว”เสิ่นหยินอู้ฟังเงียบๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ“แทนที่จะกังวลแทนฉัน กังวลเรื่องตัวเองดีกว่านะโจวชวงชวง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เธอยังไม่มีแฟนเลยสักคน”“อย่ามาตัดบท อย่าพยายามเบนความสนใจมาที่ฉัน ฉันกำลังพูดเรื่องจริงจังกับเธออยู่”จากนั้นเสิ่นหยินอู้อยากจะพูดอะไรต่ออีก เมื่อเห็นเย่มู่ส่งข้อความมาหาเธออีก เธอจึงบอกโจวชวงชวงถึงแม้โจวชวงชวงจะไม่ใช่คนที่ประสบปัญหา แต่เธอก็มีท่าทีตื่นเต้นมาก“รีบตอบไปสิ ตอบเหมือนที่ฉันบอกเธอ”เสิ่นหยินอู้ “…”“เร็วเข้าสิหยินอู้ โอกาสดีๆ แบบนี้จะรออะไรอีก? อีกฝ่ายร่ำรวยเงินทองขนาดนั้น”“ตอนเย็นฉันนัดโม่ไป๋ไว้”โจวชวงชวงพูดตรงๆ “ยกเลิกสิ”“แต่ว่า…”“อย่ามาแต่ ยังไงเธอก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว ถึงจะทำให้เขาผิดหวังก็ทำอะไรไม่ได้ มันไม่มีทางที่เรื่องทุกเรื่องจะราบรื่นหรอกนะ เขาดีกับเธอก็จริง พวกเธอโตมาด้วยกั
“เดี๋ยวผมจะติดต่อหาพวกเขาเลย ดูซิว่าจะยอมย้ายลูกมาเรียนที่นี่ไหม แต่ว่าโรงเรียนที่นี่อยู่ห่างจากที่พักของพวกเขามาก อีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมก็ได้”สิ้นเสียง ฉินเย่มองไปที่เขา แล้วพูดว่า “ทำทุกวิถีทาง”“เข้าใจแล้วครับ”-เฉาหานอวี่และภรรยาสวีเจียโหรวเพิ่งเลิกงานกำลังจะกลับบ้านพร้อมกันสองสามีภรรยาทำงานในบริษัทเดียวกัน เลิกงานพร้อมกัน ช่วงกลางวันมีเวลาพักสองชั่วโมง ทั้งสองพักอยู่ไม่ไกลจากบริษัท ดังนั้นเพียงแค่เดินเท้าก็กลับถึงบ้านได้ หลังจากทำกับข้าวกินเสร็จเรียบร้อยยังพอมีเวลาพักอีกครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเดินกลับไปทำงานต่อถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ พวกเขาสองคนใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ทุกวันเฉาหานอวี่พึงพอใจกับชีวิตแบบนี้มาก จะให้เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ แบบนี้ไปจนตายเขาก็ยอม แน่นอนว่าขอแค่ภรรยาของเขาไม่บ่นก็พอเพราะบางครั้งภรรยาของเขามักจะบ่นว่าเขาไม่ได้เรื่องอยู่บ่อยครั้ง ผู้ชายคนอื่นมีเงินขนาดนั้น มีโอกาสได้เลื่อนขั้น แต่เขาทำงานอยู่ที่บริษัทมาหลายปีกลับยังอยู่กับที่ไม่ไปไหนพอบ่นหลายครั้งเข้า เฉาหานอวี่ก็จำฝังลึกอยู่ในใจ นานๆ ไปก็กลายเป็นปมในใจเพียงแต่ปมในใจนี้ยังไม่กระทบต่อชีวิตแต่งงานของทั้งส
เฉาหานอวี่ไม่รู้ว่าหลี่มู่ถิงคือใคร แต่เขาจะไม่รู้จักฉินกรุ๊ปได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ชื่อของฉินเย่ยังเป็นที่รู้จักกันดีในบริษัทของพวกเขาสวีเจียโหรวที่อยู่ถัดจากพวกเขาก็รู้จักเช่นกัน ดังนั้นสีหน้าของคู่สามีภรรยาจึงเปลี่ยนไปทันที “กำลังตามหาพวกเราอยู่เหรอครับ?” เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของทั้งคู่ หลี่มู่ถิงก็หยิบข้อมูลออกมาจากกระเป๋าเอกสารและพูดชื่อของสามีภรรยาคู่นั้นซ้ำอีกรอบ “เฉาหานอวี่ สวีเจียโหรว พวกคุณสินะ? รูปด้านบนนี้ ตรงกันอยู่นะ” ทั้งคู่เอาหัวเข้าไปใกล้ๆกัน และแน่นอนว่าพวกเขาเห็นสิ่งที่แสดงอยู่บนเอกสารว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา และที่ติดอยู่ก็คือรูปถ่ายของพวกเขา “พวกเราเองครับ แต่ว่า คุณต้องการอะไรจากเราครับ?” “ไม่สะดวกที่จะคุยที่นี่ เราเข้าไปคุยกันข้างในบ้านกันไหมครับ?” "ได้ค่ะ ไปกันเถอะ" ทั้งคู่รีบเชิญหลี่มู่ถิงเข้ามาในบ้าน หลังจากที่หลี่มู่ถิงเข้าไปในบ้าน เขาก็มองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ตามที่คาดไว้ เป็นแบบที่ข้อมูลระบุไว้ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของทั้งคู่นั้นธรรมดา แม้ว่าพวกเขาจะรวบรวมเงินได้เพียงพอสำหรับเงินดาวน์ แต่ในการใช้ชีวิต พวกเขาก็ยังต้องจ่ายค่าเงินกู้บ
เฉาหานอวี่ไม่อยากจะเชื่อ “คุณไม่ได้โกหกเราใช่ไหม? คุณไม่ใช่นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการใช้วิธีนี้มาหลอกเราให้ซื้อบ้านราคาสูงๆใช่ไหม?” วินาทีถัดมา หลี่มู่ถิงก็โยนใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ไปไว้ตรงหน้าทั้งสองคน “บ้านได้รับการชำระเงินเต็มจำนวนแล้ว สิ่งที่คุณสองคนต้องทำคือย้ายเข้าไปก็พอ” ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งคู่ลงมาส่งหลี่มู่ถิงที่ชั้นล่างด้วยท่าทีสงบ โดยพวกเขาบอกว่าจะไปลาออกจากงานและไปทำเรื่องลาออกให้ลูกที่โรงเรียนในช่วงบ่าย และรับปากว่าจะไปรายงานตัวที่โรงเรียนใหม่ในวันพรุ่งนี้ หลี่มู่ถิงพอใจมาก "อย่าช้านะครับ พรุ่งนี้เช้าผมต้องเห็นพวกคุณ" “โอเค ไม่มีปัญหา เราจะย้ายไปตอนเย็น ต่อให้ไม่ได้นอนก็ต้องไปย้ายไปให้ได้” หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดหลี่มู่ถิงก็จากไปอย่างพึงพอใจ -เสิ่นหยินอู้ไปที่ธนาคารและถอนเงินสดจำนวน 50,000 หยวน เนื่องจากเธอมีลูก กระเป๋าของเธอมักจะต้องเก็บของใช้ต่างๆของเด็กๆไว้เสมอ ดังนั้นกระเป๋าที่เธอถือจึงเปลี่ยนจากกระเป๋าใบเล็กที่มีเสน่ห์ที่เธอสะพายเมื่อตอนสาวๆไปเป็นกระเป๋าใบใหญ่ เงินสดห้าหมื่นหยวนเก็บไว้ในกระเป๋าก็มากเพียงพอแล้ว เธอคาดไ
เมื่อโกรธ เหตุผลของผู้คนมักจะถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ แม้แต่ฉินเย่ก็ไม่มีข้อยกเว้นหากพูดถึงผู้หญิงที่เขารัก แต่ทันทีที่หลี่มู่ถิงพูดประโยคนั้นไป เขาก็คิดได้ ความโกรธดับลงในทันที เขาลดสายตาลง ปกปิดอารมณ์ที่แสดงผ่านดวงตาสีดำของเขา ใช่สิ เขามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธล่ะ? เป็นอย่างที่ผู้ช่วยของเขาบอกจริงๆ ห้าปีผ่านไปแล้ว และเขาควรจะดีใจที่เธอยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสที่จะนัดเธอออกมา ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าอยู่ในสถานะไหน ตราบใดที่ชายคนนั้นไม่ใช่คนอื่น เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินเย่ก็กวาดสายตาไปมองหลี่มู่ถิง “ก็ได้ ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะมีประโยชน์มากขนาดนี้” "ใช่ไหมล่ะครับ?" หลี่มู่ถิงเห็นเขาเชยชม จึงถามถึงรางวัลทันที: "ประธานฉิน งั้นปีนี้คุณช่วยเพิ่มเงินเดือนให้ผมได้ไหมครับ?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะ "ไว้ค่อยคุย" “คุณทำเรื่องที่ผมบอกให้ไปทำเสร็จหรือยัง?” “เสร็จแล้วครับ พวกเขาบอกว่าจะย้ายไปในตอนเย็น พรุ่งนี้เราค่อยไปลูกของพวกเขา แต่ว่า... ประธานฉิน คุณจะแกล้งทำเป็นว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของคุณต่อหน้าเด็กๆทั้งสองคนเหรอครับ ผมเกรงว่าแบบนี้มันไม่ค่อยดีหรอกนะครับ” "ไม่
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ