ตอนเย็น เสิ่นหยินอู้ไปรับเด็กทั้งสองคนเลิกเรียนตามเวลาหลังจากที่รับพวกเขาแล้ว ตอนที่ออกจากโรงเรียน เสิ่นหยินอู้ก้เห็นรถสีดำคันนั้นอีกรถสีดำคันนั้นเลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่ยังคงจอดนิ่งเหมือนเดิมบางที อาจเป็นรถของผู้ปกครองก็ได้ เธออาจคิดมาไปเองช่วงนี้ยุ่งๆ เธอไม่มีเวลาซื้อรถ แต่สองสามวันนี้เธอเสียเวลาเดินทางมามากแล้ว เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าตนควรซื้อรถสักคันแล้วไม่อย่างนั้นต้องรับส่งเด็กๆ ทุกวันไม่ค่อยสะดวกนักหลังจากกลับไปถึง เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มหารถเพราะว่าหลังจากนี้ลูกๆ ต้องใช้เงินเยอะ อีกอย่างรถก้เป็นแค่ยานพาหนะ ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงไม่คิดจะซื้อรถที่แพงมาก คิดไว้ให้อยู่ราวๆ สองแสนก็พอเธอดูรถเร็วมาก ไม่นานก็เจอรุ่นที่ราคาสูงกว่าหน่อย ตัดสินใจซื้อพรุ่งนี้เลยเมื่อถึงเวลานอน เสิ่นหยินอู้ก็เร่งให้ทั้งสองคนเข้านอน ทั้งสองคนเชื่อฟังมาก ต่างคนต่างกลับเข้าห้องนอนเสิ่นหยินอู้เดินไปตรงริมหน้าต่าง กำลังจะปิดม่าน ทว่าหางตาของเธอกลับพบรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ เหมือนคันที่อยู่หน้าโรงเรียนไม่มีผิดดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงชะงัก แล้วขมวดคิ้วขึ้นเบาๆเป็นเพราะกลางคืนพร่ามัว หรือเพราะเธอตาฝาดก
“คุณเย่?”“อืม คุณว่างเมื่อไหร่? เราเจอกันสักหน่อย”ข้อความใหม่ที่ตอบกลับมาไม่สั้นแล้ว แต่ทว่าคำขอที่เอ่ยขึ้นทำให้เสิ่นหยินอู้ต้องขมวดคิ้วเจอกัน?แค่โอนเงินคืนเท่านั้น จำเป็นต้องเจอหน้ากันด้วยเหรอ?“คุณเย่คะ ฉันโอนเงินเข้าบัญชีคุณเลยไม่ได้เหรอคะ?”“ผมรับแต่เงินสด”“…”“ถ้าคุณไม่อยากมา ก็ไม่เป็นไรครับ”ถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้เธอคืนเงินแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้วิธีนี้ทำให้เธอถอยเท่านั้นแต่ว่า…เธอก็ไม่อยากได้เงินของอีกฝ่ายหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายเสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับไปว่า“เจอกันที่ไหนคะ?”เห็นว่าเธอตอบตกลงตนแล้ว สีหน้าของฉินเย่พลันนิ่งขรึมลงทันใด ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์เขาเก็บโทรศัพท์ ไม่ตอบเธอกลับแม้แต่หลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างหน้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเย็นชาที่ออกมาจากตัวเขา และมองเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด“ประธานฉิน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”“ไป”แต่แล้วสิ่งที่เขาได้กลับมา เป็นเพียงคำพูดเย็นชาของฉินเย่เท่านั้นหลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่ขับรถออกไปส่วนเสิ่นหยินอู้รออยู่นาน
อาจเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ โม่ไป๋ยืนนิ่งอยู่กับที่อยู่นานถึงจะมองเธออย่างหมดหนทาง“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ให้ฉันไปส่งเธอ เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนได้ไหม?”เสิ่นหยินอู้ตั้งใจจะพูดกับเขาตรงๆ อยู่แล้ว หากเป็นครั้งสุดท้าย ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร“โอเค”ระหว่างทางไปโรงเรียน เสิ่นหยินอู้เงียบเป็นพิเศษ แต่กลับกันเสิ่นเหมิงเหมิงกลับพูดเจื้อยจ้อยไม่หยุดตลอดทางโม่ไป๋นั่งอย่างมีความอดทนเมื่อมาถึงโรงเรียน เขาก็พาเด็กๆ ทั้งสองคนเข้าโรงเรียนด้วยเสิ่นหยินอู้มองดูอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาอันเฉียบคมสาดมองมาที่แผ่นหลังของตัวเองเธอหันไปมองตามเส้นสายตาเมื่อเห็นรถคันสีดำเมื่อวาน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักทันใดถ้าความรู้สึกเมื่อวานเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้นวันนี้ล่ะ?เซ้นต์ของเสิ่นหยินอู้บอกกับเธอว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ไม่ชอบกลเธอก้าวเท้าเดินไปยังรถคันสีดำนั่นโดยสัญชาตญาณ“หยินอู้”เสียงของโม่ไป๋ดังขึ้นในขณะนั้น ดึงสติของเสิ่นหยินอู้กลับมา“มีอะไรหรือเปล่า?”อาจเป็นเพราะเห็นเธอจ้องที่นั่นอยู่นาน ดังนั้นโม่ไป๋จึงเดินเข้าไปหาเธอ หยุดอยู่ข้างๆ เธอ แล้วมองตามไปตอน
“ก้มลง!”ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฉินเย่ที่อยู่ในรถก็พูดขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ หลี่มู่ถิงได้สติแล้วรีบก้มลงอย่างรวดเร็วเสิ่นหยินอู้มองเข้าไปข้างในรถอย่างละเอียดขณะนี้แดดจ้ามาก เธอยืนอยู่ใต้แสงใต้มานานครึ่งวัน สายตาไม่ถือว่าดีนัก ดังนั้นแม้จะมองจากหน้าต่างรถอย่างไร ก็มองไม่เห็นอะไรเลยมืดสนิทแต่เธอไม่ล้มเลิกความพยายาม ยังคงมองอยู่ตรงนั้นต่อไปคนสองคนในรถนอนราบไปแล้ว ฉินเย่นอนอยู่บนเบาะนั่ง แล้วมองเธอที่อยู่ริมหน้าต่างเงียบๆหลี่มู่ถิงตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วขณะเขาไม่คิดเลยว่าเซ้นต์ของคุณเสิ่นจะแรงมากขนาดนี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ และเพิ่งจะมาที่นี่เป็นวันที่สอง ก็ถูกเธอจับได้ซะแล้ว?ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ก็ล้มเลิกความพยายาม เพราะมองอะไรไม่เห็นเลยหลังจากที่เธอจากไป หลี่มู่ถิงถึงจะหายใจได้เต็มปอด“ประธานฉิน คุณเสิ่นน่ากลัวเกินไปแล้ว เธอรู้ได้ยังไงว่าข้างในรถมีคนอยู่น่ะ?”ทั้งสองคนนอนราบอยู่ตรงนั้นคล้ายว่าถูกการกระทำฉับพลันของเสิ่นหยินอู้ทำเอาตกใจจนเสียขวัญ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่กล้าลุกขึ้นในบัดดล เพราะกลัวว่าเสิ่นหยินอู้จะย้อนกลับมาอีกผ่านไปนานพอควร หลังจากมั่นใ
เสิ่นซือเหนียนชะงักเล็กน้อยตอนที่เห็นฉินเย่ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหลังจากเดินเข้าไปใกล้ เขาถึงจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “คุณลุงเย่มู่”“อืม”ฉินเย่พยักหน้า สายตาที่มองเสิ่นซือเหนียนดูหมดหนทางเล็กน้อยเด็กคนนี้ระมัดระวังตัวมากกว่าเหมิงเหมิงมาก ถึงแม้เขาจะเปิดเผยตัวตนแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงระมัดระวังตัวมากอยู่ดีดูท่าแล้ว เขาต้องหาวิธีทำให้เด็กคนนี้เชื่อใจ และพึ่งพาตนให้ได้แต่มาหาที่โรงเรียนทุกวันแบบนี้ จะดูชัดเจนเกินไปฉินเย่ค่อยๆ หรี่ตาลง ในใจพลางคิดหาแผนการ“คุณลุงเย่มู่ ลูกของคุณลุงคือใครเหรอคะ? วันนี้พวกหนูจะทำความรู้จักเขาได้หรือยังคะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงยังคงคิดถึงเรื่องลูกที่เขาบอกเมื่อวานฉินเย่เอามือไว้ท้ายทอย แล้วพูดว่า “วันนี้ยังไม่สะดวกน่ะ ไว้วันอื่นนะ?”“อือ ก็ได้ค่ะ”จากนั้นฉินเย่ก็หันไปมองเสิ่นซือเหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองน้องสาวของตัวเองอยู่ ในใจคงไม่อยากอยู่ต่อ วันนี้เพิ่งจะวันที่สองเอง ท่าทีของเขาก็ดูระมัดระวังกว่าเมื่อวานมากขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กคนนี้ต้องสร้างกำแพงกีดกันตัวเองแน่ๆ ถึงตอนนั้นคงยากที่จะปีนข้ามกำแพงนี้ไปได้แล้
ส่วนพูดเรื่องอะไรนั้น…ฉินเย่รีบตอบกลับ “ไม่ได้ครับ พรุ่งนี้ผมไม่ว่างเหมือนกัน ตอนนี้ผมต้องการใช้เงินด่วน คุณหาเวลามาแล้วกัน”เสิ่นหยินอู้ที่เห็นข้อความนี้แล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นเพราะข้อความที่อีกฝ่ายส่งมามีแต่คำที่แสดงถึงความแข็งกร้าวเหมือนเมื่อคืน ถ้าหากตนจะคืนเงินให้เขา ก็ต้องทำตามที่เขาพูดเสิ่นหยินอู้มีความรู้สึกเหมือนถูก ‘ลักพาตัว’ อย่างไรอย่างนั้นถึงแม้เธอจะสามารถโทรหาโม่ไป๋ว่าไม่ไปดูรถแล้ว ให้เขาไม่ต้องไปเป็นเพื่อนตนแล้วก็ได้ เพราะอย่างไรเรื่องที่จะพูดก็สามารถพูดคราวหลังได้แต่ตอนนี้เธอรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดแข็งกร้าวของอีกฝ่ายมาก เซ้นต์ของเธอบอกเธอว่าห้ามทำแบบนี้แต่เขากลับบอกว่าตนรีบใช้เงินเสิ่นหยินอู้ตอบกลับ “ถ้าคุณรีบใช้เงินจริง งั้นฉันโอนให้คุณเลยดีกว่าค่ะ พกเงินสดมากไปมันไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”หลังกดส่งข้อความแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่าคำขอของอีกฝ่ายไม่สมเหตุสมผลเลยโจวชวงชวงมีเวลาว่างพูดคุยกับตนพอดี ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังคร่าวๆโจวชวงชวงได้ยินดังนั้น ก็โทรมาหาเธอทันที“นี่มันสะพานรักโรแมนติกหรือเปล่าเนี่ย? เขาอยากเจอเธอใช่ไหม แต่หาข้ออ้
คำพูดเหล่านี้ทำเอาเสิ่นหยินอู้อยากหัวเราะออกมา“เธอนี่มันกังวลเรื่องของฉันทั้งวันทั้งคืนเลยนะ”“ก็ฉันมีเพื่อนสนิทแค่เธอคนเดียวนี่ ฉันไม่กังวลแทนเธอ แล้วจะกังวลแทนใครล่ะ? จริงๆ เลยเธอเนี่ย อีกอย่างนี่เป็นความสุขของเธอในอนาคตนะ ฉันต้องใส่ใจให้มากอยู่แล้ว”เสิ่นหยินอู้ฟังเงียบๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ“แทนที่จะกังวลแทนฉัน กังวลเรื่องตัวเองดีกว่านะโจวชวงชวง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เธอยังไม่มีแฟนเลยสักคน”“อย่ามาตัดบท อย่าพยายามเบนความสนใจมาที่ฉัน ฉันกำลังพูดเรื่องจริงจังกับเธออยู่”จากนั้นเสิ่นหยินอู้อยากจะพูดอะไรต่ออีก เมื่อเห็นเย่มู่ส่งข้อความมาหาเธออีก เธอจึงบอกโจวชวงชวงถึงแม้โจวชวงชวงจะไม่ใช่คนที่ประสบปัญหา แต่เธอก็มีท่าทีตื่นเต้นมาก“รีบตอบไปสิ ตอบเหมือนที่ฉันบอกเธอ”เสิ่นหยินอู้ “…”“เร็วเข้าสิหยินอู้ โอกาสดีๆ แบบนี้จะรออะไรอีก? อีกฝ่ายร่ำรวยเงินทองขนาดนั้น”“ตอนเย็นฉันนัดโม่ไป๋ไว้”โจวชวงชวงพูดตรงๆ “ยกเลิกสิ”“แต่ว่า…”“อย่ามาแต่ ยังไงเธอก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว ถึงจะทำให้เขาผิดหวังก็ทำอะไรไม่ได้ มันไม่มีทางที่เรื่องทุกเรื่องจะราบรื่นหรอกนะ เขาดีกับเธอก็จริง พวกเธอโตมาด้วยกั
“เดี๋ยวผมจะติดต่อหาพวกเขาเลย ดูซิว่าจะยอมย้ายลูกมาเรียนที่นี่ไหม แต่ว่าโรงเรียนที่นี่อยู่ห่างจากที่พักของพวกเขามาก อีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมก็ได้”สิ้นเสียง ฉินเย่มองไปที่เขา แล้วพูดว่า “ทำทุกวิถีทาง”“เข้าใจแล้วครับ”-เฉาหานอวี่และภรรยาสวีเจียโหรวเพิ่งเลิกงานกำลังจะกลับบ้านพร้อมกันสองสามีภรรยาทำงานในบริษัทเดียวกัน เลิกงานพร้อมกัน ช่วงกลางวันมีเวลาพักสองชั่วโมง ทั้งสองพักอยู่ไม่ไกลจากบริษัท ดังนั้นเพียงแค่เดินเท้าก็กลับถึงบ้านได้ หลังจากทำกับข้าวกินเสร็จเรียบร้อยยังพอมีเวลาพักอีกครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเดินกลับไปทำงานต่อถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ พวกเขาสองคนใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ทุกวันเฉาหานอวี่พึงพอใจกับชีวิตแบบนี้มาก จะให้เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ แบบนี้ไปจนตายเขาก็ยอม แน่นอนว่าขอแค่ภรรยาของเขาไม่บ่นก็พอเพราะบางครั้งภรรยาของเขามักจะบ่นว่าเขาไม่ได้เรื่องอยู่บ่อยครั้ง ผู้ชายคนอื่นมีเงินขนาดนั้น มีโอกาสได้เลื่อนขั้น แต่เขาทำงานอยู่ที่บริษัทมาหลายปีกลับยังอยู่กับที่ไม่ไปไหนพอบ่นหลายครั้งเข้า เฉาหานอวี่ก็จำฝังลึกอยู่ในใจ นานๆ ไปก็กลายเป็นปมในใจเพียงแต่ปมในใจนี้ยังไม่กระทบต่อชีวิตแต่งงานของทั้งส
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง