สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงเมืองหนานเฉิงไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหน แต่พอลงจากเครื่อง แล้วเห็นสถานที่เดิมๆ อันคุ้นตาแล้ว มือที่ขนาบข้างกายของเสิ่นหยินอู้ก็อดสั่นเทาไม่ได้ห้าปีก่อน เธอจากไปจากที่นี่ห้าปีผ่านไปแล้ว สนามบินไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เสิ่นหยินอู้เดินตามหลังสุด ในใจกลับเต็มไปด้วยวันวานน่าจะเป็นเพราะเธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าเห็นเธอเดินช้า ก็เลยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเธอแต่เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกต พุ่งชนพอดีตุบหน้าผากของเธอชนเข้ากับแผ่นอกหนึ่งเสิ่นหยินอู้หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองดวงตาสีดำของฉินเย่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอเดินไม่ดูทาวหรือไง?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก จากนั้นนวดที่หน้าผากของตนเบาๆ พลางถอยหลังกลับ แล้วขมวดคิ้ว“เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”“คิดอะไรกัน ถึงได้คิดเพลินขนาดนี้?”เสิ่นหยินอู้หยุดนวดหน้าผากของตัวเอง แววตาดูว่างเปล่า “ฉันกำลังคิดว่าคุณย่าจะโทษฉันไหม? ฉันไปหาท่าน ท่านจะ…ต้อนรับฉันไหม?”ฉินเย่ตะลึงเล็กน้อยหลังจากนั้น เขาก็พูดเสียงทุ้มว่า “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่า
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้เองก็นึกขึ้นได้ตอนนั้นยังอยู่ต่างประเทศ ทุกคนออกไปเล่นกันหมด จากนั้นก็ถ่ายรูปรวม คนที่ร่วมถ่ายด้วยอีกคนหนึ่งคือโจวชวงชวงคนสามคนกับเด็กสองคนหลังจากถ่ายรูปออกมา ก็มีคนมากมายเดากันว่าเด็กๆ เป็นลูกของโจวชวงชวง นอกจากนี้ยังมีคนมากมายขอช่องทางการติดต่อของเสิ่นหยินอู้ด้วยหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กๆ ทั้งสองคนแล้ว ก็หยุดทันที“โอเค ฉันไม่คุยกัยเธอละ ขอขับรถก่อน พวกเราใกล้ถึงกันแล้วด้วย เธอทำธุระของเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเอง เธอวางใจได้ ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”“อืม”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เติมตังโทรศัพท์ให้ลูกทั้งสองคนเธอเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ ประตูห้องก็เคาะเสียงดังเสิ่นหยินอู้ลุกไปเปิดประตูคนที่อยู่นอกประตูห้องโรงแรมคือ หลี่มู่ถิง เมื่อเขาเห็นเธอ ก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที“คุณเสิ่นครับ เย็นนี้เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดีครับ?”กินข้าว?พอเขาพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงจะรู้สึกถึงความหิว แต่ตอนนี้เธอทั้งยังง่วงมากด้วย ช่วงนี้ต้องตื่นมาทำอาหารให้ฉินเย่ทุกเช้า เวลานอนแต่ละวันก็ลดน้อยลง วันนี้ยังต้องบินอีก ทำให้ตอนนี้เธอรู
สิบนาทีต่อมา ณ ร้านอาหารเสฉวน เสิ่นหยินอู้คืนเมนูให้กับพนักงาน "เอาแค่นี้ก่อนค่ะ" พนักงานรับเมนูไปแล้วพยักหน้า: "ได้ครับ" หลังจากพูดจบ เขาก็ถือเมนูและเดินจากไป ฉินเย่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่แรก พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับบรรยากาศที่แปลกประหลาด หลี่มู่ถิงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นในตอนนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ไม่มีความต้องการที่จะพูดคุยกับฉินเย่ จึงหยิบโทรศัพท์มาค้นหาข้อมูล หลังจากที่หลี่มู่ถิงซึ่งอยู่ข้างๆเธอรู้เข้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจว่าเธอเป็นพวกบ้างาน เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าฉินเย่เป็นคนบ้างานมาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าเสิ่นหยินอู้จะบ้างานหนักกว่าเขาด้วยซ้ำ ผู้คนเดินไปมาในร้านอาหารเสฉวน แม้แต่ในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเผ็ดร้อน มันมีกลิ่นที่หอมมาก แต่มันไม่เป็นมิตรกับท้องของฉินเย่ หลังจากรอประมาณสิบนาที อาหารที่เสิ่นหยินอู้สั่งก็มาเสิร์ฟทีละจาน สมกับเป็นร้านอาหารเสฉวนจริงๆ ทุกจานที่ยกมาเสิร์ฟล้วนมีสีแดงสด ในด้านเต็มไปด้วยพริกทอด หลี่มู่ถิงชอบอาหารเผ็ดๆ และคิดว่าอาหารรสเผ็ดเข้ากันไ
เพราะเมื่อก่อนเขาทำไม่ดีกับเธอไว้ แม้ว่าเขาจะปิดกั้นหัวใจของเขา แต่หากเธอต้องการแก้แค้นเขาจริงๆ เขาก็จะยอมรับมัน ทันทีที่เขาพูดจบ พนักงานก็ยกจานสุดท้ายมาเสิร์ฟ “ขอโทษทีนะครับคุณผู้หญิง ต้มโจ๊กต้องใช้เวลาสักพัก โจ๊กเพิ่งสุกน่ะครับ ทานให้อร่อยครับ” พนักงานวางโจ๊กสีขาวในหม้อใบเล็กๆไว้ตรงที่ว่างทางด้านซ้ายมือ เมื่อเห็นหม้อโจ๊ก สมองฉินเย่ก็สับสนเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็ตกตะลึงเช่นกัน “คะ คุณหนูเสิ่น โจ๊กหม้อนี้…?”เสิ่นหยินอู้เห็นท่าทางประหลาดใจของเขา จึงหัวเราะเยาะ: "ฉันดูใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับท้อง แต่ก็ยังจะให้เขากินอะไรพวกนี้งั้นหรอ?" หากเธอต้องการให้เขาเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปดูแลเขาก็ได้ ทำไมจะต้องทำอะไรอ้อมค้อมมากมายขนาดนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็พาเขามาที่ร้านอาหารเสฉวนก็เพราะเธอตั้งใจ ถ้าไม่มีเธอ เขาก็จะกินข้าวดีๆไม่ได้สินะ? งั้นก็ให้เขามากินโจ๊กจืดๆที่นี่ แล้วนั่งมองเธอกับหลี่มู่ถิงกินอย่างเอร็ดอร่อย "เปล่าครับ เปล่าเลย" หลี่มู่ถิงรีบอธิบาย อารมณ์ที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนขึ้นในทันใด ไม่
ก่อนเข้านอน เสิ่นหยินอู้ส่งข้อความไปถามไถ่เฉียวลี่ซือ ลี่ซือส่งวิดีโอของเด็กที่ไร้เดียงสาสองคนกำลังเล่นเกมในสนามเด็กเล่นให้เธอ “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันพาพวกเขาไปให้แล้วนะ วันนี้เด็กน้อยทั้งสองมีความสุขกันมาก พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ฉันจะพาพวกเขากลับดึกหน่อยนะ” ไม่ใช่ว่าลี่ซือไม่เคยช่วยเธอพาเด็กๆไปเที่ยวมาก่อน เสิ่นหยินอู้จึงวางใจได้ “โอเค ขอบใจนะ รอฉันกลับบ้านนะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และพักผ่อน เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่ลี่ซือส่งข้อความหาเธอ เธอก็เปิดวิดีโอของเสิ่นซือเหนียนและเสิ่นเหมิงเหมิงอีกครั้ง เพราะคิดว่าพวกเขาน่ารักมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะแชร์ไปใน Wechat moment ของเธอ ไม่นานหลังจากที่เธอแชร์ หนุ่มๆหลายคนที่ตามจีบเธออยู่ก็กดไลค์ใน Wechat moment ของเธอทันที และชมเด็กๆด้วยหลายๆวิธีต่างเพื่อให้เธอสนใจ ลี่ซือเลื่อนดูคอมเมนต์เหล่านี้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลย ไม่ว่าเธอจะโพสต์อะไร ผู้ชายพวกนี้ก็มีแต่จะมาชมแบบไม่ใช้สมอง ผู้ชายจอมลวงโลกพวกนี้ เมื่อนึกบางอย่างได้ ลี่ซือจึงกดออกจาก Wechat moment และอดไม่ได้ที่จะมองดูช่องทางการติดต่อของบัญชี We
“ผู้ช่วยหลี่ คุณมาเตือนฉันคงจะไม่ดีเท่าไปเตือนประธานฉินของคุณนะ เขาสวมเสื้อน้อยกว่าฉันอีก” อย่างน้อยเธอก็สวมเสื้อโค้ท แล้วเสื้อโค๊ทก็เป็นแบบกันหนาวพิเศษ “ไม่หนาว” ฉินเย่กล่าว “แต่คุณป่วยอยู่” เสิ่นหยินอู้สวน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเบา ๆ: "ถ้าเป็นคนป่วยผมจะไปสุสานกับคุณได้เหรอ? ไปกันเถอะ อย่าจุกจิกนักเลย คุณยังต้องไปช้อปปิ้งต่อไม่ใช่เหรอ?" เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อเขาไม่ไปหาอะไรมาใส่เพิ่ม เขาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ เธอคงไม่สามารถทำตัวเหมือนแม่ของเขาไปได้ตลอดสินะ? หลังจากคิดได้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก และพยักหน้า "งั้นก็ไปกันเถอะ" พวกเขาไปซื้อผลไม้ ดอกไม้สด และของเซ่นไหว้ และในที่สุดก็รีบตรงไปที่สุสาน ระหว่างทางไปสุสาน อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้จู่ๆก็หนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน บรรยากาศในรถก็อึมครึมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจมาก "ถึงแล้ว" เมื่อมาถึง รถก็จอด และประตูรถก็ถูกเปิดออก พื้นของสุสานที่ผ่านหยาดสายฝนมาตลอดทั้งคืนยังคงมีคราบน้ำอยู่ ในอากาศก็มีกลิ่นสายฝนปะปนกับกลิ่นชื้นของหญ้าและดิน ที่สุสานหลังจากฝนตกน
ฉินเย่ยืนอยู่ในที่ไกลๆ มองดูเสิ่นหยินอู้พิงหลุมศพและพูดคุยกับคุณย่าอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและความสิ้นหวังอันหนักหน่วงที่ออกมาจากร่างกายของเธอ สภาพนี้เหมือนกับเขาในตอนแรกที่ทราบว่าคุณย่าของเขาจากไปทุกอย่าง ไม่สิ แย่กว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ฉินเย่นึกถึงช่วงเวลาที่คุณย่าเข้ารับการผ่าตัดเมื่อห้าปีที่แล้ว เธอตกอยู่ในภวังค์ของเธอเอง มันแสดงให้เห็นว่าคุณย่าที่อยู่ในใจเธอนั้นสำคัญเพียงใด เมื่อคิดถึงเช่นนี้ ดวงตาสีดำของฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงมา และเริ่มกังวลว่าเธอจะเป็นเช่นไรหลังจากที่คุยกับคุณย่าเสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อากาศเริ่มแย่ลงอีกครั้ง และมีเสียงฟ้าร้องดังลั่น หลี่มู่ถิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพบว่าสภาพอากาศดูเหมือนจะแย่ลง เขาจึงขมวดคิ้วและเตือนว่า: "ประธานฉิน เหมือนว่าฝนจะตกแล้ว เราควรไปหาเรียกคุณหนูเสิ่นกลับดีไหมครับ?" ฉินเย่ยืนนิ่ง จากนั้นก็พูดกับเขา: "ไปหาร่มมาสองคัน" หลี่มู่ถิงลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และเดินไปขอร่มจากยามเฝ้าประตู ไม่กี่นาทีต่อมา หลี่มู่ถิงก็วิ่งเหยาะๆกลับมาพร้อมกับร่ม
“คุณหมายความว่าไง? ตอนนั้นเป็นคุณเองไม่ใช่เหรอที่ต้องการหย่า?” “ฉันต้องการหย่า?” เหมือนกับว่าเฑอกำลังฟังเรื่องตลกบางอย่างอยู่ เสิ่ยหยินอู้ผลักฉินเย่ออกไปและถอยหลังไปสองสามก้าว ทำให้ร่างกายของเธออยู่ท่ามกลางสายฝน เมื่อฉินเย่เห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับกางร่มให้เธอเพื่อบังฝน เมื่อเห็นว่าเธอยังคงก้าวถอยไปอีก ฉินเย่ก็คว้าเอวของเธอไว้ "ถ้ายังถอยไปอีก เดี๋ยวก็เปียกหรอก" “นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” เสิ่นหยินอู้พูด และพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากพันธนาการของเขา แต่กลับถูกฉินเย่จับข้อมือไว้ "ทำไมมันจะไม่เกี่ยวกับผมล่ะ? งั้นวันนี้คุณก็พูดให้ชัดเจนต่อหน้าคุณย่าสิ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขายังอยู่ที่หน้าหลุมศพของคุณย่า ถ้าจะทะเลาะกัน ก็ต้องออกไปจากหน้าหลุมศพของคุณย่าก่อน ต้องควบคุมตัวเองเอาไว้ให้ได้ เมื่อคิดเช่นนั้น อารมณ์ที่ไม่ดีของเสิ่นหยินอู้ก็ค่อยๆลดลง และเธอก็เริ่มสงบลง เธอลดสายตาลงและสงบสติอารมณ์ “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว กลับเถอะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง