สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงเมืองหนานเฉิงไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหน แต่พอลงจากเครื่อง แล้วเห็นสถานที่เดิมๆ อันคุ้นตาแล้ว มือที่ขนาบข้างกายของเสิ่นหยินอู้ก็อดสั่นเทาไม่ได้ห้าปีก่อน เธอจากไปจากที่นี่ห้าปีผ่านไปแล้ว สนามบินไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เสิ่นหยินอู้เดินตามหลังสุด ในใจกลับเต็มไปด้วยวันวานน่าจะเป็นเพราะเธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าเห็นเธอเดินช้า ก็เลยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเธอแต่เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกต พุ่งชนพอดีตุบหน้าผากของเธอชนเข้ากับแผ่นอกหนึ่งเสิ่นหยินอู้หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองดวงตาสีดำของฉินเย่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอเดินไม่ดูทาวหรือไง?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก จากนั้นนวดที่หน้าผากของตนเบาๆ พลางถอยหลังกลับ แล้วขมวดคิ้ว“เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”“คิดอะไรกัน ถึงได้คิดเพลินขนาดนี้?”เสิ่นหยินอู้หยุดนวดหน้าผากของตัวเอง แววตาดูว่างเปล่า “ฉันกำลังคิดว่าคุณย่าจะโทษฉันไหม? ฉันไปหาท่าน ท่านจะ…ต้อนรับฉันไหม?”ฉินเย่ตะลึงเล็กน้อยหลังจากนั้น เขาก็พูดเสียงทุ้มว่า “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่า
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้เองก็นึกขึ้นได้ตอนนั้นยังอยู่ต่างประเทศ ทุกคนออกไปเล่นกันหมด จากนั้นก็ถ่ายรูปรวม คนที่ร่วมถ่ายด้วยอีกคนหนึ่งคือโจวชวงชวงคนสามคนกับเด็กสองคนหลังจากถ่ายรูปออกมา ก็มีคนมากมายเดากันว่าเด็กๆ เป็นลูกของโจวชวงชวง นอกจากนี้ยังมีคนมากมายขอช่องทางการติดต่อของเสิ่นหยินอู้ด้วยหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กๆ ทั้งสองคนแล้ว ก็หยุดทันที“โอเค ฉันไม่คุยกัยเธอละ ขอขับรถก่อน พวกเราใกล้ถึงกันแล้วด้วย เธอทำธุระของเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเอง เธอวางใจได้ ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”“อืม”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เติมตังโทรศัพท์ให้ลูกทั้งสองคนเธอเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ ประตูห้องก็เคาะเสียงดังเสิ่นหยินอู้ลุกไปเปิดประตูคนที่อยู่นอกประตูห้องโรงแรมคือ หลี่มู่ถิง เมื่อเขาเห็นเธอ ก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที“คุณเสิ่นครับ เย็นนี้เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดีครับ?”กินข้าว?พอเขาพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงจะรู้สึกถึงความหิว แต่ตอนนี้เธอทั้งยังง่วงมากด้วย ช่วงนี้ต้องตื่นมาทำอาหารให้ฉินเย่ทุกเช้า เวลานอนแต่ละวันก็ลดน้อยลง วันนี้ยังต้องบินอีก ทำให้ตอนนี้เธอรู
สิบนาทีต่อมา ณ ร้านอาหารเสฉวน เสิ่นหยินอู้คืนเมนูให้กับพนักงาน "เอาแค่นี้ก่อนค่ะ" พนักงานรับเมนูไปแล้วพยักหน้า: "ได้ครับ" หลังจากพูดจบ เขาก็ถือเมนูและเดินจากไป ฉินเย่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่แรก พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับบรรยากาศที่แปลกประหลาด หลี่มู่ถิงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นในตอนนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ไม่มีความต้องการที่จะพูดคุยกับฉินเย่ จึงหยิบโทรศัพท์มาค้นหาข้อมูล หลังจากที่หลี่มู่ถิงซึ่งอยู่ข้างๆเธอรู้เข้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจว่าเธอเป็นพวกบ้างาน เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าฉินเย่เป็นคนบ้างานมาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าเสิ่นหยินอู้จะบ้างานหนักกว่าเขาด้วยซ้ำ ผู้คนเดินไปมาในร้านอาหารเสฉวน แม้แต่ในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเผ็ดร้อน มันมีกลิ่นที่หอมมาก แต่มันไม่เป็นมิตรกับท้องของฉินเย่ หลังจากรอประมาณสิบนาที อาหารที่เสิ่นหยินอู้สั่งก็มาเสิร์ฟทีละจาน สมกับเป็นร้านอาหารเสฉวนจริงๆ ทุกจานที่ยกมาเสิร์ฟล้วนมีสีแดงสด ในด้านเต็มไปด้วยพริกทอด หลี่มู่ถิงชอบอาหารเผ็ดๆ และคิดว่าอาหารรสเผ็ดเข้ากันไ
เพราะเมื่อก่อนเขาทำไม่ดีกับเธอไว้ แม้ว่าเขาจะปิดกั้นหัวใจของเขา แต่หากเธอต้องการแก้แค้นเขาจริงๆ เขาก็จะยอมรับมัน ทันทีที่เขาพูดจบ พนักงานก็ยกจานสุดท้ายมาเสิร์ฟ “ขอโทษทีนะครับคุณผู้หญิง ต้มโจ๊กต้องใช้เวลาสักพัก โจ๊กเพิ่งสุกน่ะครับ ทานให้อร่อยครับ” พนักงานวางโจ๊กสีขาวในหม้อใบเล็กๆไว้ตรงที่ว่างทางด้านซ้ายมือ เมื่อเห็นหม้อโจ๊ก สมองฉินเย่ก็สับสนเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็ตกตะลึงเช่นกัน “คะ คุณหนูเสิ่น โจ๊กหม้อนี้…?”เสิ่นหยินอู้เห็นท่าทางประหลาดใจของเขา จึงหัวเราะเยาะ: "ฉันดูใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับท้อง แต่ก็ยังจะให้เขากินอะไรพวกนี้งั้นหรอ?" หากเธอต้องการให้เขาเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปดูแลเขาก็ได้ ทำไมจะต้องทำอะไรอ้อมค้อมมากมายขนาดนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็พาเขามาที่ร้านอาหารเสฉวนก็เพราะเธอตั้งใจ ถ้าไม่มีเธอ เขาก็จะกินข้าวดีๆไม่ได้สินะ? งั้นก็ให้เขามากินโจ๊กจืดๆที่นี่ แล้วนั่งมองเธอกับหลี่มู่ถิงกินอย่างเอร็ดอร่อย "เปล่าครับ เปล่าเลย" หลี่มู่ถิงรีบอธิบาย อารมณ์ที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนขึ้นในทันใด ไม่
ก่อนเข้านอน เสิ่นหยินอู้ส่งข้อความไปถามไถ่เฉียวลี่ซือ ลี่ซือส่งวิดีโอของเด็กที่ไร้เดียงสาสองคนกำลังเล่นเกมในสนามเด็กเล่นให้เธอ “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันพาพวกเขาไปให้แล้วนะ วันนี้เด็กน้อยทั้งสองมีความสุขกันมาก พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ฉันจะพาพวกเขากลับดึกหน่อยนะ” ไม่ใช่ว่าลี่ซือไม่เคยช่วยเธอพาเด็กๆไปเที่ยวมาก่อน เสิ่นหยินอู้จึงวางใจได้ “โอเค ขอบใจนะ รอฉันกลับบ้านนะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และพักผ่อน เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่ลี่ซือส่งข้อความหาเธอ เธอก็เปิดวิดีโอของเสิ่นซือเหนียนและเสิ่นเหมิงเหมิงอีกครั้ง เพราะคิดว่าพวกเขาน่ารักมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะแชร์ไปใน Wechat moment ของเธอ ไม่นานหลังจากที่เธอแชร์ หนุ่มๆหลายคนที่ตามจีบเธออยู่ก็กดไลค์ใน Wechat moment ของเธอทันที และชมเด็กๆด้วยหลายๆวิธีต่างเพื่อให้เธอสนใจ ลี่ซือเลื่อนดูคอมเมนต์เหล่านี้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลย ไม่ว่าเธอจะโพสต์อะไร ผู้ชายพวกนี้ก็มีแต่จะมาชมแบบไม่ใช้สมอง ผู้ชายจอมลวงโลกพวกนี้ เมื่อนึกบางอย่างได้ ลี่ซือจึงกดออกจาก Wechat moment และอดไม่ได้ที่จะมองดูช่องทางการติดต่อของบัญชี We
“ผู้ช่วยหลี่ คุณมาเตือนฉันคงจะไม่ดีเท่าไปเตือนประธานฉินของคุณนะ เขาสวมเสื้อน้อยกว่าฉันอีก” อย่างน้อยเธอก็สวมเสื้อโค้ท แล้วเสื้อโค๊ทก็เป็นแบบกันหนาวพิเศษ “ไม่หนาว” ฉินเย่กล่าว “แต่คุณป่วยอยู่” เสิ่นหยินอู้สวน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเบา ๆ: "ถ้าเป็นคนป่วยผมจะไปสุสานกับคุณได้เหรอ? ไปกันเถอะ อย่าจุกจิกนักเลย คุณยังต้องไปช้อปปิ้งต่อไม่ใช่เหรอ?" เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อเขาไม่ไปหาอะไรมาใส่เพิ่ม เขาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ เธอคงไม่สามารถทำตัวเหมือนแม่ของเขาไปได้ตลอดสินะ? หลังจากคิดได้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก และพยักหน้า "งั้นก็ไปกันเถอะ" พวกเขาไปซื้อผลไม้ ดอกไม้สด และของเซ่นไหว้ และในที่สุดก็รีบตรงไปที่สุสาน ระหว่างทางไปสุสาน อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้จู่ๆก็หนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน บรรยากาศในรถก็อึมครึมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจมาก "ถึงแล้ว" เมื่อมาถึง รถก็จอด และประตูรถก็ถูกเปิดออก พื้นของสุสานที่ผ่านหยาดสายฝนมาตลอดทั้งคืนยังคงมีคราบน้ำอยู่ ในอากาศก็มีกลิ่นสายฝนปะปนกับกลิ่นชื้นของหญ้าและดิน ที่สุสานหลังจากฝนตกน
ฉินเย่ยืนอยู่ในที่ไกลๆ มองดูเสิ่นหยินอู้พิงหลุมศพและพูดคุยกับคุณย่าอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและความสิ้นหวังอันหนักหน่วงที่ออกมาจากร่างกายของเธอ สภาพนี้เหมือนกับเขาในตอนแรกที่ทราบว่าคุณย่าของเขาจากไปทุกอย่าง ไม่สิ แย่กว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ฉินเย่นึกถึงช่วงเวลาที่คุณย่าเข้ารับการผ่าตัดเมื่อห้าปีที่แล้ว เธอตกอยู่ในภวังค์ของเธอเอง มันแสดงให้เห็นว่าคุณย่าที่อยู่ในใจเธอนั้นสำคัญเพียงใด เมื่อคิดถึงเช่นนี้ ดวงตาสีดำของฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงมา และเริ่มกังวลว่าเธอจะเป็นเช่นไรหลังจากที่คุยกับคุณย่าเสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อากาศเริ่มแย่ลงอีกครั้ง และมีเสียงฟ้าร้องดังลั่น หลี่มู่ถิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพบว่าสภาพอากาศดูเหมือนจะแย่ลง เขาจึงขมวดคิ้วและเตือนว่า: "ประธานฉิน เหมือนว่าฝนจะตกแล้ว เราควรไปหาเรียกคุณหนูเสิ่นกลับดีไหมครับ?" ฉินเย่ยืนนิ่ง จากนั้นก็พูดกับเขา: "ไปหาร่มมาสองคัน" หลี่มู่ถิงลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และเดินไปขอร่มจากยามเฝ้าประตู ไม่กี่นาทีต่อมา หลี่มู่ถิงก็วิ่งเหยาะๆกลับมาพร้อมกับร่ม
“คุณหมายความว่าไง? ตอนนั้นเป็นคุณเองไม่ใช่เหรอที่ต้องการหย่า?” “ฉันต้องการหย่า?” เหมือนกับว่าเฑอกำลังฟังเรื่องตลกบางอย่างอยู่ เสิ่ยหยินอู้ผลักฉินเย่ออกไปและถอยหลังไปสองสามก้าว ทำให้ร่างกายของเธออยู่ท่ามกลางสายฝน เมื่อฉินเย่เห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับกางร่มให้เธอเพื่อบังฝน เมื่อเห็นว่าเธอยังคงก้าวถอยไปอีก ฉินเย่ก็คว้าเอวของเธอไว้ "ถ้ายังถอยไปอีก เดี๋ยวก็เปียกหรอก" “นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” เสิ่นหยินอู้พูด และพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากพันธนาการของเขา แต่กลับถูกฉินเย่จับข้อมือไว้ "ทำไมมันจะไม่เกี่ยวกับผมล่ะ? งั้นวันนี้คุณก็พูดให้ชัดเจนต่อหน้าคุณย่าสิ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขายังอยู่ที่หน้าหลุมศพของคุณย่า ถ้าจะทะเลาะกัน ก็ต้องออกไปจากหน้าหลุมศพของคุณย่าก่อน ต้องควบคุมตัวเองเอาไว้ให้ได้ เมื่อคิดเช่นนั้น อารมณ์ที่ไม่ดีของเสิ่นหยินอู้ก็ค่อยๆลดลง และเธอก็เริ่มสงบลง เธอลดสายตาลงและสงบสติอารมณ์ “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว กลับเถอะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว