ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วพ่นคำออกไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ตื่นจากการทำงาน แล้วมองไปที่ฉินเย่“ทำไม ฉันพูดผิดเหรอ?”เสิ่นหยินอู้กลับขมวดคิ้ว “ทำไมนายไม่พักผ่อน?”ฉินเย่ตอบ “ไม่ง่วงน่ะ”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อนึกถึงคำพูดเมื้อครู่นี้ของเขา สลับกับกลยุทธ์ของตน ก็พบว่าวิธีแก้ปัญหาที่เขาพูดมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด“นายอย่ามารบกวนฉันทำงาน” เธอกล่าวได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็ก้มหน้าก้มตา แล้วหลุดหัวเราะออกมา “หวังดี แต่กลับถูกว่าร้าย”“ไม่จำเป็นจ๊ะ”ฉินเย่ถูกนิสัยของเธอทำเอาหมดคำพูด แต่กลับพบว่าเธอเขียนคำแนะนำที่ตนให้เอาไว้ อารมณ์โกรธถึงได้เพลาลงพลางแค่นเสียงเย็นชาจากนั้น แอร์โฮสเตสกก็เอาอาหารมาเสริฟ เสิ่นหยินอู้จะเขียนกลยุทธ์ออกมา แต่ไม่มีเวลา สุดท้ายก็ได้ยินฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ พูดกับแอร์โฮสเตสว่า“ผมขอไวน์แก้วหนึ่งครับ”เสิ่นหยินอู้ที่กำลังพิมพ์อยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเขา เธอจ้องฉินเย่ตาเป็นมัน “นายป่วยยังไม่ทันหายดีเลย ยังจะดื่มอีก!”“ดีมากแล้ว” ฉินเย่กล่าวนิ่งๆ “ดื่มแค่ไม่กี่อึกเอง”คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นหยินอู้หมดคำพูด
สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงเมืองหนานเฉิงไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหน แต่พอลงจากเครื่อง แล้วเห็นสถานที่เดิมๆ อันคุ้นตาแล้ว มือที่ขนาบข้างกายของเสิ่นหยินอู้ก็อดสั่นเทาไม่ได้ห้าปีก่อน เธอจากไปจากที่นี่ห้าปีผ่านไปแล้ว สนามบินไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เสิ่นหยินอู้เดินตามหลังสุด ในใจกลับเต็มไปด้วยวันวานน่าจะเป็นเพราะเธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าเห็นเธอเดินช้า ก็เลยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเธอแต่เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกต พุ่งชนพอดีตุบหน้าผากของเธอชนเข้ากับแผ่นอกหนึ่งเสิ่นหยินอู้หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองดวงตาสีดำของฉินเย่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอเดินไม่ดูทาวหรือไง?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก จากนั้นนวดที่หน้าผากของตนเบาๆ พลางถอยหลังกลับ แล้วขมวดคิ้ว“เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”“คิดอะไรกัน ถึงได้คิดเพลินขนาดนี้?”เสิ่นหยินอู้หยุดนวดหน้าผากของตัวเอง แววตาดูว่างเปล่า “ฉันกำลังคิดว่าคุณย่าจะโทษฉันไหม? ฉันไปหาท่าน ท่านจะ…ต้อนรับฉันไหม?”ฉินเย่ตะลึงเล็กน้อยหลังจากนั้น เขาก็พูดเสียงทุ้มว่า “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่า
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้เองก็นึกขึ้นได้ตอนนั้นยังอยู่ต่างประเทศ ทุกคนออกไปเล่นกันหมด จากนั้นก็ถ่ายรูปรวม คนที่ร่วมถ่ายด้วยอีกคนหนึ่งคือโจวชวงชวงคนสามคนกับเด็กสองคนหลังจากถ่ายรูปออกมา ก็มีคนมากมายเดากันว่าเด็กๆ เป็นลูกของโจวชวงชวง นอกจากนี้ยังมีคนมากมายขอช่องทางการติดต่อของเสิ่นหยินอู้ด้วยหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กๆ ทั้งสองคนแล้ว ก็หยุดทันที“โอเค ฉันไม่คุยกัยเธอละ ขอขับรถก่อน พวกเราใกล้ถึงกันแล้วด้วย เธอทำธุระของเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเอง เธอวางใจได้ ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”“อืม”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เติมตังโทรศัพท์ให้ลูกทั้งสองคนเธอเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ ประตูห้องก็เคาะเสียงดังเสิ่นหยินอู้ลุกไปเปิดประตูคนที่อยู่นอกประตูห้องโรงแรมคือ หลี่มู่ถิง เมื่อเขาเห็นเธอ ก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที“คุณเสิ่นครับ เย็นนี้เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดีครับ?”กินข้าว?พอเขาพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงจะรู้สึกถึงความหิว แต่ตอนนี้เธอทั้งยังง่วงมากด้วย ช่วงนี้ต้องตื่นมาทำอาหารให้ฉินเย่ทุกเช้า เวลานอนแต่ละวันก็ลดน้อยลง วันนี้ยังต้องบินอีก ทำให้ตอนนี้เธอรู
สิบนาทีต่อมา ณ ร้านอาหารเสฉวน เสิ่นหยินอู้คืนเมนูให้กับพนักงาน "เอาแค่นี้ก่อนค่ะ" พนักงานรับเมนูไปแล้วพยักหน้า: "ได้ครับ" หลังจากพูดจบ เขาก็ถือเมนูและเดินจากไป ฉินเย่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่แรก พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับบรรยากาศที่แปลกประหลาด หลี่มู่ถิงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นในตอนนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ไม่มีความต้องการที่จะพูดคุยกับฉินเย่ จึงหยิบโทรศัพท์มาค้นหาข้อมูล หลังจากที่หลี่มู่ถิงซึ่งอยู่ข้างๆเธอรู้เข้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจว่าเธอเป็นพวกบ้างาน เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าฉินเย่เป็นคนบ้างานมาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าเสิ่นหยินอู้จะบ้างานหนักกว่าเขาด้วยซ้ำ ผู้คนเดินไปมาในร้านอาหารเสฉวน แม้แต่ในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเผ็ดร้อน มันมีกลิ่นที่หอมมาก แต่มันไม่เป็นมิตรกับท้องของฉินเย่ หลังจากรอประมาณสิบนาที อาหารที่เสิ่นหยินอู้สั่งก็มาเสิร์ฟทีละจาน สมกับเป็นร้านอาหารเสฉวนจริงๆ ทุกจานที่ยกมาเสิร์ฟล้วนมีสีแดงสด ในด้านเต็มไปด้วยพริกทอด หลี่มู่ถิงชอบอาหารเผ็ดๆ และคิดว่าอาหารรสเผ็ดเข้ากันไ
เพราะเมื่อก่อนเขาทำไม่ดีกับเธอไว้ แม้ว่าเขาจะปิดกั้นหัวใจของเขา แต่หากเธอต้องการแก้แค้นเขาจริงๆ เขาก็จะยอมรับมัน ทันทีที่เขาพูดจบ พนักงานก็ยกจานสุดท้ายมาเสิร์ฟ “ขอโทษทีนะครับคุณผู้หญิง ต้มโจ๊กต้องใช้เวลาสักพัก โจ๊กเพิ่งสุกน่ะครับ ทานให้อร่อยครับ” พนักงานวางโจ๊กสีขาวในหม้อใบเล็กๆไว้ตรงที่ว่างทางด้านซ้ายมือ เมื่อเห็นหม้อโจ๊ก สมองฉินเย่ก็สับสนเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็ตกตะลึงเช่นกัน “คะ คุณหนูเสิ่น โจ๊กหม้อนี้…?”เสิ่นหยินอู้เห็นท่าทางประหลาดใจของเขา จึงหัวเราะเยาะ: "ฉันดูใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับท้อง แต่ก็ยังจะให้เขากินอะไรพวกนี้งั้นหรอ?" หากเธอต้องการให้เขาเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปดูแลเขาก็ได้ ทำไมจะต้องทำอะไรอ้อมค้อมมากมายขนาดนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็พาเขามาที่ร้านอาหารเสฉวนก็เพราะเธอตั้งใจ ถ้าไม่มีเธอ เขาก็จะกินข้าวดีๆไม่ได้สินะ? งั้นก็ให้เขามากินโจ๊กจืดๆที่นี่ แล้วนั่งมองเธอกับหลี่มู่ถิงกินอย่างเอร็ดอร่อย "เปล่าครับ เปล่าเลย" หลี่มู่ถิงรีบอธิบาย อารมณ์ที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนขึ้นในทันใด ไม่
ก่อนเข้านอน เสิ่นหยินอู้ส่งข้อความไปถามไถ่เฉียวลี่ซือ ลี่ซือส่งวิดีโอของเด็กที่ไร้เดียงสาสองคนกำลังเล่นเกมในสนามเด็กเล่นให้เธอ “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันพาพวกเขาไปให้แล้วนะ วันนี้เด็กน้อยทั้งสองมีความสุขกันมาก พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ฉันจะพาพวกเขากลับดึกหน่อยนะ” ไม่ใช่ว่าลี่ซือไม่เคยช่วยเธอพาเด็กๆไปเที่ยวมาก่อน เสิ่นหยินอู้จึงวางใจได้ “โอเค ขอบใจนะ รอฉันกลับบ้านนะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และพักผ่อน เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่ลี่ซือส่งข้อความหาเธอ เธอก็เปิดวิดีโอของเสิ่นซือเหนียนและเสิ่นเหมิงเหมิงอีกครั้ง เพราะคิดว่าพวกเขาน่ารักมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะแชร์ไปใน Wechat moment ของเธอ ไม่นานหลังจากที่เธอแชร์ หนุ่มๆหลายคนที่ตามจีบเธออยู่ก็กดไลค์ใน Wechat moment ของเธอทันที และชมเด็กๆด้วยหลายๆวิธีต่างเพื่อให้เธอสนใจ ลี่ซือเลื่อนดูคอมเมนต์เหล่านี้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลย ไม่ว่าเธอจะโพสต์อะไร ผู้ชายพวกนี้ก็มีแต่จะมาชมแบบไม่ใช้สมอง ผู้ชายจอมลวงโลกพวกนี้ เมื่อนึกบางอย่างได้ ลี่ซือจึงกดออกจาก Wechat moment และอดไม่ได้ที่จะมองดูช่องทางการติดต่อของบัญชี We
“ผู้ช่วยหลี่ คุณมาเตือนฉันคงจะไม่ดีเท่าไปเตือนประธานฉินของคุณนะ เขาสวมเสื้อน้อยกว่าฉันอีก” อย่างน้อยเธอก็สวมเสื้อโค้ท แล้วเสื้อโค๊ทก็เป็นแบบกันหนาวพิเศษ “ไม่หนาว” ฉินเย่กล่าว “แต่คุณป่วยอยู่” เสิ่นหยินอู้สวน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเบา ๆ: "ถ้าเป็นคนป่วยผมจะไปสุสานกับคุณได้เหรอ? ไปกันเถอะ อย่าจุกจิกนักเลย คุณยังต้องไปช้อปปิ้งต่อไม่ใช่เหรอ?" เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อเขาไม่ไปหาอะไรมาใส่เพิ่ม เขาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ เธอคงไม่สามารถทำตัวเหมือนแม่ของเขาไปได้ตลอดสินะ? หลังจากคิดได้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก และพยักหน้า "งั้นก็ไปกันเถอะ" พวกเขาไปซื้อผลไม้ ดอกไม้สด และของเซ่นไหว้ และในที่สุดก็รีบตรงไปที่สุสาน ระหว่างทางไปสุสาน อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้จู่ๆก็หนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน บรรยากาศในรถก็อึมครึมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจมาก "ถึงแล้ว" เมื่อมาถึง รถก็จอด และประตูรถก็ถูกเปิดออก พื้นของสุสานที่ผ่านหยาดสายฝนมาตลอดทั้งคืนยังคงมีคราบน้ำอยู่ ในอากาศก็มีกลิ่นสายฝนปะปนกับกลิ่นชื้นของหญ้าและดิน ที่สุสานหลังจากฝนตกน
ฉินเย่ยืนอยู่ในที่ไกลๆ มองดูเสิ่นหยินอู้พิงหลุมศพและพูดคุยกับคุณย่าอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและความสิ้นหวังอันหนักหน่วงที่ออกมาจากร่างกายของเธอ สภาพนี้เหมือนกับเขาในตอนแรกที่ทราบว่าคุณย่าของเขาจากไปทุกอย่าง ไม่สิ แย่กว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ฉินเย่นึกถึงช่วงเวลาที่คุณย่าเข้ารับการผ่าตัดเมื่อห้าปีที่แล้ว เธอตกอยู่ในภวังค์ของเธอเอง มันแสดงให้เห็นว่าคุณย่าที่อยู่ในใจเธอนั้นสำคัญเพียงใด เมื่อคิดถึงเช่นนี้ ดวงตาสีดำของฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงมา และเริ่มกังวลว่าเธอจะเป็นเช่นไรหลังจากที่คุยกับคุณย่าเสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อากาศเริ่มแย่ลงอีกครั้ง และมีเสียงฟ้าร้องดังลั่น หลี่มู่ถิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพบว่าสภาพอากาศดูเหมือนจะแย่ลง เขาจึงขมวดคิ้วและเตือนว่า: "ประธานฉิน เหมือนว่าฝนจะตกแล้ว เราควรไปหาเรียกคุณหนูเสิ่นกลับดีไหมครับ?" ฉินเย่ยืนนิ่ง จากนั้นก็พูดกับเขา: "ไปหาร่มมาสองคัน" หลี่มู่ถิงลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และเดินไปขอร่มจากยามเฝ้าประตู ไม่กี่นาทีต่อมา หลี่มู่ถิงก็วิ่งเหยาะๆกลับมาพร้อมกับร่ม
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ