วินาทีที่เสิ่นหยินอู้ถูกฉินเย่จับมือเอาไว้ เธอมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น คือหนาวมือของฉินเย่ราวกับเพิ่งจับน้ำแข็งมาหมาดๆ ต่างจากอุณหภูมิอุ่นๆ ของเธออย่างสิ้นเชิง เย็นเสียจนเธออดขนลุกซู่ไม่ได้เสิ่นหยินอู้มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของฉินเย่อย่างอดไม่ได้เพราะทั้งสองถูกเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นฉินเย่เองก็สามารถสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้เช่นเดียวกันหลังจากที่เธอนั่งตัวตรงแล้ว ก็เก็บมือของตัวเองอย่างฉับพลันเมื่อแอร์โฮสเตสเดินจากไป เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“ไม่ให้ฉันเข้าไม่ใช่เหรอ?”ฉินเย่ปั้นหน้าขรึม ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกว่าแผนการของหลี่มู่ถิงนี่ไม่เลวจริงๆเป็นไปตามคาด ยิ่งเขาทำตัวไม่อยากใกล้ชิดเธอมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งคิดว่าตนกำลังปิดบังเรื่องอาการป่วยกับเธอมากเท่านั้น และจะไม่ปฏิเสธในการใกล้ชิดกับเขาผลลัพธ์นี้ตรงตามที่เขาต้องการพอดีหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ถามขึ้นก่อนว่า “นายทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”“ไม่อย่างนั้นล่ะ? จะรอให้กลับมาแล้วไปแอดมิดต่อเหรอ?”น้ำเสียงของเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เมื่อคิดว่าเขากำลังจะ
ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วพ่นคำออกไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ตื่นจากการทำงาน แล้วมองไปที่ฉินเย่“ทำไม ฉันพูดผิดเหรอ?”เสิ่นหยินอู้กลับขมวดคิ้ว “ทำไมนายไม่พักผ่อน?”ฉินเย่ตอบ “ไม่ง่วงน่ะ”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อนึกถึงคำพูดเมื้อครู่นี้ของเขา สลับกับกลยุทธ์ของตน ก็พบว่าวิธีแก้ปัญหาที่เขาพูดมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด“นายอย่ามารบกวนฉันทำงาน” เธอกล่าวได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็ก้มหน้าก้มตา แล้วหลุดหัวเราะออกมา “หวังดี แต่กลับถูกว่าร้าย”“ไม่จำเป็นจ๊ะ”ฉินเย่ถูกนิสัยของเธอทำเอาหมดคำพูด แต่กลับพบว่าเธอเขียนคำแนะนำที่ตนให้เอาไว้ อารมณ์โกรธถึงได้เพลาลงพลางแค่นเสียงเย็นชาจากนั้น แอร์โฮสเตสกก็เอาอาหารมาเสริฟ เสิ่นหยินอู้จะเขียนกลยุทธ์ออกมา แต่ไม่มีเวลา สุดท้ายก็ได้ยินฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ พูดกับแอร์โฮสเตสว่า“ผมขอไวน์แก้วหนึ่งครับ”เสิ่นหยินอู้ที่กำลังพิมพ์อยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเขา เธอจ้องฉินเย่ตาเป็นมัน “นายป่วยยังไม่ทันหายดีเลย ยังจะดื่มอีก!”“ดีมากแล้ว” ฉินเย่กล่าวนิ่งๆ “ดื่มแค่ไม่กี่อึกเอง”คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นหยินอู้หมดคำพูด
สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงเมืองหนานเฉิงไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหน แต่พอลงจากเครื่อง แล้วเห็นสถานที่เดิมๆ อันคุ้นตาแล้ว มือที่ขนาบข้างกายของเสิ่นหยินอู้ก็อดสั่นเทาไม่ได้ห้าปีก่อน เธอจากไปจากที่นี่ห้าปีผ่านไปแล้ว สนามบินไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เสิ่นหยินอู้เดินตามหลังสุด ในใจกลับเต็มไปด้วยวันวานน่าจะเป็นเพราะเธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าเห็นเธอเดินช้า ก็เลยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเธอแต่เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกต พุ่งชนพอดีตุบหน้าผากของเธอชนเข้ากับแผ่นอกหนึ่งเสิ่นหยินอู้หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองดวงตาสีดำของฉินเย่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอเดินไม่ดูทาวหรือไง?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก จากนั้นนวดที่หน้าผากของตนเบาๆ พลางถอยหลังกลับ แล้วขมวดคิ้ว“เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”“คิดอะไรกัน ถึงได้คิดเพลินขนาดนี้?”เสิ่นหยินอู้หยุดนวดหน้าผากของตัวเอง แววตาดูว่างเปล่า “ฉันกำลังคิดว่าคุณย่าจะโทษฉันไหม? ฉันไปหาท่าน ท่านจะ…ต้อนรับฉันไหม?”ฉินเย่ตะลึงเล็กน้อยหลังจากนั้น เขาก็พูดเสียงทุ้มว่า “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่า
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้เองก็นึกขึ้นได้ตอนนั้นยังอยู่ต่างประเทศ ทุกคนออกไปเล่นกันหมด จากนั้นก็ถ่ายรูปรวม คนที่ร่วมถ่ายด้วยอีกคนหนึ่งคือโจวชวงชวงคนสามคนกับเด็กสองคนหลังจากถ่ายรูปออกมา ก็มีคนมากมายเดากันว่าเด็กๆ เป็นลูกของโจวชวงชวง นอกจากนี้ยังมีคนมากมายขอช่องทางการติดต่อของเสิ่นหยินอู้ด้วยหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กๆ ทั้งสองคนแล้ว ก็หยุดทันที“โอเค ฉันไม่คุยกัยเธอละ ขอขับรถก่อน พวกเราใกล้ถึงกันแล้วด้วย เธอทำธุระของเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเอง เธอวางใจได้ ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”“อืม”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เติมตังโทรศัพท์ให้ลูกทั้งสองคนเธอเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ ประตูห้องก็เคาะเสียงดังเสิ่นหยินอู้ลุกไปเปิดประตูคนที่อยู่นอกประตูห้องโรงแรมคือ หลี่มู่ถิง เมื่อเขาเห็นเธอ ก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที“คุณเสิ่นครับ เย็นนี้เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดีครับ?”กินข้าว?พอเขาพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงจะรู้สึกถึงความหิว แต่ตอนนี้เธอทั้งยังง่วงมากด้วย ช่วงนี้ต้องตื่นมาทำอาหารให้ฉินเย่ทุกเช้า เวลานอนแต่ละวันก็ลดน้อยลง วันนี้ยังต้องบินอีก ทำให้ตอนนี้เธอรู
สิบนาทีต่อมา ณ ร้านอาหารเสฉวน เสิ่นหยินอู้คืนเมนูให้กับพนักงาน "เอาแค่นี้ก่อนค่ะ" พนักงานรับเมนูไปแล้วพยักหน้า: "ได้ครับ" หลังจากพูดจบ เขาก็ถือเมนูและเดินจากไป ฉินเย่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่แรก พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับบรรยากาศที่แปลกประหลาด หลี่มู่ถิงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นในตอนนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ไม่มีความต้องการที่จะพูดคุยกับฉินเย่ จึงหยิบโทรศัพท์มาค้นหาข้อมูล หลังจากที่หลี่มู่ถิงซึ่งอยู่ข้างๆเธอรู้เข้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจว่าเธอเป็นพวกบ้างาน เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าฉินเย่เป็นคนบ้างานมาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าเสิ่นหยินอู้จะบ้างานหนักกว่าเขาด้วยซ้ำ ผู้คนเดินไปมาในร้านอาหารเสฉวน แม้แต่ในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเผ็ดร้อน มันมีกลิ่นที่หอมมาก แต่มันไม่เป็นมิตรกับท้องของฉินเย่ หลังจากรอประมาณสิบนาที อาหารที่เสิ่นหยินอู้สั่งก็มาเสิร์ฟทีละจาน สมกับเป็นร้านอาหารเสฉวนจริงๆ ทุกจานที่ยกมาเสิร์ฟล้วนมีสีแดงสด ในด้านเต็มไปด้วยพริกทอด หลี่มู่ถิงชอบอาหารเผ็ดๆ และคิดว่าอาหารรสเผ็ดเข้ากันไ
เพราะเมื่อก่อนเขาทำไม่ดีกับเธอไว้ แม้ว่าเขาจะปิดกั้นหัวใจของเขา แต่หากเธอต้องการแก้แค้นเขาจริงๆ เขาก็จะยอมรับมัน ทันทีที่เขาพูดจบ พนักงานก็ยกจานสุดท้ายมาเสิร์ฟ “ขอโทษทีนะครับคุณผู้หญิง ต้มโจ๊กต้องใช้เวลาสักพัก โจ๊กเพิ่งสุกน่ะครับ ทานให้อร่อยครับ” พนักงานวางโจ๊กสีขาวในหม้อใบเล็กๆไว้ตรงที่ว่างทางด้านซ้ายมือ เมื่อเห็นหม้อโจ๊ก สมองฉินเย่ก็สับสนเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็ตกตะลึงเช่นกัน “คะ คุณหนูเสิ่น โจ๊กหม้อนี้…?”เสิ่นหยินอู้เห็นท่าทางประหลาดใจของเขา จึงหัวเราะเยาะ: "ฉันดูใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับท้อง แต่ก็ยังจะให้เขากินอะไรพวกนี้งั้นหรอ?" หากเธอต้องการให้เขาเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปดูแลเขาก็ได้ ทำไมจะต้องทำอะไรอ้อมค้อมมากมายขนาดนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็พาเขามาที่ร้านอาหารเสฉวนก็เพราะเธอตั้งใจ ถ้าไม่มีเธอ เขาก็จะกินข้าวดีๆไม่ได้สินะ? งั้นก็ให้เขามากินโจ๊กจืดๆที่นี่ แล้วนั่งมองเธอกับหลี่มู่ถิงกินอย่างเอร็ดอร่อย "เปล่าครับ เปล่าเลย" หลี่มู่ถิงรีบอธิบาย อารมณ์ที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนขึ้นในทันใด ไม่
ก่อนเข้านอน เสิ่นหยินอู้ส่งข้อความไปถามไถ่เฉียวลี่ซือ ลี่ซือส่งวิดีโอของเด็กที่ไร้เดียงสาสองคนกำลังเล่นเกมในสนามเด็กเล่นให้เธอ “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันพาพวกเขาไปให้แล้วนะ วันนี้เด็กน้อยทั้งสองมีความสุขกันมาก พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ฉันจะพาพวกเขากลับดึกหน่อยนะ” ไม่ใช่ว่าลี่ซือไม่เคยช่วยเธอพาเด็กๆไปเที่ยวมาก่อน เสิ่นหยินอู้จึงวางใจได้ “โอเค ขอบใจนะ รอฉันกลับบ้านนะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และพักผ่อน เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่ลี่ซือส่งข้อความหาเธอ เธอก็เปิดวิดีโอของเสิ่นซือเหนียนและเสิ่นเหมิงเหมิงอีกครั้ง เพราะคิดว่าพวกเขาน่ารักมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะแชร์ไปใน Wechat moment ของเธอ ไม่นานหลังจากที่เธอแชร์ หนุ่มๆหลายคนที่ตามจีบเธออยู่ก็กดไลค์ใน Wechat moment ของเธอทันที และชมเด็กๆด้วยหลายๆวิธีต่างเพื่อให้เธอสนใจ ลี่ซือเลื่อนดูคอมเมนต์เหล่านี้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลย ไม่ว่าเธอจะโพสต์อะไร ผู้ชายพวกนี้ก็มีแต่จะมาชมแบบไม่ใช้สมอง ผู้ชายจอมลวงโลกพวกนี้ เมื่อนึกบางอย่างได้ ลี่ซือจึงกดออกจาก Wechat moment และอดไม่ได้ที่จะมองดูช่องทางการติดต่อของบัญชี We
“ผู้ช่วยหลี่ คุณมาเตือนฉันคงจะไม่ดีเท่าไปเตือนประธานฉินของคุณนะ เขาสวมเสื้อน้อยกว่าฉันอีก” อย่างน้อยเธอก็สวมเสื้อโค้ท แล้วเสื้อโค๊ทก็เป็นแบบกันหนาวพิเศษ “ไม่หนาว” ฉินเย่กล่าว “แต่คุณป่วยอยู่” เสิ่นหยินอู้สวน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเบา ๆ: "ถ้าเป็นคนป่วยผมจะไปสุสานกับคุณได้เหรอ? ไปกันเถอะ อย่าจุกจิกนักเลย คุณยังต้องไปช้อปปิ้งต่อไม่ใช่เหรอ?" เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อเขาไม่ไปหาอะไรมาใส่เพิ่ม เขาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ เธอคงไม่สามารถทำตัวเหมือนแม่ของเขาไปได้ตลอดสินะ? หลังจากคิดได้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก และพยักหน้า "งั้นก็ไปกันเถอะ" พวกเขาไปซื้อผลไม้ ดอกไม้สด และของเซ่นไหว้ และในที่สุดก็รีบตรงไปที่สุสาน ระหว่างทางไปสุสาน อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้จู่ๆก็หนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน บรรยากาศในรถก็อึมครึมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจมาก "ถึงแล้ว" เมื่อมาถึง รถก็จอด และประตูรถก็ถูกเปิดออก พื้นของสุสานที่ผ่านหยาดสายฝนมาตลอดทั้งคืนยังคงมีคราบน้ำอยู่ ในอากาศก็มีกลิ่นสายฝนปะปนกับกลิ่นชื้นของหญ้าและดิน ที่สุสานหลังจากฝนตกน