“ผู้ช่วยหลี่ คุณมาเตือนฉันคงจะไม่ดีเท่าไปเตือนประธานฉินของคุณนะ เขาสวมเสื้อน้อยกว่าฉันอีก” อย่างน้อยเธอก็สวมเสื้อโค้ท แล้วเสื้อโค๊ทก็เป็นแบบกันหนาวพิเศษ “ไม่หนาว” ฉินเย่กล่าว “แต่คุณป่วยอยู่” เสิ่นหยินอู้สวน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเบา ๆ: "ถ้าเป็นคนป่วยผมจะไปสุสานกับคุณได้เหรอ? ไปกันเถอะ อย่าจุกจิกนักเลย คุณยังต้องไปช้อปปิ้งต่อไม่ใช่เหรอ?" เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อเขาไม่ไปหาอะไรมาใส่เพิ่ม เขาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ เธอคงไม่สามารถทำตัวเหมือนแม่ของเขาไปได้ตลอดสินะ? หลังจากคิดได้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก และพยักหน้า "งั้นก็ไปกันเถอะ" พวกเขาไปซื้อผลไม้ ดอกไม้สด และของเซ่นไหว้ และในที่สุดก็รีบตรงไปที่สุสาน ระหว่างทางไปสุสาน อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้จู่ๆก็หนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน บรรยากาศในรถก็อึมครึมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจมาก "ถึงแล้ว" เมื่อมาถึง รถก็จอด และประตูรถก็ถูกเปิดออก พื้นของสุสานที่ผ่านหยาดสายฝนมาตลอดทั้งคืนยังคงมีคราบน้ำอยู่ ในอากาศก็มีกลิ่นสายฝนปะปนกับกลิ่นชื้นของหญ้าและดิน ที่สุสานหลังจากฝนตกน
ฉินเย่ยืนอยู่ในที่ไกลๆ มองดูเสิ่นหยินอู้พิงหลุมศพและพูดคุยกับคุณย่าอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและความสิ้นหวังอันหนักหน่วงที่ออกมาจากร่างกายของเธอ สภาพนี้เหมือนกับเขาในตอนแรกที่ทราบว่าคุณย่าของเขาจากไปทุกอย่าง ไม่สิ แย่กว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ฉินเย่นึกถึงช่วงเวลาที่คุณย่าเข้ารับการผ่าตัดเมื่อห้าปีที่แล้ว เธอตกอยู่ในภวังค์ของเธอเอง มันแสดงให้เห็นว่าคุณย่าที่อยู่ในใจเธอนั้นสำคัญเพียงใด เมื่อคิดถึงเช่นนี้ ดวงตาสีดำของฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงมา และเริ่มกังวลว่าเธอจะเป็นเช่นไรหลังจากที่คุยกับคุณย่าเสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อากาศเริ่มแย่ลงอีกครั้ง และมีเสียงฟ้าร้องดังลั่น หลี่มู่ถิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพบว่าสภาพอากาศดูเหมือนจะแย่ลง เขาจึงขมวดคิ้วและเตือนว่า: "ประธานฉิน เหมือนว่าฝนจะตกแล้ว เราควรไปหาเรียกคุณหนูเสิ่นกลับดีไหมครับ?" ฉินเย่ยืนนิ่ง จากนั้นก็พูดกับเขา: "ไปหาร่มมาสองคัน" หลี่มู่ถิงลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และเดินไปขอร่มจากยามเฝ้าประตู ไม่กี่นาทีต่อมา หลี่มู่ถิงก็วิ่งเหยาะๆกลับมาพร้อมกับร่ม
“คุณหมายความว่าไง? ตอนนั้นเป็นคุณเองไม่ใช่เหรอที่ต้องการหย่า?” “ฉันต้องการหย่า?” เหมือนกับว่าเฑอกำลังฟังเรื่องตลกบางอย่างอยู่ เสิ่ยหยินอู้ผลักฉินเย่ออกไปและถอยหลังไปสองสามก้าว ทำให้ร่างกายของเธออยู่ท่ามกลางสายฝน เมื่อฉินเย่เห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับกางร่มให้เธอเพื่อบังฝน เมื่อเห็นว่าเธอยังคงก้าวถอยไปอีก ฉินเย่ก็คว้าเอวของเธอไว้ "ถ้ายังถอยไปอีก เดี๋ยวก็เปียกหรอก" “นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” เสิ่นหยินอู้พูด และพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากพันธนาการของเขา แต่กลับถูกฉินเย่จับข้อมือไว้ "ทำไมมันจะไม่เกี่ยวกับผมล่ะ? งั้นวันนี้คุณก็พูดให้ชัดเจนต่อหน้าคุณย่าสิ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขายังอยู่ที่หน้าหลุมศพของคุณย่า ถ้าจะทะเลาะกัน ก็ต้องออกไปจากหน้าหลุมศพของคุณย่าก่อน ต้องควบคุมตัวเองเอาไว้ให้ได้ เมื่อคิดเช่นนั้น อารมณ์ที่ไม่ดีของเสิ่นหยินอู้ก็ค่อยๆลดลง และเธอก็เริ่มสงบลง เธอลดสายตาลงและสงบสติอารมณ์ “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว กลับเถอะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
เดิมทีพวกเขากำลังจะไปโรงพยาบาล แต่ก่อนที่รถจะไปถึงโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้ก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนรถ แอร์ที่เปิดในรถตั้งอุณภูมิไว้สูงมาก แต่เสื้อผ้าของหลี่มู่ถิงที่อยู่เบาะหน้ายังคงเปียกอยู่ เขาเริ่มจามจากความหนาวเย็นและสูดจมูก เธออึ้งไปครู่หนึ่ง เอื้อมมือออกไปกุมศีรษะของตัวเอง แต่กลับสบตากับสายตาคู่ที่สงบนิ่ง ฉินเย่นั่งอยู่ที่มุมเบาะแถวหลัง มองดูเธออย่างเงียบ ๆ จากนั้นเธอก็รู้ตัวว่าเธอได้กินที่ของเบาะแถวหลังไปทั้งหมด ดังนั้นฉินเย่จึงนั่งอยู่ตรงมุมเบาะ เธอต้องการที่จะลุกขึ้นมานั่ง แต่ก็พบว่าตัวเองรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เธอจึงนอนอยู่แบบนั้น หลี่มู่ถิงที่นั่งอยู่เบาะหน้าจามอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง เขาไม่รู้ว่าเสิ่นหยินอู้ตื่นแล้ว หลังจากจาม เขาก็บีบจมูกแล้วหันไปถามฉินเย่ “ประธานฉิน ผมเห็นว่าหลังของคุณเปียก แต่ทำไมคุณไม่จามเลยล่ะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว เธอกำลังปะปิดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเป็นลมไปด้วยคำพูดของหลี่มู่ถิง ตอนนั้นฝนตก แต่เธอเป็นลมไปอีกครั้ง ทั้งคู่ตัวเปียกไปหมด เธอนอนอยู่บนรถ
เมื่อเห็นฉินเย่ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน หลี่มู่ถิงก็ทำได้เพียงพูดคำพูดที่รุนแรง: "ถ้าคุณไม่ถอดเสื้อที่เปียกออก ถ้าอีกเดี๋ยวคุณหนูเสิ่นมาเห็นเข้า เธอจะไม่รู้หรอว่าคุณตั้งใจ?" “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล” ในที่สุดฉินเย่ก็ถูกเขาเกลี้ยกล่อมสำเร็จ เขาลุกขึ้นยืนและถอดเสื้อคลุมออกที่เปียกออก หลังจากเปลี่ยนเสื้อ ฉินเย่ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นในทันที ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของหลี่มู่ถิงดังขึ้น ทันทีที่เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เขาก็ได้ยินฉินเย่ถามว่า: "เธอพูดอะไรคุณบ้าง?" หลี่มู่ถิง: "..." เขายังไม่ทันดูข้อความด้วยซ้ำ หลังจากที่เขาดูเสร็จ หลี่มู่ถิงก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่นบอกว่า เธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากงีบสักหน่อย เธอก็เลยจะไม่ไปกินข้าวกับเราตอนเที่ยง" “รู้สึกไม่สบายเหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว: "โทรหาเธอ แล้วถามเธอว่าไม่สบายตรงไหน?" อย่างไรเสีย เธอก็เพิ่งเป็นลมมา ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงกังวลมากที่เธอบอกว่ารู้สึกไม่สบาย อย่างไรก็ตาม หลี่มู่ถิงถือโทรศัพท์โดยไม่ขยับไปไหน เขามองไปที่ฉินเย่อย่างครุ่นคิด “ประธานฉิน ทำไมคุณไม่ใช้โทรศัพท์ของคุณโทรล่ะครับ?” ทันทีที่เขาพูดจบ หลี่มู่ถิงก็ได้รั
เมื่อพนักงานของโรงแรมเห็นพวกเขาทั้งสอง เขาก็แสดงความประหลาดใจออกมา "พวกคุณคือ?" หลี่มู่ถิงชี้ไปที่ตัวเอง: "ผมเพิ่งโทรไปสั่งอาหารให้เพื่อนของผม เธออยู่ตรงข้ามนี้ครับ" เมื่อได้ยิน พนักงานโรงแรมก็แสดงอาการที่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ออกมาในทันที “อย่างนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของคุณจะไม่ได้อยู่ข้างในห้องนะคะ ฉันกดกริ่งไปหลายครั้งแล้วก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเลย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ พนักงานโรงแรมก็พูดอย่างกระวนกระวายว่า: "ถ้างั้น พวกคุณลองโทรไปเช็คดูไหมคะว่าเธออยู่ข้างในไหม?" ฉินเย่มองไปที่หลี่มู่ถิง "โทร" หลี่มู่ถิงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเสิ่นหยินอู้ "ผู้ช่วยหลี่" ผู้ช่วยหลี่ได้ยินเสียงที่แจ่มใสเสียงของเสิ่นหยินอู้ ดูไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งถูกปลุกขึ้นมาจากการนอนหลับ งั้นในตอนนี้ เธอก็คงไม่ได้นอนอยู่สินะ? แล้วทำไมกดกริ่งแล้วแต่กลับไม่มีใครมาเปิดประตู? "คุณหนูเสิ่น คุณตื่นแล้วหรอครับ?" เสิ่นหยินอู้กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงที่มีผู้คนเดินไปมา เธอถือโทรศัพท์อยู่ที่ข้างๆหูของเธอ เม้มริมฝีปาก แล้วจึงถอนหายใจ "คุณหนูเสิ่นถ้าคุณตื่นแล้วก็ช่วยมาเปิดประตูให้หน่อยนะครับ ผมก
หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็วางสาย และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และเดินไปที่ประตูขึ้นเครื่องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่ส่งโทรศัพท์คืนให้หลี่มู่ถิงด้วยใบหน้าที่มืดมน หลี่มู่ถิงมอง และพบว่าโทรศัพท์ถูกตัดสายไปแล้ว จากที่เขาเพิ่งได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง เขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่นไปสนามบินแล้วเหรอครับ?" เขาไม่ไดัตอบอะไร แต่ใบหน้าที่บูดบึ้งของเขาได้บอกทุกอย่างแทนคำพูดแล้ว “แล้ว…เราควรจะทำยังไงต่อครับ?” ฉินเย่เหลือบมองเขาแล้วพูดว่า "กลับไปที่บริษัทก่อน" หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักของโรงแรม เมื่อหลี่มู่ถิงต้องการจะตามเขาไป เขานึกได้ว่ามีพนักงานของโรงแรมที่มาส่งอาหารอยู่ข้างๆ เขาจึงพูดไปว่า: "อาหารพวกนี้ไม่จำเป็นแล้วครับ เอาให้พนักงานในโรงแรมของคุณแบ่งกันได้เลยครับ คนในห้องออกไปแล้ว" หลังจากพูดจบ เขาก็รีบเดินตามฉินเย่ไป พนักงานโรงแรมยืนอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง หลังจากที่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เบิกตากว้างขึ้นด้วยความดีใจ - ณ เจียงเฉิง ทันทีที่เสิ่นหยินอู
“ฉันไม่ต้องการ”เสิ่นหยินอู้พูดอย่างโกรธเคือง:“ฉันไม่ได้ต้องการจะใช้ชีวิตแบบนั้นอีก”คำตอบนี้ทำให้อู๋อี้ไห่ประหลาดใจเล็กน้อย“งั้นคุณหมายความว่า หลังจากนี้ก็จะไม่คิดจะมีใครอีกแล้วหรอ? คิดที่จะอยู่คนเดียวไปตลอดเลยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง:“ประมาณนั้นแหละ”“งั้นคุณต้องคิดให้ดีนะ ถ้าจะใช้ชีวิตคนเดียวล่ะก็ ในอนาคตมันจะเหงานะ”อู๋อี้ไห่เลี้ยวพวงมาลัย แล้วขับเข้าไปตามถนนสายหลัก จากนั้นก็พูดว่า:“คนน่ะยังไงก็เป็นสัตว์สังคมอยู่วันยังค่ำ ตอนยังเด็กคุณยังมีพ่อมีแม่ แล้วก็เพื่อนๆที่ยังโสดอยู่ข้างๆ ก็เลยคิดว่าถึงไม่ได้แต่งงานมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอายุมากขึ้น พอไม่มีพ่อ แม่ เพื่อนฝูงอยู่ข้างๆแล้ว คุณก็จะโหยหาใครสักคนที่จะมาอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนคุณ มากินข้าวด้วยกันกับคุณ”เสิ่นหยินอู้ฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเธอไม่ได้ตัวคนเดียวเธอมีลูกๆอีกสองคน“ตอนที่ผมยังหนุ่มผมก็เคยคิดที่จะไม่แต่งงาน การแต่งงานน่ะมันดีตรงไหน? การมีลูกน่ะมันดีตรงไหน? ใช้ชีวิตไปคนเดียวมันไม่ดีตรงไหน? ผมยังต้องจ่ายเงินเลี้ยงดูลูก จ่ายค่ากิน ค่าเรียน ค่าอะไรต่างๆอีก แต่พอมีครอบครัวจ