เพราะในที่ทำงานในวันนั้น ปฏิกิริยาของโม่ไป๋นั้นเหมือนว่าเขากำลังบังคับเธอ เธอถึงกับรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงคนที่เห็นเหตุการณ์เลย หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันแบบคุยๆหยุดๆจนมาถึงบริษัท เสิ่นหยินอู้กลับไปที่ห้องทำงาน ระหว่างนั้น เธอได้คุยโทรศัพท์กับเฉียวลี่ซือ ลี่ซือบอกว่าวันนี้ลูกๆทั้งสองคนของหยินอู้ยังอยู่กับเธอ “โอเค ฉันจะไปรับพวกเขาหลังเลิกงาน” - ณ หนานเฉิง ฉินเย่กลับไปที่บริษัท ทันทีที่เขามาถึงบริษัท หลี่มู่ถิงได้รับข้อความว่าให้เก็บข้าวของ และช่วงนี้ให้ย้ายที่ทำงานไปที่สำนักงานสาขาในเจียงเฉิง เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? เขาจึงไปเตรียมตัวในทันที ฉินเย่นั่งลงในห้องทำงาน ยื่นมือออกไปกุมตำแหน่งที่เขาปวดท้องเล็กน้อย สีหน้าของเขายังคงไม่ค่อยสู้ดีอยู่เล็กน้อย วันนี้ถูกเธอทำให้โกรธเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ ฉินเย่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ของเขา เขาเปิดโทรศัพท์และกดเข้าไปในแอปเพื่อดูว่าช่วงนี้เด็กน้อยทั้งสองคนนั้นได้โพสต์คลิปวิดีโอใหม่ๆอะไรบ้างหรือไม่ หลังจากกดเข้าไป เขาพบว่ามีการโพสต์คลิปวิด
วันนี้เฉียวลี่ซือไม่ได้ไปทำงาน เธอดูแลเด็กๆสองคนแทนเสิ่นหยินอู้ที่บ้าน เด็กทั้งสองคนอยู่ในโอวาทและเชื่อฟังมาก ที่จริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องพาพวกเขาไปไหน เธอมีหน้าที่แค่ช่วยดูไม่ให้พวกเขาไปไหนและทำอะไรซี้ซั้ว ไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นในเวลาอื่น เธอล้วนทำสิ่งที่เธออยากทำ ตัวอย่างเช่น ในตอนนี้เธอกำลังเลื่อนดูโทรศัพท์เพื่อดูสินค้าแฟชั่นใหม่ล่าสุด ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะสั่งซื้อสินค้าให้มาส่งที่บ้านหรือจะพาเสิ่นหยินอู้ไปด้วยกันกับเธอในตอนที่เธอว่าง โทรศัพท์ของเธอก็สั่น มีข้อความใหม่ล่าสุดเด้งขึ้นมาที่ด้านบนสุดของหน้าจอ หลังจากมองดู เฉียวลี่ซือก็ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แม้ว่าแขนขาของเธอจะแข็งไปหมด แต่หัวใจของเธอกลับเริ่มเต้นรัวขึ้นมา เธอดูผิดหรือเปล่า? เหมือนว่าเธอจะเห็นคุณผู้ชายฉินอะไรนั่นส่งข้อความมาหาเธองั้นเหรอ? หลังจากที่เธอได้สติ เฉียวลี่ซือก็รีบเปิด WeChat ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเธอเห็นข้อความใหม่ล่าสุดจากบัญชีที่เธอปักหมุดไว้ เฉียวลี่ซือรู้สึกตื่นเต้นมากจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร และดวงตาของเธอก็ร้อนผ่าวตาม เธอกดเข้าไปในแชท คุณผู้ชายฉิน: คุณเฉียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวลี่ซือก็ตกใจ จากนั้นก็แย้งว่า “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ? พวกเขาไม่ใช่ลูกของฉันหรอก ถ้าฉันมีลูกแล้ว ฉันจะไปคุยกับคุณทำไมล่ะคะ?” เพื่อกำจัดความสงสัยในใจของอีกฝ่ายว่าเธอแต่งงานแล้วและมีลูกแล้วหรือยัง เฉียวลี่ซือจึงรีบอธิบาย: "สองคนนั้นเป็นลูกของเพื่อนฉันเอง คนที่คุณถามถึงครั้งก่อนน่ะค่ะ" เมื่อพูดประโยคนี้ ความรู้สึกผิดก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเฉียวลี่ซือ อย่าไปโทษเธอเลย ในความเป็นจริงแล้ว เธอสงสัยมาโดยตลอดว่าเสิ่นหยินอู้กับฉินเย่อาจรู้จักกันมาก่อน ไม่เช่นนั้นชายคนนั้นคงจะไม่ทำตัวเช่นนี้ ตอนนี้เมื่อเธอมีโอกาส งั้นเธอจะต้องพูดถึงเรื่องของเสิ่นหยินอู้ให้ได้ ถ้าเขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูกแล้ว เขาคงจะถอดใจไปเองใช่ไหม? ถ้าเป็นแบบนี้...โอกาสของเธอเองก็จะมากขึ้นสินะ? แน่นอนว่านี่เป็นเพียงโชคที่มีอยู่อันน้อยนิดของลี่ซือ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิด ท้ายที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็มีลูกแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็โตมากแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่มีลับลมคมในอะไร และเธอก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง หลังจากได้ยิน ฉินเย่คงจะกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ “โอ้?” เขาเลิกคิ้ว: “ผู้หญิงที่
“ไม่มีโอกาสงั้นเหรอ?” ฉินเย่หัวเราะเบาๆ: "คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีหรือไม่มีโอกาส?" หลังจากรู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูก และพวกเขาทั้งสองคนโตขนาดนั้น หลี่มู่ถิงรู้สึกเสียดายแทนฉินเย่ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำหน้าเศร้าโศก “ประธานฉินครับ ลูกของเธอโตขนาดนี้แล้ว แสดงว่าลูกของเธอมีพ่อนะครับ งั้นคุณคงจะไม่มีโอกาสแล้วแน่นอน และถ้าคุณเป็นแบบนี้ต่อไป คุณอาจจะกลายเป็นชู้ของคนอื่นในอนาคตนะครับ หรือว่าคุณจะยอมปล่อยให้ชื่อเสียงของคุณโด่งดังเรื่องเป็นชู้กับชาวบ้านครับ?” หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็กวาดสายตามองไปที่เขา สายตานั้นเหมือนกับการมองคนที่บกพร่องทางสติปัญญา หลี่มู่ถิงรู้สึกสับสน เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? “ยังจำคำพูดที่คุณเคยพูดได้ไหม?” “คำพูดไหนเหรอครับ ประธานฉิน คุณช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้ไหมครับ?”หลี่มู่ถิงกระวนกระวายเล็กน้อยกับคำพูดของฉินเย่ เขาไม่รู้จริงๆว่าฉินเย่หมายถึงอะไรกันแน่ ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะดูร้อนรนขึ้นมา แต่หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เริ่มเสียใจอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะร้อนรนแค่ไหน เขาก็ไม่ควรพูดกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงโทนนี้ เมื่อเขากำลังจะขอโทษ เขาก็พบว่าฉินเย
ฉินเย่เองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน“ประธานฉิน คุณ…ไม่รู้เหรอครับ?”ตอนนี้สายตาของหลี่มู่ถิงที่มองฉินเย่เปลี่ยนแปลงไป ดูอยากที่จะพูดฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าหมองคล้ำเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องนี้?“เก็บของ ไปเมืองเจียงเฉิง”หลี่มู่ถิงพยักหน้า “เรียบร้อยแล้ว จะออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ?”ฉินเย่ทำหน้าขรึม “ตอนนี้”ก่อนขึ้นเครื่องบิน ฉินเย่พูดกับหลี่มู่ถิง “นายหาคนไปสืบมาว่าตอนนี้เด็กสองคนนี้อยู่ไหน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ขอแบบละเอียด”“ครับประธานฉิน ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”หลังจากขึ้นเครื่องบิน ฉินเย่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ในตากลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยไม่คิดเลยว่าเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงจะมีโอกาสเป็นลูกๆ ของเขา ไม่น่าล่ะเขาถึงได้รู้สึกผูกพันกับทั้งสองคนที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!วินาทีนี้ ความเจ็บปวด หรือทรมานใดๆ พลันจางหายไปหมดแล้วสำหรับฉินเย่หลี่มู่ถิงนั่งข้างๆ เขาพร้อมสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “ประธานฉิน ผมสั่งให้คนไปสืบดูแล้ว จะรู้ผลในคืนนี้ ไม่ก็พรุ่งนี้เลย”“อืม”หลี่มู่ถิงมองฉินเย่แวบหนึ่ง แล้วละสายตา จนถึงตอน
เมื่อครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เฉียวลี่ซือก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนเป็นถามว่าตอนนี้เสิ่นหยินอู้พี้กอยู่ที่ไหน“อยู่บ้านที่โม่ไป๋เตรียมไว้ให้ตอนแรกน่ะ แน่นอนว่าฉันจ่ายค่าเช่าด้วย”ที่เสริมประโยคหลังเข้าไป เพราะกลัวว่าเฉียวลี่ซือจะเข้าใจผิดเป็นไปตามคาด เฉียวลี่ซือได้ยินดังนั้น ก็สะท้านตกใจเล็กน้อย“จ่ายค่าเช่า? โม่ไป๋จะรับค่าเช่าจากเธอเหรอ?”“ถ้าเขาไม่รับ ฉันก็ไม่อยู่”เฉียวลี่ซืออึ้งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพูดยิ้มๆ “เยี่ยมจริงๆ เขาก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ทำได้แค่รับเงินจากเธอแล้ว”เฉินหยินอู้ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไรต่อ“แต่ว่า เธอกีดกันเขามากเกินไปไหม? เขาดีกับเธอมากเลยนะ เธอไม่พิจารณาดูหน่อยจริงๆ เหรอ?”“ลี่ซือ เพราะว่าเขาดีกับฉันจริงๆ ฉันก็เลยคบกับเขาไม่ได้ไง ไม่อย่างนั้นฉันจะทำร้ายเขา และไม่เป็นผลดีกับเขาด้วย”เฉียวลี่ซือส่ายศีรษะ“เฮ้อ ฉันไม่เข้าใจพวกเธอเลยจริงๆ แต่เธอตัดสินใจเอาเองก็พอแล้วล่ะ”พูดคุยกับเธออยู่พักหนึ่ง เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้านตอนกลับ เฉียวลี่ซืพูดขึ้น “พรุ่งนี้จะให้ฉันช่วยดูแลเด็กๆ อีกไหม?”“ไม่ต้องแล้ว ฉันหมดธุระแล้วน่ะ พรุ่งนี
เขาพูดชื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งออกมา หลี่มู่ถิงก็รีบเปิดแผนที่ดูทันที“เจอแล้วครับ อยู่แถวบริษัทคุณเสิ่นครับ”ฉินเย่กวาดมองแวบหนึ่งหลี่มู่ถิงชี้ไปที่แผนที่“บริษัทของคุณเสิ่นอยู่ตรงนี้ โรงเรียนอยู่ตรงนี้ครับ”ฉินเย่มองแผนที่ในโทรศัพท์ เขานึกถึงเด็กน่ารักทั้งสองคน แล้วนึกถึงดวงตาและคิ้วที่คล้ายกับตนถึงขีดสุดนั่นแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรผ่านไปนาน เขาถึงจะละสายตา“ขึ้นไปกันเถอะ”-วันรุ่งขึ้นตอนที่เสิ่นหยินอู้พาเด็กทั้งสองคนไปโรงเรียน เธอไม่ทันสังเกตเลยว่ามีรถสีดำสนิท ไม่ว่าจะเป็นตัวรถหรือหน้าต่างรถก็ตามคันหนึ่งจอดอยู่ระแวกหน้าโรงเรียน เพราะว่ารถที่มาส่งลูกๆ เยอะมาก ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงไม่ได้สังเกตเลยทำได้เพียงมองดูเด็กทั้งสองคนเดินเข้าไปจากหน้าประตูโรงเรียน แล้วอำลาตนเสิ่นหยินอู้ย่อตัวลง รู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนจุ๊บเข้าที่แก้มของตนคนละฝั่ง“บ๊ายบายครับ/ค่ะหม่ามี๊”“รีบเข้าไปเถอะ”เสิ่นหยินอู้ผลักกระเป๋าน้อยของทั้งสองคนให้เข้าไปข้างในหลังจากที่พวกเขาเข้าไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ถึงจะลุกขึ้น แล้วเตรียมตัวกลับขณะที่ผ่านรถสีดำนั้น จู่ๆ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกถึงบางอย่าง เธอหยุดฝีเท้า
ผู้อำนวยการโรงเรียนออกมาต้อนรับฉินเย่ด้วยตัวเองความจริงตอนที่รู้ว่าฉินเย่จะมาโรงเรียนของพวกเขา ผู้อำนวยการโรงเรียนก็รู้สึกอึ้งเหมือนกันฉินเย่ที่เป็นผู้สำเร็จในทางธุรกิจ เขาเองก็รู้จัก แต่การที่เขาบอกว่าจะมาเยี่ยมชมบรรยากาศของโรงเรียนนั้น เขาอึ้งเหมือนกันเพราะเขาไม่ได้รับข่าวที่บอกว่าฉินเย่แต่งงาน หรือมีลูกแล้วเลยนี่หลังจากที่เขาพูดความสงสัยนี้ออกมา ภรรยาของเขากลับบอกว่า “คุณจะสนใจว่าคนอื่นเขาจะมีลูกหรือไม่มีลูกทำไม คนอื่นเขาอาจจะเตรียมตัวไว้ก่อนก็ได้ คนรวยเขาชอบเตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ต้องไปคิดเยอะหรอก คนอื่นเขาก็แค่มาเยี่ยมชมดูเฉยๆ คุณแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ”เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยาแล้ว ผู้อำนวยการสวีก็ยิ้มต้อนรับฉินเย่ แล้วพาเขาเดินชมรอบโรงเรียน“สภาพแวดล้อมรอบๆ โรงเรียนของเราไม่เลวเลย หากอนาคตประธานฉินมีลูก สามารถพิจารณาโรงเรียนของเราดูได้นะครับ”น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง สีหน้าของฉินเย่ก็ยังคงนิ่งขรึมราวกับไม่สะทกสะท้านอะไรเลยผู้อำนวยการพาคนเดินไปทางห้องเรียนขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียน เด็กๆ หลายคนเพิ่งมาถึงห้องเรียน บางคนก็ยังมาไม่ถึง“ตอนนี้เป็นช่วงอัธยาศ
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง