เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวลี่ซือก็ตกใจ จากนั้นก็แย้งว่า “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ? พวกเขาไม่ใช่ลูกของฉันหรอก ถ้าฉันมีลูกแล้ว ฉันจะไปคุยกับคุณทำไมล่ะคะ?” เพื่อกำจัดความสงสัยในใจของอีกฝ่ายว่าเธอแต่งงานแล้วและมีลูกแล้วหรือยัง เฉียวลี่ซือจึงรีบอธิบาย: "สองคนนั้นเป็นลูกของเพื่อนฉันเอง คนที่คุณถามถึงครั้งก่อนน่ะค่ะ" เมื่อพูดประโยคนี้ ความรู้สึกผิดก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเฉียวลี่ซือ อย่าไปโทษเธอเลย ในความเป็นจริงแล้ว เธอสงสัยมาโดยตลอดว่าเสิ่นหยินอู้กับฉินเย่อาจรู้จักกันมาก่อน ไม่เช่นนั้นชายคนนั้นคงจะไม่ทำตัวเช่นนี้ ตอนนี้เมื่อเธอมีโอกาส งั้นเธอจะต้องพูดถึงเรื่องของเสิ่นหยินอู้ให้ได้ ถ้าเขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูกแล้ว เขาคงจะถอดใจไปเองใช่ไหม? ถ้าเป็นแบบนี้...โอกาสของเธอเองก็จะมากขึ้นสินะ? แน่นอนว่านี่เป็นเพียงโชคที่มีอยู่อันน้อยนิดของลี่ซือ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิด ท้ายที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็มีลูกแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็โตมากแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่มีลับลมคมในอะไร และเธอก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง หลังจากได้ยิน ฉินเย่คงจะกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ “โอ้?” เขาเลิกคิ้ว: “ผู้หญิงที่
“ไม่มีโอกาสงั้นเหรอ?” ฉินเย่หัวเราะเบาๆ: "คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีหรือไม่มีโอกาส?" หลังจากรู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูก และพวกเขาทั้งสองคนโตขนาดนั้น หลี่มู่ถิงรู้สึกเสียดายแทนฉินเย่ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำหน้าเศร้าโศก “ประธานฉินครับ ลูกของเธอโตขนาดนี้แล้ว แสดงว่าลูกของเธอมีพ่อนะครับ งั้นคุณคงจะไม่มีโอกาสแล้วแน่นอน และถ้าคุณเป็นแบบนี้ต่อไป คุณอาจจะกลายเป็นชู้ของคนอื่นในอนาคตนะครับ หรือว่าคุณจะยอมปล่อยให้ชื่อเสียงของคุณโด่งดังเรื่องเป็นชู้กับชาวบ้านครับ?” หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็กวาดสายตามองไปที่เขา สายตานั้นเหมือนกับการมองคนที่บกพร่องทางสติปัญญา หลี่มู่ถิงรู้สึกสับสน เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? “ยังจำคำพูดที่คุณเคยพูดได้ไหม?” “คำพูดไหนเหรอครับ ประธานฉิน คุณช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้ไหมครับ?”หลี่มู่ถิงกระวนกระวายเล็กน้อยกับคำพูดของฉินเย่ เขาไม่รู้จริงๆว่าฉินเย่หมายถึงอะไรกันแน่ ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะดูร้อนรนขึ้นมา แต่หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เริ่มเสียใจอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะร้อนรนแค่ไหน เขาก็ไม่ควรพูดกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงโทนนี้ เมื่อเขากำลังจะขอโทษ เขาก็พบว่าฉินเย
ฉินเย่เองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน“ประธานฉิน คุณ…ไม่รู้เหรอครับ?”ตอนนี้สายตาของหลี่มู่ถิงที่มองฉินเย่เปลี่ยนแปลงไป ดูอยากที่จะพูดฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าหมองคล้ำเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องนี้?“เก็บของ ไปเมืองเจียงเฉิง”หลี่มู่ถิงพยักหน้า “เรียบร้อยแล้ว จะออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ?”ฉินเย่ทำหน้าขรึม “ตอนนี้”ก่อนขึ้นเครื่องบิน ฉินเย่พูดกับหลี่มู่ถิง “นายหาคนไปสืบมาว่าตอนนี้เด็กสองคนนี้อยู่ไหน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ขอแบบละเอียด”“ครับประธานฉิน ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”หลังจากขึ้นเครื่องบิน ฉินเย่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ในตากลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยไม่คิดเลยว่าเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงจะมีโอกาสเป็นลูกๆ ของเขา ไม่น่าล่ะเขาถึงได้รู้สึกผูกพันกับทั้งสองคนที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!วินาทีนี้ ความเจ็บปวด หรือทรมานใดๆ พลันจางหายไปหมดแล้วสำหรับฉินเย่หลี่มู่ถิงนั่งข้างๆ เขาพร้อมสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “ประธานฉิน ผมสั่งให้คนไปสืบดูแล้ว จะรู้ผลในคืนนี้ ไม่ก็พรุ่งนี้เลย”“อืม”หลี่มู่ถิงมองฉินเย่แวบหนึ่ง แล้วละสายตา จนถึงตอน
เมื่อครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เฉียวลี่ซือก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนเป็นถามว่าตอนนี้เสิ่นหยินอู้พี้กอยู่ที่ไหน“อยู่บ้านที่โม่ไป๋เตรียมไว้ให้ตอนแรกน่ะ แน่นอนว่าฉันจ่ายค่าเช่าด้วย”ที่เสริมประโยคหลังเข้าไป เพราะกลัวว่าเฉียวลี่ซือจะเข้าใจผิดเป็นไปตามคาด เฉียวลี่ซือได้ยินดังนั้น ก็สะท้านตกใจเล็กน้อย“จ่ายค่าเช่า? โม่ไป๋จะรับค่าเช่าจากเธอเหรอ?”“ถ้าเขาไม่รับ ฉันก็ไม่อยู่”เฉียวลี่ซืออึ้งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพูดยิ้มๆ “เยี่ยมจริงๆ เขาก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ทำได้แค่รับเงินจากเธอแล้ว”เฉินหยินอู้ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไรต่อ“แต่ว่า เธอกีดกันเขามากเกินไปไหม? เขาดีกับเธอมากเลยนะ เธอไม่พิจารณาดูหน่อยจริงๆ เหรอ?”“ลี่ซือ เพราะว่าเขาดีกับฉันจริงๆ ฉันก็เลยคบกับเขาไม่ได้ไง ไม่อย่างนั้นฉันจะทำร้ายเขา และไม่เป็นผลดีกับเขาด้วย”เฉียวลี่ซือส่ายศีรษะ“เฮ้อ ฉันไม่เข้าใจพวกเธอเลยจริงๆ แต่เธอตัดสินใจเอาเองก็พอแล้วล่ะ”พูดคุยกับเธออยู่พักหนึ่ง เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้านตอนกลับ เฉียวลี่ซืพูดขึ้น “พรุ่งนี้จะให้ฉันช่วยดูแลเด็กๆ อีกไหม?”“ไม่ต้องแล้ว ฉันหมดธุระแล้วน่ะ พรุ่งนี
เขาพูดชื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งออกมา หลี่มู่ถิงก็รีบเปิดแผนที่ดูทันที“เจอแล้วครับ อยู่แถวบริษัทคุณเสิ่นครับ”ฉินเย่กวาดมองแวบหนึ่งหลี่มู่ถิงชี้ไปที่แผนที่“บริษัทของคุณเสิ่นอยู่ตรงนี้ โรงเรียนอยู่ตรงนี้ครับ”ฉินเย่มองแผนที่ในโทรศัพท์ เขานึกถึงเด็กน่ารักทั้งสองคน แล้วนึกถึงดวงตาและคิ้วที่คล้ายกับตนถึงขีดสุดนั่นแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรผ่านไปนาน เขาถึงจะละสายตา“ขึ้นไปกันเถอะ”-วันรุ่งขึ้นตอนที่เสิ่นหยินอู้พาเด็กทั้งสองคนไปโรงเรียน เธอไม่ทันสังเกตเลยว่ามีรถสีดำสนิท ไม่ว่าจะเป็นตัวรถหรือหน้าต่างรถก็ตามคันหนึ่งจอดอยู่ระแวกหน้าโรงเรียน เพราะว่ารถที่มาส่งลูกๆ เยอะมาก ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงไม่ได้สังเกตเลยทำได้เพียงมองดูเด็กทั้งสองคนเดินเข้าไปจากหน้าประตูโรงเรียน แล้วอำลาตนเสิ่นหยินอู้ย่อตัวลง รู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนจุ๊บเข้าที่แก้มของตนคนละฝั่ง“บ๊ายบายครับ/ค่ะหม่ามี๊”“รีบเข้าไปเถอะ”เสิ่นหยินอู้ผลักกระเป๋าน้อยของทั้งสองคนให้เข้าไปข้างในหลังจากที่พวกเขาเข้าไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ถึงจะลุกขึ้น แล้วเตรียมตัวกลับขณะที่ผ่านรถสีดำนั้น จู่ๆ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกถึงบางอย่าง เธอหยุดฝีเท้า
ผู้อำนวยการโรงเรียนออกมาต้อนรับฉินเย่ด้วยตัวเองความจริงตอนที่รู้ว่าฉินเย่จะมาโรงเรียนของพวกเขา ผู้อำนวยการโรงเรียนก็รู้สึกอึ้งเหมือนกันฉินเย่ที่เป็นผู้สำเร็จในทางธุรกิจ เขาเองก็รู้จัก แต่การที่เขาบอกว่าจะมาเยี่ยมชมบรรยากาศของโรงเรียนนั้น เขาอึ้งเหมือนกันเพราะเขาไม่ได้รับข่าวที่บอกว่าฉินเย่แต่งงาน หรือมีลูกแล้วเลยนี่หลังจากที่เขาพูดความสงสัยนี้ออกมา ภรรยาของเขากลับบอกว่า “คุณจะสนใจว่าคนอื่นเขาจะมีลูกหรือไม่มีลูกทำไม คนอื่นเขาอาจจะเตรียมตัวไว้ก่อนก็ได้ คนรวยเขาชอบเตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ต้องไปคิดเยอะหรอก คนอื่นเขาก็แค่มาเยี่ยมชมดูเฉยๆ คุณแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ”เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยาแล้ว ผู้อำนวยการสวีก็ยิ้มต้อนรับฉินเย่ แล้วพาเขาเดินชมรอบโรงเรียน“สภาพแวดล้อมรอบๆ โรงเรียนของเราไม่เลวเลย หากอนาคตประธานฉินมีลูก สามารถพิจารณาโรงเรียนของเราดูได้นะครับ”น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง สีหน้าของฉินเย่ก็ยังคงนิ่งขรึมราวกับไม่สะทกสะท้านอะไรเลยผู้อำนวยการพาคนเดินไปทางห้องเรียนขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียน เด็กๆ หลายคนเพิ่งมาถึงห้องเรียน บางคนก็ยังมาไม่ถึง“ตอนนี้เป็นช่วงอัธยาศ
“ไอ้แก่ ดูซิว่าเด็กๆ เหมือนประธานฉินจากฉินซื่อกรุ๊ปไหม?”ได้ยินดังนั้น ผู้อำนวยการสวีก็มองเขาอย่างน่าสนใจ ตอนที่ไม่พูดถึงว่าไปอย่าง แต่พอถูกเขาพูดถึง เขาก็รู้สึกคล้ายกันมาก“เหมือนมากจริงๆ”“หรือจะเป็นลูกของประธานฉิน?”“ไร้สาระ เขาจะมีลูกเหรอ? แค่แต่งงานของยังไม่เคยเลย”“ก็จริง ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่พาลูกไปศัลยกรรม เพื่อแทรกเข้าตระกูลฉินไม่ใช่เหรอ? แต่ก็ไม่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นบนโลกนี้มีคนหน้าคล้ายก็ไม่แปลก อาจจะไม่ใช่สายเลือดของเขาก็ได้”ผู้อำนวยการสวีฟังเสียงบ่นจากภรรยาอยู่ข้างๆ แล้วอดมองหน้าจอแวบหนึ่งไม่ได้ เขาคิดในใจ ‘นี่ไม่เหมือนกับพวกที่ไปศัลยกรรมจริงๆ นะ นี่มันเหมือนจริงๆ’แน่นอนว่า คำพูดแบบนี้ เขาไม่กล้าพูดต่อหน้าฉินเย่อยู่แล้ว ตอนนี้ฉินเย่มองเด็กสองคนนี้อยู่นิ่งๆ สงสัยคงจะคิดเหมือนตนแหละมั้ง?ฉินเย่มองเด็กสองคนไม่ละสายตา จากนั้นก็เดินเข้าไป“ประธานฉิน”ผู้อำนวยการสวีเห็นดังนั้น ก็คิดจะเดินเข้าไป แต่กลับถูกหลี่มู่ถิงห้ามเอาไว้“ผู้อำนวยการสวี ประธานฉินของเราคงอยากเข้าไปทักทายเด็กสองคนเฉยๆ น่ะ คุณคงไม่ได้จะห้ามเรื่องนี้ด้วยหรอกมั้ง?”“แต่ว่า…” ผู้อำนวยการสวีทำหน้า
“คุณลุงอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”เพราะครั้งก่อนที่เจอกันอยู่บนเครื่องบิน แถมหลังจากกลับมาแล้ว ก็ไม่เจอกันนานแล้ว จู่ๆ ก็มาเจอฉินเย่ที่นี่ เสิ่นเหมิงเหมิงจึงแปลกใจเล็กน้อยฉินเย้ได้ยินเสียงเล็กๆ อ่อนๆ แล้ว ริมฝีปากพลันโค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้แค่ฟังก็รู้ว่าเด็กคนนี้ได้รับความเอ็นดูมากแน่ๆ แถมยังขี้อ้อนด้วยเหมือนตอนอยู่ในไลฟ์ไม่มีผิด เป็นเด็กมีชีวิตชีวา“มาเยี่ยมชมโรงเรียนน่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกหนูสองคนที่นี่”สายตาของฉินเย่มองไปที่เสิ่นซือเหนียนแวบหนึ่งเขาไม่ได้ขี้อ้อน และไม่ทำตัวเป็นมิตรเท่าเสิ่นเหมิงเหมิง ถึงขนาดตอนที่เขาย่อตัวนั่งลง เด็กหนุ่มคนนี้ยังทำท่าเหมือนป้องกันตัวขึ้นมา ทั้งยังจับมือของเด็กผู้หญิงเป็นครั้งคราวด้วยนี่เป็นการป้องกันตัวจากเขาแต่ฉินเย่กลับไม่โกรธ กลับกันยังรู้สึกชื่นชมเสิ่นซือเหนียน“เอ๋? คุณลุงสุดหล่อมาเยี่ยมชมโรงเรียนเหรอคะ? คุณลุงแต่งงานรึยังคะ? มีลูกหรือยัง?”เสิ่นเหมิงเหมิงเป็นเด็กขี้สงสัยอย่างเห็นได้ชัด โยนคำถามออกมาไม่หยุดฉินเย่เลิกคิ้วขึ้น ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไรดีหลังจากนั้น เขาก็มองไปที่เสิ่นซื่อเหนียนที่ทำตัวระมัดระวังว่า “อย่าเรียกคุณลุ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ