เดิมทีพวกเขากำลังจะไปโรงพยาบาล แต่ก่อนที่รถจะไปถึงโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้ก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนรถ แอร์ที่เปิดในรถตั้งอุณภูมิไว้สูงมาก แต่เสื้อผ้าของหลี่มู่ถิงที่อยู่เบาะหน้ายังคงเปียกอยู่ เขาเริ่มจามจากความหนาวเย็นและสูดจมูก เธออึ้งไปครู่หนึ่ง เอื้อมมือออกไปกุมศีรษะของตัวเอง แต่กลับสบตากับสายตาคู่ที่สงบนิ่ง ฉินเย่นั่งอยู่ที่มุมเบาะแถวหลัง มองดูเธออย่างเงียบ ๆ จากนั้นเธอก็รู้ตัวว่าเธอได้กินที่ของเบาะแถวหลังไปทั้งหมด ดังนั้นฉินเย่จึงนั่งอยู่ตรงมุมเบาะ เธอต้องการที่จะลุกขึ้นมานั่ง แต่ก็พบว่าตัวเองรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เธอจึงนอนอยู่แบบนั้น หลี่มู่ถิงที่นั่งอยู่เบาะหน้าจามอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง เขาไม่รู้ว่าเสิ่นหยินอู้ตื่นแล้ว หลังจากจาม เขาก็บีบจมูกแล้วหันไปถามฉินเย่ “ประธานฉิน ผมเห็นว่าหลังของคุณเปียก แต่ทำไมคุณไม่จามเลยล่ะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว เธอกำลังปะปิดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเป็นลมไปด้วยคำพูดของหลี่มู่ถิง ตอนนั้นฝนตก แต่เธอเป็นลมไปอีกครั้ง ทั้งคู่ตัวเปียกไปหมด เธอนอนอยู่บนรถ
เมื่อเห็นฉินเย่ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน หลี่มู่ถิงก็ทำได้เพียงพูดคำพูดที่รุนแรง: "ถ้าคุณไม่ถอดเสื้อที่เปียกออก ถ้าอีกเดี๋ยวคุณหนูเสิ่นมาเห็นเข้า เธอจะไม่รู้หรอว่าคุณตั้งใจ?" “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล” ในที่สุดฉินเย่ก็ถูกเขาเกลี้ยกล่อมสำเร็จ เขาลุกขึ้นยืนและถอดเสื้อคลุมออกที่เปียกออก หลังจากเปลี่ยนเสื้อ ฉินเย่ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นในทันที ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของหลี่มู่ถิงดังขึ้น ทันทีที่เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เขาก็ได้ยินฉินเย่ถามว่า: "เธอพูดอะไรคุณบ้าง?" หลี่มู่ถิง: "..." เขายังไม่ทันดูข้อความด้วยซ้ำ หลังจากที่เขาดูเสร็จ หลี่มู่ถิงก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่นบอกว่า เธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากงีบสักหน่อย เธอก็เลยจะไม่ไปกินข้าวกับเราตอนเที่ยง" “รู้สึกไม่สบายเหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว: "โทรหาเธอ แล้วถามเธอว่าไม่สบายตรงไหน?" อย่างไรเสีย เธอก็เพิ่งเป็นลมมา ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงกังวลมากที่เธอบอกว่ารู้สึกไม่สบาย อย่างไรก็ตาม หลี่มู่ถิงถือโทรศัพท์โดยไม่ขยับไปไหน เขามองไปที่ฉินเย่อย่างครุ่นคิด “ประธานฉิน ทำไมคุณไม่ใช้โทรศัพท์ของคุณโทรล่ะครับ?” ทันทีที่เขาพูดจบ หลี่มู่ถิงก็ได้รั
เมื่อพนักงานของโรงแรมเห็นพวกเขาทั้งสอง เขาก็แสดงความประหลาดใจออกมา "พวกคุณคือ?" หลี่มู่ถิงชี้ไปที่ตัวเอง: "ผมเพิ่งโทรไปสั่งอาหารให้เพื่อนของผม เธออยู่ตรงข้ามนี้ครับ" เมื่อได้ยิน พนักงานโรงแรมก็แสดงอาการที่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ออกมาในทันที “อย่างนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของคุณจะไม่ได้อยู่ข้างในห้องนะคะ ฉันกดกริ่งไปหลายครั้งแล้วก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเลย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ พนักงานโรงแรมก็พูดอย่างกระวนกระวายว่า: "ถ้างั้น พวกคุณลองโทรไปเช็คดูไหมคะว่าเธออยู่ข้างในไหม?" ฉินเย่มองไปที่หลี่มู่ถิง "โทร" หลี่มู่ถิงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเสิ่นหยินอู้ "ผู้ช่วยหลี่" ผู้ช่วยหลี่ได้ยินเสียงที่แจ่มใสเสียงของเสิ่นหยินอู้ ดูไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งถูกปลุกขึ้นมาจากการนอนหลับ งั้นในตอนนี้ เธอก็คงไม่ได้นอนอยู่สินะ? แล้วทำไมกดกริ่งแล้วแต่กลับไม่มีใครมาเปิดประตู? "คุณหนูเสิ่น คุณตื่นแล้วหรอครับ?" เสิ่นหยินอู้กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงที่มีผู้คนเดินไปมา เธอถือโทรศัพท์อยู่ที่ข้างๆหูของเธอ เม้มริมฝีปาก แล้วจึงถอนหายใจ "คุณหนูเสิ่นถ้าคุณตื่นแล้วก็ช่วยมาเปิดประตูให้หน่อยนะครับ ผมก
หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็วางสาย และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และเดินไปที่ประตูขึ้นเครื่องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่ส่งโทรศัพท์คืนให้หลี่มู่ถิงด้วยใบหน้าที่มืดมน หลี่มู่ถิงมอง และพบว่าโทรศัพท์ถูกตัดสายไปแล้ว จากที่เขาเพิ่งได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง เขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่นไปสนามบินแล้วเหรอครับ?" เขาไม่ไดัตอบอะไร แต่ใบหน้าที่บูดบึ้งของเขาได้บอกทุกอย่างแทนคำพูดแล้ว “แล้ว…เราควรจะทำยังไงต่อครับ?” ฉินเย่เหลือบมองเขาแล้วพูดว่า "กลับไปที่บริษัทก่อน" หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักของโรงแรม เมื่อหลี่มู่ถิงต้องการจะตามเขาไป เขานึกได้ว่ามีพนักงานของโรงแรมที่มาส่งอาหารอยู่ข้างๆ เขาจึงพูดไปว่า: "อาหารพวกนี้ไม่จำเป็นแล้วครับ เอาให้พนักงานในโรงแรมของคุณแบ่งกันได้เลยครับ คนในห้องออกไปแล้ว" หลังจากพูดจบ เขาก็รีบเดินตามฉินเย่ไป พนักงานโรงแรมยืนอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง หลังจากที่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เบิกตากว้างขึ้นด้วยความดีใจ - ณ เจียงเฉิง ทันทีที่เสิ่นหยินอู
“ฉันไม่ต้องการ”เสิ่นหยินอู้พูดอย่างโกรธเคือง:“ฉันไม่ได้ต้องการจะใช้ชีวิตแบบนั้นอีก”คำตอบนี้ทำให้อู๋อี้ไห่ประหลาดใจเล็กน้อย“งั้นคุณหมายความว่า หลังจากนี้ก็จะไม่คิดจะมีใครอีกแล้วหรอ? คิดที่จะอยู่คนเดียวไปตลอดเลยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง:“ประมาณนั้นแหละ”“งั้นคุณต้องคิดให้ดีนะ ถ้าจะใช้ชีวิตคนเดียวล่ะก็ ในอนาคตมันจะเหงานะ”อู๋อี้ไห่เลี้ยวพวงมาลัย แล้วขับเข้าไปตามถนนสายหลัก จากนั้นก็พูดว่า:“คนน่ะยังไงก็เป็นสัตว์สังคมอยู่วันยังค่ำ ตอนยังเด็กคุณยังมีพ่อมีแม่ แล้วก็เพื่อนๆที่ยังโสดอยู่ข้างๆ ก็เลยคิดว่าถึงไม่ได้แต่งงานมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอายุมากขึ้น พอไม่มีพ่อ แม่ เพื่อนฝูงอยู่ข้างๆแล้ว คุณก็จะโหยหาใครสักคนที่จะมาอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนคุณ มากินข้าวด้วยกันกับคุณ”เสิ่นหยินอู้ฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเธอไม่ได้ตัวคนเดียวเธอมีลูกๆอีกสองคน“ตอนที่ผมยังหนุ่มผมก็เคยคิดที่จะไม่แต่งงาน การแต่งงานน่ะมันดีตรงไหน? การมีลูกน่ะมันดีตรงไหน? ใช้ชีวิตไปคนเดียวมันไม่ดีตรงไหน? ผมยังต้องจ่ายเงินเลี้ยงดูลูก จ่ายค่ากิน ค่าเรียน ค่าอะไรต่างๆอีก แต่พอมีครอบครัวจ
เพราะในที่ทำงานในวันนั้น ปฏิกิริยาของโม่ไป๋นั้นเหมือนว่าเขากำลังบังคับเธอ เธอถึงกับรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงคนที่เห็นเหตุการณ์เลย หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันแบบคุยๆหยุดๆจนมาถึงบริษัท เสิ่นหยินอู้กลับไปที่ห้องทำงาน ระหว่างนั้น เธอได้คุยโทรศัพท์กับเฉียวลี่ซือ ลี่ซือบอกว่าวันนี้ลูกๆทั้งสองคนของหยินอู้ยังอยู่กับเธอ “โอเค ฉันจะไปรับพวกเขาหลังเลิกงาน” - ณ หนานเฉิง ฉินเย่กลับไปที่บริษัท ทันทีที่เขามาถึงบริษัท หลี่มู่ถิงได้รับข้อความว่าให้เก็บข้าวของ และช่วงนี้ให้ย้ายที่ทำงานไปที่สำนักงานสาขาในเจียงเฉิง เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? เขาจึงไปเตรียมตัวในทันที ฉินเย่นั่งลงในห้องทำงาน ยื่นมือออกไปกุมตำแหน่งที่เขาปวดท้องเล็กน้อย สีหน้าของเขายังคงไม่ค่อยสู้ดีอยู่เล็กน้อย วันนี้ถูกเธอทำให้โกรธเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ ฉินเย่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ของเขา เขาเปิดโทรศัพท์และกดเข้าไปในแอปเพื่อดูว่าช่วงนี้เด็กน้อยทั้งสองคนนั้นได้โพสต์คลิปวิดีโอใหม่ๆอะไรบ้างหรือไม่ หลังจากกดเข้าไป เขาพบว่ามีการโพสต์คลิปวิด
วันนี้เฉียวลี่ซือไม่ได้ไปทำงาน เธอดูแลเด็กๆสองคนแทนเสิ่นหยินอู้ที่บ้าน เด็กทั้งสองคนอยู่ในโอวาทและเชื่อฟังมาก ที่จริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องพาพวกเขาไปไหน เธอมีหน้าที่แค่ช่วยดูไม่ให้พวกเขาไปไหนและทำอะไรซี้ซั้ว ไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นในเวลาอื่น เธอล้วนทำสิ่งที่เธออยากทำ ตัวอย่างเช่น ในตอนนี้เธอกำลังเลื่อนดูโทรศัพท์เพื่อดูสินค้าแฟชั่นใหม่ล่าสุด ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะสั่งซื้อสินค้าให้มาส่งที่บ้านหรือจะพาเสิ่นหยินอู้ไปด้วยกันกับเธอในตอนที่เธอว่าง โทรศัพท์ของเธอก็สั่น มีข้อความใหม่ล่าสุดเด้งขึ้นมาที่ด้านบนสุดของหน้าจอ หลังจากมองดู เฉียวลี่ซือก็ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แม้ว่าแขนขาของเธอจะแข็งไปหมด แต่หัวใจของเธอกลับเริ่มเต้นรัวขึ้นมา เธอดูผิดหรือเปล่า? เหมือนว่าเธอจะเห็นคุณผู้ชายฉินอะไรนั่นส่งข้อความมาหาเธองั้นเหรอ? หลังจากที่เธอได้สติ เฉียวลี่ซือก็รีบเปิด WeChat ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเธอเห็นข้อความใหม่ล่าสุดจากบัญชีที่เธอปักหมุดไว้ เฉียวลี่ซือรู้สึกตื่นเต้นมากจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร และดวงตาของเธอก็ร้อนผ่าวตาม เธอกดเข้าไปในแชท คุณผู้ชายฉิน: คุณเฉียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวลี่ซือก็ตกใจ จากนั้นก็แย้งว่า “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ? พวกเขาไม่ใช่ลูกของฉันหรอก ถ้าฉันมีลูกแล้ว ฉันจะไปคุยกับคุณทำไมล่ะคะ?” เพื่อกำจัดความสงสัยในใจของอีกฝ่ายว่าเธอแต่งงานแล้วและมีลูกแล้วหรือยัง เฉียวลี่ซือจึงรีบอธิบาย: "สองคนนั้นเป็นลูกของเพื่อนฉันเอง คนที่คุณถามถึงครั้งก่อนน่ะค่ะ" เมื่อพูดประโยคนี้ ความรู้สึกผิดก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเฉียวลี่ซือ อย่าไปโทษเธอเลย ในความเป็นจริงแล้ว เธอสงสัยมาโดยตลอดว่าเสิ่นหยินอู้กับฉินเย่อาจรู้จักกันมาก่อน ไม่เช่นนั้นชายคนนั้นคงจะไม่ทำตัวเช่นนี้ ตอนนี้เมื่อเธอมีโอกาส งั้นเธอจะต้องพูดถึงเรื่องของเสิ่นหยินอู้ให้ได้ ถ้าเขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูกแล้ว เขาคงจะถอดใจไปเองใช่ไหม? ถ้าเป็นแบบนี้...โอกาสของเธอเองก็จะมากขึ้นสินะ? แน่นอนว่านี่เป็นเพียงโชคที่มีอยู่อันน้อยนิดของลี่ซือ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิด ท้ายที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็มีลูกแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็โตมากแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่มีลับลมคมในอะไร และเธอก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง หลังจากได้ยิน ฉินเย่คงจะกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ “โอ้?” เขาเลิกคิ้ว: “ผู้หญิงที่
"ถึงแม้เธอจะปิดบังได้เก่งแค่ไหน แต่แม่ของฉินเย่ก็ยังดูออก หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ เด็กๆ สองคนตามคุณพ่อของฉินเย่เข้าไปเล่นในห้องหนังสือ แล้วแม่ของฉินเย่ก็ถามเธออย่างเงียบๆ""เป็นยังไงบ้าง? ติดต่อฉินเย่ได้มั้ย?" เมื่อได้ยินคำถาม เสิ่นหยินอู้ถึงกับชะงักไป ไม่รู้จะตอบยังไงดี"มีอะไรหรือเปล่า? มีเรื่องกังวลใจอะไรไม่กล้าบอกแม่หรือเปล่า? หยินอู้ แม่บอกเลยนะ ถึงแม้แม่จะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหนู แต่ถ้าหนูอยากจะคิดว่าแม่เป็นแม่แท้ๆของหนู แม่ก็ยินดี หนูคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องเลยนะ ตอนที่หนูจากไป แม่ยังไม่ได้มีโอกาสได้เจอหนูเลย และแม่ก็ไม่รู้เรื่องของพวกหนูซักเท่าไหร่ แต่ถ้าแม่รู้ แม่ก็จะบอกหนูว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างหนูกับฉินเย่ ถึงหนูจะไม่อยากจะมีเขาอีกแล้ว แต่หนูยังสามารถนับแม่เป็นแม่ของหนูได้เสมอ" คำพูดที่ไม่ได้คาดคิดนี้ ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจและทำให้น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา "ขอบคุณค่ะ แม่ คำพูดของแม่ หนูจะจดจำไว้เสมอ" ตอนเด็ก เธอเคยอิจฉาคนอื่นที่มีแม่ ทำไมเธอไม่มี เธอก็อยากมีแม่ที่อ่อนโยนและรักเธอ คอยซื้อกระโปรงสวยๆ ให้เธอ สวมใส่ให้เธอ คอยกอดเธอตอนนอน เล่านิทานให้ฟัง
"เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วงเลยครับ ในตอนที่คุณฉินว่าจ้างผม เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งปีมาแล้วครับ" หนึ่งปี?? เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงกับตกใจไปเล็กน้อย เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าไว้นานขนาดนี้ "ดังนั้น คุณเสิ่น ภายในหนึ่งปีนี้ เราจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณอย่างดีครับ" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ได้ "พวกคุณทำงานตามค่าจ้างใช่ไหม?" หัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้า"งั้นก็ดี ถ้าฉันจ่ายมากกว่าเขา แล้วขอให้พวกคุณไปต่างประเทศด้วยกันเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน พวกคุณจะรับไหมคะ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวหน้าบอดี้การ์ดถึงกับอึ้งไป"ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่แค่ฉินเย่ที่มีเงิน ฉันเองก็จ่ายได้ค่ะ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ ฉันก็สามารถจ่ายล่วงหน้าให้พวกคุณได้เหมือนกัน""เอ่อ......" "หรือว่าขอบเขตการคุ้มกันของพวกคุณมีแค่ในประเทศ?""ไม่ใช่นะครับ ในต่างประเทศก็ทำได้ เพียงแต่ว่า...... พวกเราสัญญากับคุณฉินแล้วว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณ ดังนั้นพวกเรา......""ใช่" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย "พวกคุณคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน แต่ไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพของฉันใช่ไหมคะ? หรือว
"อย่าเป็นแบบไหน? ถ้าผมทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เธอคงจะไม่กลับประเทศหรือเปล่า? บางทีการให้เธอกลับประเทศอาจจะเป็นความผิดพลาด อย่างน้อยถ้าอยู่ต่างประเทศ ถึงเธอจะไม่ยอมรับผม แต่ก็จะไม่ไปอยู่ข้างคนอื่น"คำพูดของเขาทำให้เสิ่นหยินอู้หลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะถามว่า "เขาอยู่กับนายหรือเปล่า? นายทำอะไรกับเขา?""ไม่มีความอดทนพอที่จะฟังผมพูดเรื่องอื่นแล้วหรอ?""ฉัน......""ถ้าเธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นยังไง ทำไมไม่มาดูเองล่ะ?"เสิ่นหยินอู้รู้สึกหายใจสะดุด"ก่อนจะเห็นหน้าเธอ ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด" เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปาก"ตอนแรกทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว ทำไมนายต้องทำแบบนี้?""หึ"โม่ไป๋หัวเราะเบาๆ "ใช่ ก่อนหน้านั้นทุกอย่างมันดี ทำไมเธอต้องกลับประเทศ?" เสิ่นหยินอู้เงียบไปชั่วขณะ เขากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้เลย"มาหาผมสิ ผมรออยู่ที่เดิม"พูดจบ โม่ไป๋ก็ทำท่าจะวางสาย เสิ่นหยินอู้รู้สึกกังวล "เดี๋ยวก่อน นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายทำอะไรกับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?""หยินอู้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะเจอหน้าเธอ แน่นอนว่าเธอก็อย่าหวังว่าจะหาเขาเจอ" พูดจบ โม่ไ
ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถูกเชิญให้กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน โดยที่ตรงหน้าต่างมีคนคอยเฝ้าอยู่ รวมถึงที่หน้าประตูด้วย ถ้าหากตอนนี้มีกล้องถ่ายอยู่ในห้องนี้ คงจะคิดว่าเธอเป็นภรรยาของหัวหน้าแก๊งมาเฟียแน่ๆ เธอไม่มีอารมณ์จะทำงาน มือถือวางอยู่ข้างตัวตลอดเวลา กลัวจะพลาดการติดต่อใดๆ แม้จะไม่มีสมาธิ แต่เธอก็พยายามทำงานจนเสร็จไปบางส่วน และได้รับข้อความจากหลี่มู่ถิงว่าเขาขึ้นเครื่องแล้วหลังจากเขาขึ้นเครื่องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีก ทำได้แค่รอจนกว่าเครื่องบินจะลงจอดมือถือเงียบไปทั้งบ่าย ขณะที่เสิ่นหยินอู้เตรียมเก็บของกลับบ้าน ในที่สุดมือถือก็ส่งเสียงขึ้นมา พอได้ยินเสียง เสิ่นหยินอู้หยิบมือถือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเห็นว่าเป็นสายจากต่างประเทศที่ไม่รู้จัก นี่คือ? เธอไม่ได้คิดมาก รีบกดรับสายทันที“ฮัลโหล?” ในใจลึกๆ เธอหวังว่าคนที่โทรมาคือฉินเย่ เพื่อบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไร แค่จำเป็นต้องใช้เบอร์นี้ชั่วคราวเท่านั้น แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่กล้าพูดชื่อเขาออกมาตรงๆ“ในที่สุด เธอก็กลับมาใช้เบอร์นี้อีกครั้งนะ” ทว่า เสียงที่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอกลับเป็นเสียงอีกคนหนึ่งท
เขาเรียกเถ้าแก่อยู่หลายครั้งก่อนจะดึงสติเสิ่นหยินอู้กลับมาได้ หลังจากกลับมาได้สติอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่อู๋อี้ไห่ที่มีสีหน้าเหนื่อยใจที่อยู่ตรงหน้าเธอ ความรู้สึกผิดในใจพุ่งถึงขีดสุด “ขอโทษที เมื่อกี้ฉันฟุ้งซ่านไปหน่อย” “เถ้าแก่ ผมรู้ว่าเรื่องของคุณอาจจะสำคัญมาก แต่... ตอนนี้คุณต้องสละเวลามาดูสัญญานี้สักพัก เสร็จแล้วก็ค่อยไปฟุ้งซ่านต่อ โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา เปิดริมฝีปากขาวซีดของเธอออกเล็กน้อยแล้วพยักหน้า คราวนี้เธอไม่ได้ฟุ้งซ่านอีก เธออ่านสัญญาอย่างละเอียดจนจบและทำการเซ็นชื่อ หลังจากนั้นเธอก็ยื่นสัญญาให้อู๋อี้ไห่: "ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานในช่วงที่ผ่านมา" “ไม่หรอกครับ ใครใช้ให้ผมเป็นผู้ช่วยของคุณล่ะครับ?” อู๋อี้ไห่ยิ้มเล็กน้อย ในตอนแรกเขากำลังจะถือสัญญาแล้วเดินออกไป แต่ก่อนจากไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เถ้าแก่ เป็นปัญหาทางด้านความรักเหรอครับ?” อย่างไรก็ตาม คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ส่งสัญญาให้กับเขา เธอก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง หลังจากนั้น อู๋อี้ไห่ก็ทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้: "ช่างมันเถอะ อีกเดี๋ยวตอนกลับบ้านก็กลั
เสิ่นหยินอู้เก็บโทรศัพท์ไป เธอไม่มีอารมณ์จะทานอาหารอีกต่อไป ในตอนแรกเธอคิดที่จะออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้เธอเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกอีก “คุณหนูเสิ่น?”ก่อนหน้านี้เธอคุยโทรศัพท์อยู่ อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน คนใช้ที่อยู่ข้างๆไม่กล้าพูดอะไร หลังจากเธอวางสาย เธอก็ยังไม่ได้ทานอาหาร ดังนั้นคนรับใช้จึงทำได้เพียงเตือนเธออย่างระมัดระวัง: "อาหารจะเย็นหมดแล้วนะคะ” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองลงไปที่จานอาหารตรงหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปที่คนรับใช้ ริมฝีปากของเธอขยับ ในตอนแรกเธออยากจะบอกว่าเธอกินไม่ลงแล้วและจะให้คนรับใช้เอาอาหารไปเก็บ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะทานอาหารเข้าไปสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นและจากไป เธอมักจะบอกลูกๆทั้งสองคนเสมอว่าอย่ากินเหลือ เธอก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเขาไม่ใช่หรอ? หลังจากขึ้นไปชั้นบนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปที่ห้องและกดโทรไปที่เบอร์ของฉินเย่ แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะบอกว่าเธอว่าติดต่อไม่ได้ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ตู๊ดตู๊ด--- หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง โทรศัพท์ก็ตัดสายไปโดยอัตโนมัติ และไม่มีเสียงบอกว่าอีกฝ่าย
หากไม่ให้เงิน ก็จะฆ่าทิ้ง สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในสังคม เป็นเพราะว่าคนรวยปกป้องลูกของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ถ้าพวกเขาประมาทและปล่อยให้อาชญากรมีเวลาและพื้นที่ แม้พวกเขาจะมีเงินทองไม่ขาดสาย แต่คงจะต้องเป็นห่วงลูกๆของพวกเขาว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นคุณแม่ฉินจึงไม่แปลกใจที่เห็นบอดี้การ์ดติดตามพวกเขาไปในทุกๆที่ "โอเค เข้าใจแล้วค่ะ" หลังจากรับปากกับเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังกลับและจากไป เธอกลับไปที่ห้องของเธอ เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้วลงไปที่ชั้นล่าง เดิมทีเธอคิดจะออกไปในทันที แต่คนรับใช้เรียกเธอเพื่อให้เธอลงมารับประทานอาหารเช้าเสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงนั่งลง และทานอาหารเช้าโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลางเลื่อนดูโทรศัพท์ไปด้วย เธอไม่มีความอยากอาหาร ดังนั้นเธอจึงฝืนทานไปสักสองสามคำ จากนั้นก็ได้รับสายจากหลี่มู่ถิง เมื่อเห็นสายของหลี่มู่ถิง หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็เต้นรัวในทันที เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล ผู้ช่วยหลี่ มีข่าวอะไรบ้างไหมคะ?” อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่น อย่าเพิ่งใจร้อนครับ ถึงผมจะยังไม่ได้ติดต่อกับประธานฉ
ถ้าคิดดูอีกทีมันก็ถูก เขาน่าจะติดต่อตัวเธอเองมากที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ติดต่อเธอ และคงไม่ได้ติดต่อตนอื่น แต่แม้ว่าจะรู้ดีว่าเป็นเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่ยอมแพ้และต้องการที่จะถามดู ตอนนี้เธอได้รับคำตอบแล้ว แต่เธอก็ยังคงผิดหวังมาก เมื่อคุณแม่ฉินเห็นหยินอู้ลดสายตาต่ำลงราวกับว่ากำลังจมเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นหยินอู้เติบโตขึ้น หากปะปิดปะต่อเรื่องราวก่อนหลังสักนิด เธอก็สามารถรู้ได้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอก้าวไปข้างหน้าและถามหยั่งเชิงดู: "หยินอู้ ฉินเย่ไม่ได้ติดต่อหนูมาในช่วงสองวันมานี้ หนูเป็นห่วงเขาหรอ?" เมื่อเผชิญกับคำถามของคุณแม่ฉิน อาจเป็นเพราะพวกเธอทั้งคู่เป็นผู้หญิง เธอจึงพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีความกดดันใดๆ “อืม ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติแล้ว เขาควรจะตอบกลับข้อความมันถึงจะถูก” “จะว่าไปมันก็ใช่” หลังจากฟังคำพูดของเธอ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้ติดต่อหนูมานานแค่ไหนแล้ว?” เสิ่นหยินอู้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเวลาและข้อความที่เธอส่งไปให้เขาที่เขายังไม่ได้ตอบกลับให้คุณแม่ฉินฟังคร่าวๆ “ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ตั้งแต่เมื่อวานถึงตอน
เรื่องสำคัญที่ต้องทำเหรอ? ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอล่ะ? แต่ในไม่ช้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจ ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ตอบข้อความของเธอ ที่แท้เขาก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่เองถ้างั้นข้อความที่เธอส่งไปก็คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขาใช่ไหม? “คุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลนะครับ ประธานฉินไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ก็ดึกแล้ว คุณรีบพักผ่อนจะดีกว่านะครับ” แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะพูดเช่นนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะรบกวนเขา “โอเค งั้นคุณพักผ่อนตามสบายค่ะ” “ถ้ามีเรื่องอะไร คุณหนูเสิ่นโทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับประธานฉิน ผมจะรีบแจ้งให้คุณหนูเสิ่นทราบในทันทีที่ผมได้ข่าว” "ขอบคุณค่ะ" หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กำโทรศัพท์ไว้และพลิกตัวไป เธอยังคงไม่ได้นอน เธอกัดริมฝีปากล่าง อาจพูดได้ว่าหัวใจของเธอนั้นยุ่งเหยิงเหมือนด้ายที่พันกัน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็หลับไปกับความคิดเช่นนี้พร้อมกับกำโทรศัพท์ไว้ในมือ จากนั้นเธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการที่โทรศัพท์สั่น หลังจากตื่นขึ้น เธอก็พบว่ามันคื