หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็วางสาย และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และเดินไปที่ประตูขึ้นเครื่องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่ส่งโทรศัพท์คืนให้หลี่มู่ถิงด้วยใบหน้าที่มืดมน หลี่มู่ถิงมอง และพบว่าโทรศัพท์ถูกตัดสายไปแล้ว จากที่เขาเพิ่งได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง เขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่นไปสนามบินแล้วเหรอครับ?" เขาไม่ไดัตอบอะไร แต่ใบหน้าที่บูดบึ้งของเขาได้บอกทุกอย่างแทนคำพูดแล้ว “แล้ว…เราควรจะทำยังไงต่อครับ?” ฉินเย่เหลือบมองเขาแล้วพูดว่า "กลับไปที่บริษัทก่อน" หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักของโรงแรม เมื่อหลี่มู่ถิงต้องการจะตามเขาไป เขานึกได้ว่ามีพนักงานของโรงแรมที่มาส่งอาหารอยู่ข้างๆ เขาจึงพูดไปว่า: "อาหารพวกนี้ไม่จำเป็นแล้วครับ เอาให้พนักงานในโรงแรมของคุณแบ่งกันได้เลยครับ คนในห้องออกไปแล้ว" หลังจากพูดจบ เขาก็รีบเดินตามฉินเย่ไป พนักงานโรงแรมยืนอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง หลังจากที่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เบิกตากว้างขึ้นด้วยความดีใจ - ณ เจียงเฉิง ทันทีที่เสิ่นหยินอู
“ฉันไม่ต้องการ”เสิ่นหยินอู้พูดอย่างโกรธเคือง:“ฉันไม่ได้ต้องการจะใช้ชีวิตแบบนั้นอีก”คำตอบนี้ทำให้อู๋อี้ไห่ประหลาดใจเล็กน้อย“งั้นคุณหมายความว่า หลังจากนี้ก็จะไม่คิดจะมีใครอีกแล้วหรอ? คิดที่จะอยู่คนเดียวไปตลอดเลยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง:“ประมาณนั้นแหละ”“งั้นคุณต้องคิดให้ดีนะ ถ้าจะใช้ชีวิตคนเดียวล่ะก็ ในอนาคตมันจะเหงานะ”อู๋อี้ไห่เลี้ยวพวงมาลัย แล้วขับเข้าไปตามถนนสายหลัก จากนั้นก็พูดว่า:“คนน่ะยังไงก็เป็นสัตว์สังคมอยู่วันยังค่ำ ตอนยังเด็กคุณยังมีพ่อมีแม่ แล้วก็เพื่อนๆที่ยังโสดอยู่ข้างๆ ก็เลยคิดว่าถึงไม่ได้แต่งงานมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอายุมากขึ้น พอไม่มีพ่อ แม่ เพื่อนฝูงอยู่ข้างๆแล้ว คุณก็จะโหยหาใครสักคนที่จะมาอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนคุณ มากินข้าวด้วยกันกับคุณ”เสิ่นหยินอู้ฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเธอไม่ได้ตัวคนเดียวเธอมีลูกๆอีกสองคน“ตอนที่ผมยังหนุ่มผมก็เคยคิดที่จะไม่แต่งงาน การแต่งงานน่ะมันดีตรงไหน? การมีลูกน่ะมันดีตรงไหน? ใช้ชีวิตไปคนเดียวมันไม่ดีตรงไหน? ผมยังต้องจ่ายเงินเลี้ยงดูลูก จ่ายค่ากิน ค่าเรียน ค่าอะไรต่างๆอีก แต่พอมีครอบครัวจ
เพราะในที่ทำงานในวันนั้น ปฏิกิริยาของโม่ไป๋นั้นเหมือนว่าเขากำลังบังคับเธอ เธอถึงกับรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงคนที่เห็นเหตุการณ์เลย หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันแบบคุยๆหยุดๆจนมาถึงบริษัท เสิ่นหยินอู้กลับไปที่ห้องทำงาน ระหว่างนั้น เธอได้คุยโทรศัพท์กับเฉียวลี่ซือ ลี่ซือบอกว่าวันนี้ลูกๆทั้งสองคนของหยินอู้ยังอยู่กับเธอ “โอเค ฉันจะไปรับพวกเขาหลังเลิกงาน” - ณ หนานเฉิง ฉินเย่กลับไปที่บริษัท ทันทีที่เขามาถึงบริษัท หลี่มู่ถิงได้รับข้อความว่าให้เก็บข้าวของ และช่วงนี้ให้ย้ายที่ทำงานไปที่สำนักงานสาขาในเจียงเฉิง เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? เขาจึงไปเตรียมตัวในทันที ฉินเย่นั่งลงในห้องทำงาน ยื่นมือออกไปกุมตำแหน่งที่เขาปวดท้องเล็กน้อย สีหน้าของเขายังคงไม่ค่อยสู้ดีอยู่เล็กน้อย วันนี้ถูกเธอทำให้โกรธเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ ฉินเย่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ของเขา เขาเปิดโทรศัพท์และกดเข้าไปในแอปเพื่อดูว่าช่วงนี้เด็กน้อยทั้งสองคนนั้นได้โพสต์คลิปวิดีโอใหม่ๆอะไรบ้างหรือไม่ หลังจากกดเข้าไป เขาพบว่ามีการโพสต์คลิปวิด
วันนี้เฉียวลี่ซือไม่ได้ไปทำงาน เธอดูแลเด็กๆสองคนแทนเสิ่นหยินอู้ที่บ้าน เด็กทั้งสองคนอยู่ในโอวาทและเชื่อฟังมาก ที่จริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องพาพวกเขาไปไหน เธอมีหน้าที่แค่ช่วยดูไม่ให้พวกเขาไปไหนและทำอะไรซี้ซั้ว ไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นในเวลาอื่น เธอล้วนทำสิ่งที่เธออยากทำ ตัวอย่างเช่น ในตอนนี้เธอกำลังเลื่อนดูโทรศัพท์เพื่อดูสินค้าแฟชั่นใหม่ล่าสุด ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะสั่งซื้อสินค้าให้มาส่งที่บ้านหรือจะพาเสิ่นหยินอู้ไปด้วยกันกับเธอในตอนที่เธอว่าง โทรศัพท์ของเธอก็สั่น มีข้อความใหม่ล่าสุดเด้งขึ้นมาที่ด้านบนสุดของหน้าจอ หลังจากมองดู เฉียวลี่ซือก็ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แม้ว่าแขนขาของเธอจะแข็งไปหมด แต่หัวใจของเธอกลับเริ่มเต้นรัวขึ้นมา เธอดูผิดหรือเปล่า? เหมือนว่าเธอจะเห็นคุณผู้ชายฉินอะไรนั่นส่งข้อความมาหาเธองั้นเหรอ? หลังจากที่เธอได้สติ เฉียวลี่ซือก็รีบเปิด WeChat ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเธอเห็นข้อความใหม่ล่าสุดจากบัญชีที่เธอปักหมุดไว้ เฉียวลี่ซือรู้สึกตื่นเต้นมากจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร และดวงตาของเธอก็ร้อนผ่าวตาม เธอกดเข้าไปในแชท คุณผู้ชายฉิน: คุณเฉียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวลี่ซือก็ตกใจ จากนั้นก็แย้งว่า “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ? พวกเขาไม่ใช่ลูกของฉันหรอก ถ้าฉันมีลูกแล้ว ฉันจะไปคุยกับคุณทำไมล่ะคะ?” เพื่อกำจัดความสงสัยในใจของอีกฝ่ายว่าเธอแต่งงานแล้วและมีลูกแล้วหรือยัง เฉียวลี่ซือจึงรีบอธิบาย: "สองคนนั้นเป็นลูกของเพื่อนฉันเอง คนที่คุณถามถึงครั้งก่อนน่ะค่ะ" เมื่อพูดประโยคนี้ ความรู้สึกผิดก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเฉียวลี่ซือ อย่าไปโทษเธอเลย ในความเป็นจริงแล้ว เธอสงสัยมาโดยตลอดว่าเสิ่นหยินอู้กับฉินเย่อาจรู้จักกันมาก่อน ไม่เช่นนั้นชายคนนั้นคงจะไม่ทำตัวเช่นนี้ ตอนนี้เมื่อเธอมีโอกาส งั้นเธอจะต้องพูดถึงเรื่องของเสิ่นหยินอู้ให้ได้ ถ้าเขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูกแล้ว เขาคงจะถอดใจไปเองใช่ไหม? ถ้าเป็นแบบนี้...โอกาสของเธอเองก็จะมากขึ้นสินะ? แน่นอนว่านี่เป็นเพียงโชคที่มีอยู่อันน้อยนิดของลี่ซือ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิด ท้ายที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็มีลูกแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็โตมากแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่มีลับลมคมในอะไร และเธอก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง หลังจากได้ยิน ฉินเย่คงจะกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ “โอ้?” เขาเลิกคิ้ว: “ผู้หญิงที่
“ไม่มีโอกาสงั้นเหรอ?” ฉินเย่หัวเราะเบาๆ: "คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีหรือไม่มีโอกาส?" หลังจากรู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีลูก และพวกเขาทั้งสองคนโตขนาดนั้น หลี่มู่ถิงรู้สึกเสียดายแทนฉินเย่ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำหน้าเศร้าโศก “ประธานฉินครับ ลูกของเธอโตขนาดนี้แล้ว แสดงว่าลูกของเธอมีพ่อนะครับ งั้นคุณคงจะไม่มีโอกาสแล้วแน่นอน และถ้าคุณเป็นแบบนี้ต่อไป คุณอาจจะกลายเป็นชู้ของคนอื่นในอนาคตนะครับ หรือว่าคุณจะยอมปล่อยให้ชื่อเสียงของคุณโด่งดังเรื่องเป็นชู้กับชาวบ้านครับ?” หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็กวาดสายตามองไปที่เขา สายตานั้นเหมือนกับการมองคนที่บกพร่องทางสติปัญญา หลี่มู่ถิงรู้สึกสับสน เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? “ยังจำคำพูดที่คุณเคยพูดได้ไหม?” “คำพูดไหนเหรอครับ ประธานฉิน คุณช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้ไหมครับ?”หลี่มู่ถิงกระวนกระวายเล็กน้อยกับคำพูดของฉินเย่ เขาไม่รู้จริงๆว่าฉินเย่หมายถึงอะไรกันแน่ ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะดูร้อนรนขึ้นมา แต่หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เริ่มเสียใจอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะร้อนรนแค่ไหน เขาก็ไม่ควรพูดกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงโทนนี้ เมื่อเขากำลังจะขอโทษ เขาก็พบว่าฉินเย
ฉินเย่เองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน“ประธานฉิน คุณ…ไม่รู้เหรอครับ?”ตอนนี้สายตาของหลี่มู่ถิงที่มองฉินเย่เปลี่ยนแปลงไป ดูอยากที่จะพูดฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าหมองคล้ำเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องนี้?“เก็บของ ไปเมืองเจียงเฉิง”หลี่มู่ถิงพยักหน้า “เรียบร้อยแล้ว จะออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ?”ฉินเย่ทำหน้าขรึม “ตอนนี้”ก่อนขึ้นเครื่องบิน ฉินเย่พูดกับหลี่มู่ถิง “นายหาคนไปสืบมาว่าตอนนี้เด็กสองคนนี้อยู่ไหน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ขอแบบละเอียด”“ครับประธานฉิน ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”หลังจากขึ้นเครื่องบิน ฉินเย่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ในตากลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยไม่คิดเลยว่าเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงจะมีโอกาสเป็นลูกๆ ของเขา ไม่น่าล่ะเขาถึงได้รู้สึกผูกพันกับทั้งสองคนที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!วินาทีนี้ ความเจ็บปวด หรือทรมานใดๆ พลันจางหายไปหมดแล้วสำหรับฉินเย่หลี่มู่ถิงนั่งข้างๆ เขาพร้อมสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “ประธานฉิน ผมสั่งให้คนไปสืบดูแล้ว จะรู้ผลในคืนนี้ ไม่ก็พรุ่งนี้เลย”“อืม”หลี่มู่ถิงมองฉินเย่แวบหนึ่ง แล้วละสายตา จนถึงตอน
เมื่อครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เฉียวลี่ซือก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนเป็นถามว่าตอนนี้เสิ่นหยินอู้พี้กอยู่ที่ไหน“อยู่บ้านที่โม่ไป๋เตรียมไว้ให้ตอนแรกน่ะ แน่นอนว่าฉันจ่ายค่าเช่าด้วย”ที่เสริมประโยคหลังเข้าไป เพราะกลัวว่าเฉียวลี่ซือจะเข้าใจผิดเป็นไปตามคาด เฉียวลี่ซือได้ยินดังนั้น ก็สะท้านตกใจเล็กน้อย“จ่ายค่าเช่า? โม่ไป๋จะรับค่าเช่าจากเธอเหรอ?”“ถ้าเขาไม่รับ ฉันก็ไม่อยู่”เฉียวลี่ซืออึ้งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพูดยิ้มๆ “เยี่ยมจริงๆ เขาก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ทำได้แค่รับเงินจากเธอแล้ว”เฉินหยินอู้ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไรต่อ“แต่ว่า เธอกีดกันเขามากเกินไปไหม? เขาดีกับเธอมากเลยนะ เธอไม่พิจารณาดูหน่อยจริงๆ เหรอ?”“ลี่ซือ เพราะว่าเขาดีกับฉันจริงๆ ฉันก็เลยคบกับเขาไม่ได้ไง ไม่อย่างนั้นฉันจะทำร้ายเขา และไม่เป็นผลดีกับเขาด้วย”เฉียวลี่ซือส่ายศีรษะ“เฮ้อ ฉันไม่เข้าใจพวกเธอเลยจริงๆ แต่เธอตัดสินใจเอาเองก็พอแล้วล่ะ”พูดคุยกับเธออยู่พักหนึ่ง เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้านตอนกลับ เฉียวลี่ซืพูดขึ้น “พรุ่งนี้จะให้ฉันช่วยดูแลเด็กๆ อีกไหม?”“ไม่ต้องแล้ว ฉันหมดธุระแล้วน่ะ พรุ่งนี