ถ้าหากสีหน้าของเขาไม่ซีดขนาดนี้ และไม่ปฏิเสธเธอขนาดนี้ เธอก็คงไม่นึกสงสัยแล้วแต่ฉินเย่ในตอนนี้ การกระทำทุกอย่างของเขาดูแปลกๆ แม้แต่หลี่มู่ถิงผู้ช่วยของเขาด้วยเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “ฉันจะนั่งตรงไหนมันขึ้นอยู่กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อย่าลืมสิว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะนั่งข้างหลัง”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็เข้าไปในรถโดยไม่สนใจฉินเย่อีกเงียบกริบหลังจากที่เธอขึ้นรถแล้ว หลี่มู่ถิงก็แอบมองฉินเย่แวบหนึ่ง จากนั้นเลิกคิ้วพูดกระซิบเบาๆ ว่า “ประธานฉิน นั่งแบบนี้เลยไหมครับ?”ฉินเย่ไม่ตอบ แต่สีหน้าแย่มากเสิ่นหยินอู้กลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ผู้ช่วยหลี่ ไปเถอะ”“ครับ”หลังจากที่รถแล่นออกไป เสิ่นหยินอู้ก็คอยสังเกตพฤติกรรมของฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะออกห่างเธอ แล้วพิงกระจกรถ ปล่อยให้เธอเห็นเพียงท้ายทอยของเขาเท่านั้นคราวนี้เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อีกทีแรกเธอยังคิดจะสังเกตจากสีหน้าของเขาว่าอาการกำเริบหรือเปล่า แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรสักอย่างแต่ว่าก็รับการรักษามานานหลายวันแล้ว คงไม่กำเริบหรอกมั้ง?เมื่อมาถึงสนามบิน เสิ
“ทำไม กลัวว่าไปที่นั่งชั้นหนึ่งแล้วฉันจะทำอะไรเธองั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เก็บตั๋วนิ่งๆ “ฉันแค่อยากประหยัดเงินน่ะ นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันเปิดบริษัท”คำพูดนี้ทำเอาฉินเย่ขมวดคิ้วมุ่น“ลงทุนให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ?”“ใช่ แต่บริษัทยังไม่มีกำไรเข้าเลย”ฉินเย่ “…”เธอคิดหาเหตุผลสารพัดมาหมดแล้วหลังจากนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะ “ก็ดีเหมือนกัน”หลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดกับเธออีกต่อไป เพียงแต่นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าดีไม่ดีสุดๆ ริมฝีปากก็ซีดเซียวถ้าไม่ใช่เพราะประชดประชัน ความจริงวันนี้เธอก็คงไม่ต้องเร่งกลับเมืองหนานเฉิงเขายังไม่ทันหายดี ก็ให้เขาเดินทางพร้อมกับตัวเองแบบนี้ ก็คงทรมานแย่เหมือนกันช่างเถอะ ให้บทเรียนเขาซะบ้างก็ดีเหมือนกันพวกเขานั่งที่นั่งชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ขึ้นเครื่องก่อนเสิ่นหยินอู้ไม่มี ก็เลยต้องไปต่อแถวคนทั้งสองแถวเริ่มขับเคลื่อนหลี่มู่ถิงเดินตามหลังฉินเย่ รู้สึกว่าความโกรธในตัวเขาแทบจะฆ่าคนได้ปานนั้น เขาจึงเสนอว่า “ประธานฉิน คุณวางใจได้เลยครับ เดี๋ยวตอนขึ้นเครื่อง ผมจะแลกที่นั่งกับคุณเสิ่นให้”แต่ว่าสีหน้าของฉินเย่กลับยังคงบูดบึ้งหลี่มู่ถิงปลอบเขา “ปร
วินาทีที่เสิ่นหยินอู้ถูกฉินเย่จับมือเอาไว้ เธอมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น คือหนาวมือของฉินเย่ราวกับเพิ่งจับน้ำแข็งมาหมาดๆ ต่างจากอุณหภูมิอุ่นๆ ของเธออย่างสิ้นเชิง เย็นเสียจนเธออดขนลุกซู่ไม่ได้เสิ่นหยินอู้มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของฉินเย่อย่างอดไม่ได้เพราะทั้งสองถูกเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นฉินเย่เองก็สามารถสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้เช่นเดียวกันหลังจากที่เธอนั่งตัวตรงแล้ว ก็เก็บมือของตัวเองอย่างฉับพลันเมื่อแอร์โฮสเตสเดินจากไป เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“ไม่ให้ฉันเข้าไม่ใช่เหรอ?”ฉินเย่ปั้นหน้าขรึม ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกว่าแผนการของหลี่มู่ถิงนี่ไม่เลวจริงๆเป็นไปตามคาด ยิ่งเขาทำตัวไม่อยากใกล้ชิดเธอมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งคิดว่าตนกำลังปิดบังเรื่องอาการป่วยกับเธอมากเท่านั้น และจะไม่ปฏิเสธในการใกล้ชิดกับเขาผลลัพธ์นี้ตรงตามที่เขาต้องการพอดีหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ถามขึ้นก่อนว่า “นายทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”“ไม่อย่างนั้นล่ะ? จะรอให้กลับมาแล้วไปแอดมิดต่อเหรอ?”น้ำเสียงของเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เมื่อคิดว่าเขากำลังจะ
ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วพ่นคำออกไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ตื่นจากการทำงาน แล้วมองไปที่ฉินเย่“ทำไม ฉันพูดผิดเหรอ?”เสิ่นหยินอู้กลับขมวดคิ้ว “ทำไมนายไม่พักผ่อน?”ฉินเย่ตอบ “ไม่ง่วงน่ะ”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อนึกถึงคำพูดเมื้อครู่นี้ของเขา สลับกับกลยุทธ์ของตน ก็พบว่าวิธีแก้ปัญหาที่เขาพูดมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด“นายอย่ามารบกวนฉันทำงาน” เธอกล่าวได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็ก้มหน้าก้มตา แล้วหลุดหัวเราะออกมา “หวังดี แต่กลับถูกว่าร้าย”“ไม่จำเป็นจ๊ะ”ฉินเย่ถูกนิสัยของเธอทำเอาหมดคำพูด แต่กลับพบว่าเธอเขียนคำแนะนำที่ตนให้เอาไว้ อารมณ์โกรธถึงได้เพลาลงพลางแค่นเสียงเย็นชาจากนั้น แอร์โฮสเตสกก็เอาอาหารมาเสริฟ เสิ่นหยินอู้จะเขียนกลยุทธ์ออกมา แต่ไม่มีเวลา สุดท้ายก็ได้ยินฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ พูดกับแอร์โฮสเตสว่า“ผมขอไวน์แก้วหนึ่งครับ”เสิ่นหยินอู้ที่กำลังพิมพ์อยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเขา เธอจ้องฉินเย่ตาเป็นมัน “นายป่วยยังไม่ทันหายดีเลย ยังจะดื่มอีก!”“ดีมากแล้ว” ฉินเย่กล่าวนิ่งๆ “ดื่มแค่ไม่กี่อึกเอง”คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นหยินอู้หมดคำพูด
สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงเมืองหนานเฉิงไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหน แต่พอลงจากเครื่อง แล้วเห็นสถานที่เดิมๆ อันคุ้นตาแล้ว มือที่ขนาบข้างกายของเสิ่นหยินอู้ก็อดสั่นเทาไม่ได้ห้าปีก่อน เธอจากไปจากที่นี่ห้าปีผ่านไปแล้ว สนามบินไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เสิ่นหยินอู้เดินตามหลังสุด ในใจกลับเต็มไปด้วยวันวานน่าจะเป็นเพราะเธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าเห็นเธอเดินช้า ก็เลยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเธอแต่เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกต พุ่งชนพอดีตุบหน้าผากของเธอชนเข้ากับแผ่นอกหนึ่งเสิ่นหยินอู้หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองดวงตาสีดำของฉินเย่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอเดินไม่ดูทาวหรือไง?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก จากนั้นนวดที่หน้าผากของตนเบาๆ พลางถอยหลังกลับ แล้วขมวดคิ้ว“เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”“คิดอะไรกัน ถึงได้คิดเพลินขนาดนี้?”เสิ่นหยินอู้หยุดนวดหน้าผากของตัวเอง แววตาดูว่างเปล่า “ฉันกำลังคิดว่าคุณย่าจะโทษฉันไหม? ฉันไปหาท่าน ท่านจะ…ต้อนรับฉันไหม?”ฉินเย่ตะลึงเล็กน้อยหลังจากนั้น เขาก็พูดเสียงทุ้มว่า “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่า
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้เองก็นึกขึ้นได้ตอนนั้นยังอยู่ต่างประเทศ ทุกคนออกไปเล่นกันหมด จากนั้นก็ถ่ายรูปรวม คนที่ร่วมถ่ายด้วยอีกคนหนึ่งคือโจวชวงชวงคนสามคนกับเด็กสองคนหลังจากถ่ายรูปออกมา ก็มีคนมากมายเดากันว่าเด็กๆ เป็นลูกของโจวชวงชวง นอกจากนี้ยังมีคนมากมายขอช่องทางการติดต่อของเสิ่นหยินอู้ด้วยหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กๆ ทั้งสองคนแล้ว ก็หยุดทันที“โอเค ฉันไม่คุยกัยเธอละ ขอขับรถก่อน พวกเราใกล้ถึงกันแล้วด้วย เธอทำธุระของเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเอง เธอวางใจได้ ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”“อืม”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เติมตังโทรศัพท์ให้ลูกทั้งสองคนเธอเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ ประตูห้องก็เคาะเสียงดังเสิ่นหยินอู้ลุกไปเปิดประตูคนที่อยู่นอกประตูห้องโรงแรมคือ หลี่มู่ถิง เมื่อเขาเห็นเธอ ก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที“คุณเสิ่นครับ เย็นนี้เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดีครับ?”กินข้าว?พอเขาพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงจะรู้สึกถึงความหิว แต่ตอนนี้เธอทั้งยังง่วงมากด้วย ช่วงนี้ต้องตื่นมาทำอาหารให้ฉินเย่ทุกเช้า เวลานอนแต่ละวันก็ลดน้อยลง วันนี้ยังต้องบินอีก ทำให้ตอนนี้เธอรู
สิบนาทีต่อมา ณ ร้านอาหารเสฉวน เสิ่นหยินอู้คืนเมนูให้กับพนักงาน "เอาแค่นี้ก่อนค่ะ" พนักงานรับเมนูไปแล้วพยักหน้า: "ได้ครับ" หลังจากพูดจบ เขาก็ถือเมนูและเดินจากไป ฉินเย่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่แรก พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับบรรยากาศที่แปลกประหลาด หลี่มู่ถิงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นในตอนนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ไม่มีความต้องการที่จะพูดคุยกับฉินเย่ จึงหยิบโทรศัพท์มาค้นหาข้อมูล หลังจากที่หลี่มู่ถิงซึ่งอยู่ข้างๆเธอรู้เข้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจว่าเธอเป็นพวกบ้างาน เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าฉินเย่เป็นคนบ้างานมาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าเสิ่นหยินอู้จะบ้างานหนักกว่าเขาด้วยซ้ำ ผู้คนเดินไปมาในร้านอาหารเสฉวน แม้แต่ในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเผ็ดร้อน มันมีกลิ่นที่หอมมาก แต่มันไม่เป็นมิตรกับท้องของฉินเย่ หลังจากรอประมาณสิบนาที อาหารที่เสิ่นหยินอู้สั่งก็มาเสิร์ฟทีละจาน สมกับเป็นร้านอาหารเสฉวนจริงๆ ทุกจานที่ยกมาเสิร์ฟล้วนมีสีแดงสด ในด้านเต็มไปด้วยพริกทอด หลี่มู่ถิงชอบอาหารเผ็ดๆ และคิดว่าอาหารรสเผ็ดเข้ากันไ
เพราะเมื่อก่อนเขาทำไม่ดีกับเธอไว้ แม้ว่าเขาจะปิดกั้นหัวใจของเขา แต่หากเธอต้องการแก้แค้นเขาจริงๆ เขาก็จะยอมรับมัน ทันทีที่เขาพูดจบ พนักงานก็ยกจานสุดท้ายมาเสิร์ฟ “ขอโทษทีนะครับคุณผู้หญิง ต้มโจ๊กต้องใช้เวลาสักพัก โจ๊กเพิ่งสุกน่ะครับ ทานให้อร่อยครับ” พนักงานวางโจ๊กสีขาวในหม้อใบเล็กๆไว้ตรงที่ว่างทางด้านซ้ายมือ เมื่อเห็นหม้อโจ๊ก สมองฉินเย่ก็สับสนเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็ตกตะลึงเช่นกัน “คะ คุณหนูเสิ่น โจ๊กหม้อนี้…?”เสิ่นหยินอู้เห็นท่าทางประหลาดใจของเขา จึงหัวเราะเยาะ: "ฉันดูใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับท้อง แต่ก็ยังจะให้เขากินอะไรพวกนี้งั้นหรอ?" หากเธอต้องการให้เขาเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องไปดูแลเขาก็ได้ ทำไมจะต้องทำอะไรอ้อมค้อมมากมายขนาดนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็พาเขามาที่ร้านอาหารเสฉวนก็เพราะเธอตั้งใจ ถ้าไม่มีเธอ เขาก็จะกินข้าวดีๆไม่ได้สินะ? งั้นก็ให้เขามากินโจ๊กจืดๆที่นี่ แล้วนั่งมองเธอกับหลี่มู่ถิงกินอย่างเอร็ดอร่อย "เปล่าครับ เปล่าเลย" หลี่มู่ถิงรีบอธิบาย อารมณ์ที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนขึ้นในทันใด ไม่
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง