ฉินเย่ขมวดคิ้ว “การแลกเปลี่ยนอะไร?”ในเมื่อเปิดประเด็นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่คิดจะปิดบังอีก เพราะไหนๆ ก็ผ่านมาหลายวันแล้วเธอเดินไปตรงหน้าฉินเย่ “สองสามวันนี้ อาการป่วยของนายดีขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดจา รอให้เธอพูดต่อผ่านไปนาน เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้น “ฉันอยากเจอคุณย่า”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาลง“เพราะฉะนั้น?”“เพราะฉะนั้นที่ฉันทำอาหารมาส่งให้นายสองสามวันนี้ ถือเป็นการช่วยรักษาอาการป่วยของนายด้วย แล้วก็เป็นการแลกเปลี่ยนขอเจอหน้าคุณย่าด้วย”ฉินเย่จ้องเธออยู่พักหนึ่ง แล้วหลุดหัวเราะออกมาไม่น่าล่ะ หลังจากที่เธอร้องไห้ในวันนั้น พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงแต่ยอมมาเจอหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังทำอาหารมาให้เขาด้วยทำแบบนี้ต่อเนื่องอยู่หลายวัน เขาคิดว่าจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนไปซะอีก ที่ไหนได้ เธอคิดคำนวณตนไว้แต่แรกแล้วเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ฉินเย่ก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณย่า เธอไม่คิดจะทำอาหารสำหรับสองสามวันนี้เลยใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้มองเขายิ่งๆ“นายกินก็กินไปแล้ว อาการป่วยก็ดีขึ้นมากแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้หรอ
หลี่มู่ถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับ ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงจะถามขึ้นเสียงเบาว่า “ประธานฉิน จะทำเรื่องออกโรงพยาบาลจริงเหรอครับ? คุณยังไม่หายดีเลยนะ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉินเย่ก็แย่ถึงสุดขีด“นายไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด? ให้ฉันไปทำเรื่องออกโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้เลยน่ะ”หลี่มู่ถิงกะพริบตาปริบๆ “ไม่สิ คุณบอกเองว่าจะทำเรื่องออกโรงพยาบาล คุณเสิ่นไม่ได้บอกสักหน่อย”ฉินเย่ “…”“อีกอย่าง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนถามขึ้นก่อนว่าเพราะอะไรคุณเสิ่นถึงทำอาหารส่งมาให้คุณล่ะก็ คุณเสิ่นเขาไม่คิดจะสารภาพกับคุณตั้งแต่วันนี้เลยสักหน่อย”ยิ่งฟัง สีหน้าของฉินเย่ก็ยิ่งคล้ำดำ“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ มะรืนล่ะ?”“ประธานฉิน ผมว่านะ ถ้าคุณอยากเห็นหน้าคุณเสิ่นตลอด คุณก็ต้องรุกหน่อยสิ คนประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ไม่ควรใช้ชีวิตจริงจังเกินไป คุณเป็นคนตามจีบคนอื่นเขาก่อนเอง ถ้าคุณยังใช้ชีวิตจริงจังมากแบบนี้ คุณจะจีบติดเหรอ?”หลังจากกระชับความสัมพันธ์กันมาหลายวัน หลี่มู่ถิงเองก็กล้าพูดตรงไปตรงมาแล้ว เพราะเขาพบว่าเรื่องระหว่างเขากับเสิ่นหยินอู้นั้น ถ้าหากคำแนะนำของเขามีประโยชน์ล่ะก็ ฉินเย่ก็จะไม่โ
“งั้นเหรอ?”แค่เปลี่ยนเสื้อต้องลนลานขนาดนี้เลยเหรอ?เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว เขาคงไม่ได้อาเจียนเป็นเลือดอีกหรอกนะ?แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ สองสามวันนี้อาการของเขาก็ดูดีขึ้นเยอะนี่ถึงแม้เขาจะแอดมิดโรงพยาบาลอยู่นานพอควร และยังไม่ควรออกจากโรงพยาบาลวันนี้ แต่เธอไม่ได้บอกให้เขาออกจากโรงพยาบาลสักหน่อย เขายืนยันจากออกเองเธอเองก็ไม่อยากห้ามแล้วด้วยแต่ถ้าเขาอาเจียนเป็นเลือดอีก…เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดเล็กน้อย รู้แบบนี้เธอน่าจะรอเวลาอีกหน่อยค่อยพูดคำพูดที่เธอพูดออกมาเมื่อเช้านี้คงจะไปกระตุ้นอาการของเขาอีกเสิ่นหยินอู้เดินไปทางห้องนอน แต่หลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงห้ามเธออย่างต่อเนื่องเธอขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะผลักประตูเข้าไป จู่ๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออกเองอัตโนมัติฉินเย่ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏอยู่ตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ ขวางทางเดินของเธอพอดิบพอดีเสิ่นหยินอู้มองเขาแวบหนึ่งฉินเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแฝงด้วยความเย็นชา“ทำอะไรน่ะ?”“นายไม่เป็นอะไรนะ?” เสิ่นหยินอู้สำรวจมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาคล้ายกำลังหาร่องรอยบางอย่างเมื่อเห็นเธอกำลังสำรวจมองตัวเองอยู่นั้น ฉินเย่แ
ถ้าหากสีหน้าของเขาไม่ซีดขนาดนี้ และไม่ปฏิเสธเธอขนาดนี้ เธอก็คงไม่นึกสงสัยแล้วแต่ฉินเย่ในตอนนี้ การกระทำทุกอย่างของเขาดูแปลกๆ แม้แต่หลี่มู่ถิงผู้ช่วยของเขาด้วยเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “ฉันจะนั่งตรงไหนมันขึ้นอยู่กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อย่าลืมสิว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะนั่งข้างหลัง”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็เข้าไปในรถโดยไม่สนใจฉินเย่อีกเงียบกริบหลังจากที่เธอขึ้นรถแล้ว หลี่มู่ถิงก็แอบมองฉินเย่แวบหนึ่ง จากนั้นเลิกคิ้วพูดกระซิบเบาๆ ว่า “ประธานฉิน นั่งแบบนี้เลยไหมครับ?”ฉินเย่ไม่ตอบ แต่สีหน้าแย่มากเสิ่นหยินอู้กลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ผู้ช่วยหลี่ ไปเถอะ”“ครับ”หลังจากที่รถแล่นออกไป เสิ่นหยินอู้ก็คอยสังเกตพฤติกรรมของฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะออกห่างเธอ แล้วพิงกระจกรถ ปล่อยให้เธอเห็นเพียงท้ายทอยของเขาเท่านั้นคราวนี้เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อีกทีแรกเธอยังคิดจะสังเกตจากสีหน้าของเขาว่าอาการกำเริบหรือเปล่า แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรสักอย่างแต่ว่าก็รับการรักษามานานหลายวันแล้ว คงไม่กำเริบหรอกมั้ง?เมื่อมาถึงสนามบิน เสิ
“ทำไม กลัวว่าไปที่นั่งชั้นหนึ่งแล้วฉันจะทำอะไรเธองั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เก็บตั๋วนิ่งๆ “ฉันแค่อยากประหยัดเงินน่ะ นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันเปิดบริษัท”คำพูดนี้ทำเอาฉินเย่ขมวดคิ้วมุ่น“ลงทุนให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ?”“ใช่ แต่บริษัทยังไม่มีกำไรเข้าเลย”ฉินเย่ “…”เธอคิดหาเหตุผลสารพัดมาหมดแล้วหลังจากนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะ “ก็ดีเหมือนกัน”หลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดกับเธออีกต่อไป เพียงแต่นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าดีไม่ดีสุดๆ ริมฝีปากก็ซีดเซียวถ้าไม่ใช่เพราะประชดประชัน ความจริงวันนี้เธอก็คงไม่ต้องเร่งกลับเมืองหนานเฉิงเขายังไม่ทันหายดี ก็ให้เขาเดินทางพร้อมกับตัวเองแบบนี้ ก็คงทรมานแย่เหมือนกันช่างเถอะ ให้บทเรียนเขาซะบ้างก็ดีเหมือนกันพวกเขานั่งที่นั่งชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ขึ้นเครื่องก่อนเสิ่นหยินอู้ไม่มี ก็เลยต้องไปต่อแถวคนทั้งสองแถวเริ่มขับเคลื่อนหลี่มู่ถิงเดินตามหลังฉินเย่ รู้สึกว่าความโกรธในตัวเขาแทบจะฆ่าคนได้ปานนั้น เขาจึงเสนอว่า “ประธานฉิน คุณวางใจได้เลยครับ เดี๋ยวตอนขึ้นเครื่อง ผมจะแลกที่นั่งกับคุณเสิ่นให้”แต่ว่าสีหน้าของฉินเย่กลับยังคงบูดบึ้งหลี่มู่ถิงปลอบเขา “ปร
วินาทีที่เสิ่นหยินอู้ถูกฉินเย่จับมือเอาไว้ เธอมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น คือหนาวมือของฉินเย่ราวกับเพิ่งจับน้ำแข็งมาหมาดๆ ต่างจากอุณหภูมิอุ่นๆ ของเธออย่างสิ้นเชิง เย็นเสียจนเธออดขนลุกซู่ไม่ได้เสิ่นหยินอู้มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของฉินเย่อย่างอดไม่ได้เพราะทั้งสองถูกเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นฉินเย่เองก็สามารถสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้เช่นเดียวกันหลังจากที่เธอนั่งตัวตรงแล้ว ก็เก็บมือของตัวเองอย่างฉับพลันเมื่อแอร์โฮสเตสเดินจากไป เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“ไม่ให้ฉันเข้าไม่ใช่เหรอ?”ฉินเย่ปั้นหน้าขรึม ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกว่าแผนการของหลี่มู่ถิงนี่ไม่เลวจริงๆเป็นไปตามคาด ยิ่งเขาทำตัวไม่อยากใกล้ชิดเธอมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งคิดว่าตนกำลังปิดบังเรื่องอาการป่วยกับเธอมากเท่านั้น และจะไม่ปฏิเสธในการใกล้ชิดกับเขาผลลัพธ์นี้ตรงตามที่เขาต้องการพอดีหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ถามขึ้นก่อนว่า “นายทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”“ไม่อย่างนั้นล่ะ? จะรอให้กลับมาแล้วไปแอดมิดต่อเหรอ?”น้ำเสียงของเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เมื่อคิดว่าเขากำลังจะ
ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วพ่นคำออกไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ตื่นจากการทำงาน แล้วมองไปที่ฉินเย่“ทำไม ฉันพูดผิดเหรอ?”เสิ่นหยินอู้กลับขมวดคิ้ว “ทำไมนายไม่พักผ่อน?”ฉินเย่ตอบ “ไม่ง่วงน่ะ”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อนึกถึงคำพูดเมื้อครู่นี้ของเขา สลับกับกลยุทธ์ของตน ก็พบว่าวิธีแก้ปัญหาที่เขาพูดมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด“นายอย่ามารบกวนฉันทำงาน” เธอกล่าวได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็ก้มหน้าก้มตา แล้วหลุดหัวเราะออกมา “หวังดี แต่กลับถูกว่าร้าย”“ไม่จำเป็นจ๊ะ”ฉินเย่ถูกนิสัยของเธอทำเอาหมดคำพูด แต่กลับพบว่าเธอเขียนคำแนะนำที่ตนให้เอาไว้ อารมณ์โกรธถึงได้เพลาลงพลางแค่นเสียงเย็นชาจากนั้น แอร์โฮสเตสกก็เอาอาหารมาเสริฟ เสิ่นหยินอู้จะเขียนกลยุทธ์ออกมา แต่ไม่มีเวลา สุดท้ายก็ได้ยินฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ พูดกับแอร์โฮสเตสว่า“ผมขอไวน์แก้วหนึ่งครับ”เสิ่นหยินอู้ที่กำลังพิมพ์อยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเขา เธอจ้องฉินเย่ตาเป็นมัน “นายป่วยยังไม่ทันหายดีเลย ยังจะดื่มอีก!”“ดีมากแล้ว” ฉินเย่กล่าวนิ่งๆ “ดื่มแค่ไม่กี่อึกเอง”คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นหยินอู้หมดคำพูด
สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงเมืองหนานเฉิงไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหน แต่พอลงจากเครื่อง แล้วเห็นสถานที่เดิมๆ อันคุ้นตาแล้ว มือที่ขนาบข้างกายของเสิ่นหยินอู้ก็อดสั่นเทาไม่ได้ห้าปีก่อน เธอจากไปจากที่นี่ห้าปีผ่านไปแล้ว สนามบินไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เสิ่นหยินอู้เดินตามหลังสุด ในใจกลับเต็มไปด้วยวันวานน่าจะเป็นเพราะเธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าเห็นเธอเดินช้า ก็เลยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเธอแต่เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกต พุ่งชนพอดีตุบหน้าผากของเธอชนเข้ากับแผ่นอกหนึ่งเสิ่นหยินอู้หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองดวงตาสีดำของฉินเย่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอเดินไม่ดูทาวหรือไง?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก จากนั้นนวดที่หน้าผากของตนเบาๆ พลางถอยหลังกลับ แล้วขมวดคิ้ว“เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”“คิดอะไรกัน ถึงได้คิดเพลินขนาดนี้?”เสิ่นหยินอู้หยุดนวดหน้าผากของตัวเอง แววตาดูว่างเปล่า “ฉันกำลังคิดว่าคุณย่าจะโทษฉันไหม? ฉันไปหาท่าน ท่านจะ…ต้อนรับฉันไหม?”ฉินเย่ตะลึงเล็กน้อยหลังจากนั้น เขาก็พูดเสียงทุ้มว่า “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่า
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ