“ยังไม่ได้จอง” โม่ไป๋ปฏิเสธ เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น โดยสัญชาตญาณเธออยากจะพูดถึงผู้ช่วยเฉินว่าเขาทำงานยังไงถึงไม่ได้จองโรงแรมให้เรียบร้อย แต่เมื่อคำพูดกำลังจะหลุดออกจากปาก เสิ่นหยินอู้ก็คิดได้ว่า วันนี้ผู้ช่วยเฉินยุ่งกับการจัดประมูล และหลังจากกลับมาก็ช่วยดูแลเด็กทั้งสองคนให้เธออีก เธอจึงไม่รู้จะพูดอะไรออกมาได้อีก ท้ายที่สุดแล้ว เธอเองก็มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้เมื่อคิดได้แบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที “งั้นฉันจะช่วยนายจองโรงแรมตอนนี้เลย นายอยากพักที่ไหน?” โม่ไป๋ยังคงจ้องมองเธอไม่ขยับ“ที่นี่ดูสภาพแวดล้อมดีนะ” เสิ่นหยินอู้หยุดชะงักในขณะที่เธอจ้องมองด้วยความประหลาดใจ โม่ไป๋ก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ยังไงผมก็ต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ผมได้ยินจากผู้ช่วยเฉินว่าที่นี่มีบ้านให้เช่า” “อืม”“ดีเลย เธอมีข้อมูลติดต่อของเจ้าของบ้านไหม?” “ลี่ซือน่าจะมี แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ถ้าจะเช่าบ้านจริง ๆ ก็คงต้องพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ เช่าบ้านแล้วก็ต้องทำความสะอาดแล้วก็เตรียมที่นอนอีก”“อืม เธอพูดถูก ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้คุณหนูเสิ่นพอจะมีเวลาพาผมไปซื้อของที่ซ
หัวใจของเสิ่นหยินอู้ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นจากลูกเธอเอื้อมมือไปลูบหัวเสิ่นซือเหนียน พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หม่ามี๊กลับมาแล้วนะครับ หนูหลับอย่างสบายใจได้แล้วนะ”เสิ่นซือเหนียนกระพริบตาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ “คืนนี้ผมนอนกับแม่ได้ไหมครับ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่เตียงใหญ่ ในใจของเธอตอบรับแล้ว แต่ปากกลับอดไม่ได้ที่จะหยอกลูกชาย“แต่ปีนี้ลูกของแม่อายุห้าขวบแล้วนะ ควรจะนอนเองได้แล้ว” เมื่อได้ยินแบบนั้น ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสิ่นซือเหนียนก็แสดงความผิดหวังออกมา คงคิดว่าเสิ่นหยินอู้ไม่ยอม แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ก้มศีรษะลง พยักหน้าอย่างว่าง่าย“ก็ได้ครับหม่ามี๊ เหนียนเหนียนนอนเองก็ได้” เดิมทีเธอแค่อยากจะหยอกเขาเล่น แต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของเขา เสิ่นหยินอู้กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใจร้ายเมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า “พอแล้ว หม่ามี๊แค่ล้อเล่น วันนี้อากาศหนาว พวกเรามานอนด้วยกันนะ” เสิ่นซือเหนียนเผยแววตาที่คาดหวังและดีใจออกมาทันที“จริงหรอครับ หม่ามี๊?”“จริงครับ หนูขึ้นเตียงไปก่อน หม่ามี๊จะไปหยิบผ้าห่มมา”เสิ่นซือเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปีนขึ้นเตียงอย่างเช
แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เสิ่นหยินอู้ก็รู้ดีว่าเฉียวลี่ซือหมายความว่าอะไร เธอเม้มริมฝีปากและเก็บโทรศัพท์มือถือ ผู้ใหญ่ไม่ควรก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น แต่ในเมื่อเธอรู้ว่าฉินเย่และเจียงฉูฉู่อยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ควรบอกเพื่อนของเธอ เดิมทีเธอตั้งใจจะรอจนพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยคุยกับเฉียวลี่ซือให้ชัดเจน แต่ไม่คาดคิดว่าเฉียวลี่ซือจะรอไม่ไหวถึงขนาดต้องแอบออกไปตอนกลางคืน หลังจากคิดอยู่ซักพัก เสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจส่งข้อความไปหาเธอ“ลี่ซือ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เราโทรคุยกันได้มั้ย?” แต่หลังจากข้อความนี้ส่งไปแล้ว เฉียวลี่ซือก็ไม่ตอบกลับมาอีกเลย เสิ่นหยินอู้รออย่างใจเย็นอีกสองนาที แต่เมื่อยังไม่มีการตอบกลับ เธอจึงตัดสินใจโทรไปหาเฉียวลี่ซือ“ขออภัย หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ” เสียงอัตโนมัติที่เย็นชาจากปลายสายทำให้ใจของเสิ่นหยินอู้หนักอึ้ง เธอลุกขึ้นจากโซฟาทันทีปิดเครื่องแล้วเหรอ?เธอเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า หรือว่าตั้งใจปิดเครื่องเพราะไม่อยากคุยกับเธอ? เสิ่นหยินอู้ลังเลอยู่ชั่วขณะ เธอรู้ว่าทุกคนต้องการพื้นที่ส่วนตัว และ
มือของโม่ไป๋ร้อนเหมือนไฟที่ส่งผ่านมายังเธอ ความรู้สึกแรกของเสิ่นหยินอู้คือรู้สึกอบอุ่น หลังจากที่เขาเตือน เธอก็ตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาเธอรีบร้อนจนไม่ได้สังเกตว่าตัวเองใส่เสื้อผ้าน้อยไป “ฉันจะบอกนายนะโม่ไป๋ ลี่ซือออกไปข้างนอก ฉันลองโทรหาเธอหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีใครรับสาย ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่าเธอปิดเครื่องเพราะไม่อยากให้ฉันรบกวน หรือว่า...…” คำพูดหลังจากนั้นเธอไม่ได้พูดออกมา แต่โม่ไป๋ก็เข้าใจว่าเธอต้องการจะพูดอะไรเมื่อเห็นว่าเธอรอจนมือเท้าเย็นจนชา เตือนเธอเธอก็ยังไม่รู้ตัว โม่ไป๋ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ผมรู้แล้ว ผมจะโทรหาผู้ช่วยเฉินให้เขามาที่นี่ จากนั้นผมจะไปกับเธอเพื่อหาลี่ซือ โอเคมั้ย?”ไปหาลี่ซือด้วยกัน?“ไม่ๆ” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว “ฉันไม่ไป ถ้าเธอเห็นฉัน......” ตอนนั้น เฉียวลี่ซือคงคิดว่าเธอเข้าไปยุ่งมากเกินไปโม่ไป๋เข้าใจเธอดี หลังจากที่เธอพูด เขาก็เข้าใจความหมายของเธอทันที “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะส่งคนไปยืนยันความปลอดภัยของเธอทันที” เสิ่นหยินอู้รู้สึกโล่งใจมาก“ขอบคุณนะ”“แล้วตอนนี้ไปใส่เสื้อผ้าเพิ่มได้หรือยัง? ถ้าเธอเป็นแบบนี้ต่อไป ผมกลัวว่าพรุ่งนี้เธอจะเป็นหวัด”
"เขาแค่คิดแทนฉันน่ะ อย่าไปถือโทษเขาเลย"โม่ไป๋ยิ้มเบาๆ"คงกลัวว่าเจ้านายคนต่อไปของตัวเองในอนาคตจะกลายเป็นคนอื่นมั้ง"คำพูดนี้บอกเป็นนัยๆได้อย่างชัดเจน"งั้นตอนนี้เห็นเขาแล้วรู้สึกยังไง?"โม่ไป๋ถามคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาเสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองเขา"ขอโทษที ผมถามคำถามที่เสียมารยาทไปหรือเปล่า? ผมแค่คิดว่าผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว คุณน่าจะปล่อยวางมันได้แล้ว"ใช่ ผ่านมาห้าปีแล้วเวลาผ่านไปนานตั้งขนาดแล้ว เธอยังมีอะไรที่ทำให้ปล่อยวางไม่ได้อีกล่ะ?พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า:"ไม่เสียมารยาทหรอก อยากถามก็ถามเถอะ สำหรับฉันในตอนนี้แล้ว เขาก็แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง"ถ้าหลายปีผ่านมาขนาดนี้เธอยังรู้สึกกับเขาอยู่ล่ะก็เธอคงหมดทางรักษาแล้วจริงๆ"งั้นเหรอ?"หลังจากที่โม่ไป๋ฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อไม่เชื่อดี เขายื่นมือไปลูบหัวเธอ: "ปล่อยวางได้ก็ดี ผมคิดว่าคุณจะยังติดอยู่กับอดีตไม่ไปไหนซะอีก" "ที่ไหนกันล่ะ?"เสิ่นหยินอู้ยิ้มทั้งสองไม่พูดคุยเรื่องนี้ต่อ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหัวข้อนี้ไม่เหมาะสมที่จะคุยต่อโม่ไป๋มองไปรอบๆ ก่อนจะดันไหล่เธอให้เดินไป"ไปเถอะ คุณไปนอนไป ที่นี
นึกขึ้นได้แบบนี้เธอก็รีบเปิดประตู วิ่งออกไปเท้าเปล่าเธอที่กำลังวิ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น ก็ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะได้พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของโม่ไป๋ที่กำลังมาหาเธอแทนโม่ไป๋ก็ไม่คาดคิดมาก่อน ถูกเธอกระแทกถอยไปสองก้าวถึงจะรักษาสมดุลได้"อะไรเหรอ?"เขาโอบเอวเสิ่นหยินอู้ไว้เพื่อยืนให้มั่นกันเธอล้มลงไปเสิ่นหยินอู้ตอนนี้ไม่คิดอื่นใด เธอถามโดยไม่รู้ตัวว่า: "ลี่ซือล่ะ? เธอกลับมาหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนั้น โม่ไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ"คุณไม่ต้องรีบร้อนไป ผมเองก็จะมาบอกคุณเรื่องนี้แหละ"เสิ่นหยินอู้ถึงได้สงบลง เธอถอยหลังไปสองก้าวมองเขาโม่ไป๋เห็นว่าแม้แต่รองเท้าเธอก็ไม่ใส่ บนตัวก็ใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อคืนแต่คิดว่าถ้าฟังไม่จบ เธอคงไม่ไปเปลี่ยนชุดแน่ คงต้องบอกให้จบๆไป"เธอปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นคนของเราเฝ้าอยู่ที่โรงแรมจนถึงเมื่อกี้""เฝ้าที่โรงแรม?""ใช่""เฝ้ายังไง? เธออยู่โรงแรมไหน? เธอเข้าโรงแรมไปแล้ว?"ตอนที่ออกมาไม่ได้เอาคีย์การ์ดมาด้วย ตามหลักแล้วเฉียวลี่ซือเข้าไปไม่ได้แน่โม่ไป๋มองธอราวกับสังเกตสีหน้าเธอ สักพักก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า:"ถ้าผมบอกว่าเธอเข้าไปแล้ว คุณจะรู้สึก
กดครั้งแรกสองที ข้างในก็ไม่มีการตอบสนองใด เฉียวลี่ซือยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างอดทนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วไม่รู้และเฉียวลี่ซือเองก็ไม่รู้ว่ากดกริ่งประตูไปแล้วกี่ครั้ง ประตูห้องในที่สุดก็เปิดออกชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ข้างประตู ร่างกายแผ่ออร่าเยือกเย็นเพราะถุกปลุกขึ้นมา เขามองเธอด้วยสายตาเย็นชามองแวบเดียวเฉียวลี่ซือก็รู้สึกถึงไอเย็นเยือก"สะ สวัสดีค่ะ?"ปัง!วินาทีถัดมา ประตูห้องก็ถูกปิดลงอย่างแรงเฉียวลี่ซือเกือบโดนประตูกระแทกจมูกแล้วเมื่อเธอตั้งสติขึ้นมาได้ก็กดกริ่งประตูอีกครั้งกดไปสองครั้ง ชายหนุ่มรูปงามถึงเปิดประตูมาอีกครั้ง"มีอะไร?"ฉินเย่นั้นไม่ใช่ว่าจำผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ว่าเธอเป็นใครผู้หญิงที่วุ่นวายใส่เขาที่บาร์อยู่นานเขาเม้มริมฝีปากมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้เคยเต๊าะๆที่บาร์ จะตามมาถึงโรงแรมในตอนนี้ เฉียวลี่ซือพยักหน้า กลัวว่าจะปิดประตูใส่ให้เธออยู่ข้างนอกอีก ดังนั้นหลังจากพยักหน้าแล้วเธอจึงพยายามเบียดเข้าไปไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยกมือขึ้นกันประตู มองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไม่ได้คิดจะให้เธอเข้าไป"ฉัน……คุณให้ฉันเข้าไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ"
เฉียวลี่ซือที่อุตส่าห์จำเบอร์ได้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเป็นของผู้ช่วยเขา แล้วก็หันหลังเดินจากไป ทำให้เธอรู้สึกร้อนใจเธอจึงไล่ตามไปโดยไม่รู้ตัวเธอตามฉินเย่ไปที่ลิฟต์"เดี๋ยวก่อน ฉันมาหาคุณเพื่อขอช่องทางติดต่อ ไม่ได้ขอค่าตอบแทน ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณน่ะ คุณพอจะให้ช่องทางการติดต่อคุณได้ไหม? "ฉินเย่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูลิฟต์ ยืนนิ่งตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉียวลี่ซือกัดริมฝีปากล่างของเธอ มองเขาด้วยสีหน้าสับสน"ขอร้องล่ะๆๆๆ ฉันขอแค่ช่องทางเดียว ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนคุณ"ฉินเย่จ้องมองเธออย่างเย็นชา แล้วยกมือขึ้นติดกระดุมเสื้อสูทเม็ดบนสุดของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา: "คุณผู้หญิงท่านนี้ ถ้าคุณคิดอะไรกับผมล่ะก็แนะนำให้เลิกคิดซะตอนนี้เลย ไม่งั้นผมไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ "ติ๊ง——ลิฟต์มาพอดีฉินเย่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉียวลี่ซือเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ใส่ก็หน้าซีดเผือก เมื่อเห็นเขาเข้าไปในลิฟต์ เธอก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เดินตามเข้าไปอย่างช้าๆในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หลังจากที่เธอเข้าไปเฉียว
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ