แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เสิ่นหยินอู้ก็รู้ดีว่าเฉียวลี่ซือหมายความว่าอะไร เธอเม้มริมฝีปากและเก็บโทรศัพท์มือถือ ผู้ใหญ่ไม่ควรก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น แต่ในเมื่อเธอรู้ว่าฉินเย่และเจียงฉูฉู่อยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ควรบอกเพื่อนของเธอ เดิมทีเธอตั้งใจจะรอจนพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยคุยกับเฉียวลี่ซือให้ชัดเจน แต่ไม่คาดคิดว่าเฉียวลี่ซือจะรอไม่ไหวถึงขนาดต้องแอบออกไปตอนกลางคืน หลังจากคิดอยู่ซักพัก เสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจส่งข้อความไปหาเธอ“ลี่ซือ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เราโทรคุยกันได้มั้ย?” แต่หลังจากข้อความนี้ส่งไปแล้ว เฉียวลี่ซือก็ไม่ตอบกลับมาอีกเลย เสิ่นหยินอู้รออย่างใจเย็นอีกสองนาที แต่เมื่อยังไม่มีการตอบกลับ เธอจึงตัดสินใจโทรไปหาเฉียวลี่ซือ“ขออภัย หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ” เสียงอัตโนมัติที่เย็นชาจากปลายสายทำให้ใจของเสิ่นหยินอู้หนักอึ้ง เธอลุกขึ้นจากโซฟาทันทีปิดเครื่องแล้วเหรอ?เธอเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า หรือว่าตั้งใจปิดเครื่องเพราะไม่อยากคุยกับเธอ? เสิ่นหยินอู้ลังเลอยู่ชั่วขณะ เธอรู้ว่าทุกคนต้องการพื้นที่ส่วนตัว และ
มือของโม่ไป๋ร้อนเหมือนไฟที่ส่งผ่านมายังเธอ ความรู้สึกแรกของเสิ่นหยินอู้คือรู้สึกอบอุ่น หลังจากที่เขาเตือน เธอก็ตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาเธอรีบร้อนจนไม่ได้สังเกตว่าตัวเองใส่เสื้อผ้าน้อยไป “ฉันจะบอกนายนะโม่ไป๋ ลี่ซือออกไปข้างนอก ฉันลองโทรหาเธอหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีใครรับสาย ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่าเธอปิดเครื่องเพราะไม่อยากให้ฉันรบกวน หรือว่า...…” คำพูดหลังจากนั้นเธอไม่ได้พูดออกมา แต่โม่ไป๋ก็เข้าใจว่าเธอต้องการจะพูดอะไรเมื่อเห็นว่าเธอรอจนมือเท้าเย็นจนชา เตือนเธอเธอก็ยังไม่รู้ตัว โม่ไป๋ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ผมรู้แล้ว ผมจะโทรหาผู้ช่วยเฉินให้เขามาที่นี่ จากนั้นผมจะไปกับเธอเพื่อหาลี่ซือ โอเคมั้ย?”ไปหาลี่ซือด้วยกัน?“ไม่ๆ” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว “ฉันไม่ไป ถ้าเธอเห็นฉัน......” ตอนนั้น เฉียวลี่ซือคงคิดว่าเธอเข้าไปยุ่งมากเกินไปโม่ไป๋เข้าใจเธอดี หลังจากที่เธอพูด เขาก็เข้าใจความหมายของเธอทันที “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะส่งคนไปยืนยันความปลอดภัยของเธอทันที” เสิ่นหยินอู้รู้สึกโล่งใจมาก“ขอบคุณนะ”“แล้วตอนนี้ไปใส่เสื้อผ้าเพิ่มได้หรือยัง? ถ้าเธอเป็นแบบนี้ต่อไป ผมกลัวว่าพรุ่งนี้เธอจะเป็นหวัด”
"เขาแค่คิดแทนฉันน่ะ อย่าไปถือโทษเขาเลย"โม่ไป๋ยิ้มเบาๆ"คงกลัวว่าเจ้านายคนต่อไปของตัวเองในอนาคตจะกลายเป็นคนอื่นมั้ง"คำพูดนี้บอกเป็นนัยๆได้อย่างชัดเจน"งั้นตอนนี้เห็นเขาแล้วรู้สึกยังไง?"โม่ไป๋ถามคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาเสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองเขา"ขอโทษที ผมถามคำถามที่เสียมารยาทไปหรือเปล่า? ผมแค่คิดว่าผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว คุณน่าจะปล่อยวางมันได้แล้ว"ใช่ ผ่านมาห้าปีแล้วเวลาผ่านไปนานตั้งขนาดแล้ว เธอยังมีอะไรที่ทำให้ปล่อยวางไม่ได้อีกล่ะ?พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า:"ไม่เสียมารยาทหรอก อยากถามก็ถามเถอะ สำหรับฉันในตอนนี้แล้ว เขาก็แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง"ถ้าหลายปีผ่านมาขนาดนี้เธอยังรู้สึกกับเขาอยู่ล่ะก็เธอคงหมดทางรักษาแล้วจริงๆ"งั้นเหรอ?"หลังจากที่โม่ไป๋ฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อไม่เชื่อดี เขายื่นมือไปลูบหัวเธอ: "ปล่อยวางได้ก็ดี ผมคิดว่าคุณจะยังติดอยู่กับอดีตไม่ไปไหนซะอีก" "ที่ไหนกันล่ะ?"เสิ่นหยินอู้ยิ้มทั้งสองไม่พูดคุยเรื่องนี้ต่อ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหัวข้อนี้ไม่เหมาะสมที่จะคุยต่อโม่ไป๋มองไปรอบๆ ก่อนจะดันไหล่เธอให้เดินไป"ไปเถอะ คุณไปนอนไป ที่นี
นึกขึ้นได้แบบนี้เธอก็รีบเปิดประตู วิ่งออกไปเท้าเปล่าเธอที่กำลังวิ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น ก็ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะได้พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของโม่ไป๋ที่กำลังมาหาเธอแทนโม่ไป๋ก็ไม่คาดคิดมาก่อน ถูกเธอกระแทกถอยไปสองก้าวถึงจะรักษาสมดุลได้"อะไรเหรอ?"เขาโอบเอวเสิ่นหยินอู้ไว้เพื่อยืนให้มั่นกันเธอล้มลงไปเสิ่นหยินอู้ตอนนี้ไม่คิดอื่นใด เธอถามโดยไม่รู้ตัวว่า: "ลี่ซือล่ะ? เธอกลับมาหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนั้น โม่ไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ"คุณไม่ต้องรีบร้อนไป ผมเองก็จะมาบอกคุณเรื่องนี้แหละ"เสิ่นหยินอู้ถึงได้สงบลง เธอถอยหลังไปสองก้าวมองเขาโม่ไป๋เห็นว่าแม้แต่รองเท้าเธอก็ไม่ใส่ บนตัวก็ใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อคืนแต่คิดว่าถ้าฟังไม่จบ เธอคงไม่ไปเปลี่ยนชุดแน่ คงต้องบอกให้จบๆไป"เธอปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นคนของเราเฝ้าอยู่ที่โรงแรมจนถึงเมื่อกี้""เฝ้าที่โรงแรม?""ใช่""เฝ้ายังไง? เธออยู่โรงแรมไหน? เธอเข้าโรงแรมไปแล้ว?"ตอนที่ออกมาไม่ได้เอาคีย์การ์ดมาด้วย ตามหลักแล้วเฉียวลี่ซือเข้าไปไม่ได้แน่โม่ไป๋มองธอราวกับสังเกตสีหน้าเธอ สักพักก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า:"ถ้าผมบอกว่าเธอเข้าไปแล้ว คุณจะรู้สึก
กดครั้งแรกสองที ข้างในก็ไม่มีการตอบสนองใด เฉียวลี่ซือยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างอดทนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วไม่รู้และเฉียวลี่ซือเองก็ไม่รู้ว่ากดกริ่งประตูไปแล้วกี่ครั้ง ประตูห้องในที่สุดก็เปิดออกชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ข้างประตู ร่างกายแผ่ออร่าเยือกเย็นเพราะถุกปลุกขึ้นมา เขามองเธอด้วยสายตาเย็นชามองแวบเดียวเฉียวลี่ซือก็รู้สึกถึงไอเย็นเยือก"สะ สวัสดีค่ะ?"ปัง!วินาทีถัดมา ประตูห้องก็ถูกปิดลงอย่างแรงเฉียวลี่ซือเกือบโดนประตูกระแทกจมูกแล้วเมื่อเธอตั้งสติขึ้นมาได้ก็กดกริ่งประตูอีกครั้งกดไปสองครั้ง ชายหนุ่มรูปงามถึงเปิดประตูมาอีกครั้ง"มีอะไร?"ฉินเย่นั้นไม่ใช่ว่าจำผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ว่าเธอเป็นใครผู้หญิงที่วุ่นวายใส่เขาที่บาร์อยู่นานเขาเม้มริมฝีปากมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้เคยเต๊าะๆที่บาร์ จะตามมาถึงโรงแรมในตอนนี้ เฉียวลี่ซือพยักหน้า กลัวว่าจะปิดประตูใส่ให้เธออยู่ข้างนอกอีก ดังนั้นหลังจากพยักหน้าแล้วเธอจึงพยายามเบียดเข้าไปไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยกมือขึ้นกันประตู มองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไม่ได้คิดจะให้เธอเข้าไป"ฉัน……คุณให้ฉันเข้าไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ"
เฉียวลี่ซือที่อุตส่าห์จำเบอร์ได้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเป็นของผู้ช่วยเขา แล้วก็หันหลังเดินจากไป ทำให้เธอรู้สึกร้อนใจเธอจึงไล่ตามไปโดยไม่รู้ตัวเธอตามฉินเย่ไปที่ลิฟต์"เดี๋ยวก่อน ฉันมาหาคุณเพื่อขอช่องทางติดต่อ ไม่ได้ขอค่าตอบแทน ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณน่ะ คุณพอจะให้ช่องทางการติดต่อคุณได้ไหม? "ฉินเย่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูลิฟต์ ยืนนิ่งตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉียวลี่ซือกัดริมฝีปากล่างของเธอ มองเขาด้วยสีหน้าสับสน"ขอร้องล่ะๆๆๆ ฉันขอแค่ช่องทางเดียว ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนคุณ"ฉินเย่จ้องมองเธออย่างเย็นชา แล้วยกมือขึ้นติดกระดุมเสื้อสูทเม็ดบนสุดของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา: "คุณผู้หญิงท่านนี้ ถ้าคุณคิดอะไรกับผมล่ะก็แนะนำให้เลิกคิดซะตอนนี้เลย ไม่งั้นผมไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ "ติ๊ง——ลิฟต์มาพอดีฉินเย่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉียวลี่ซือเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ใส่ก็หน้าซีดเผือก เมื่อเห็นเขาเข้าไปในลิฟต์ เธอก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เดินตามเข้าไปอย่างช้าๆในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หลังจากที่เธอเข้าไปเฉียว
คงจะไม่ใช่ว่าฉินเย่อยู่ข้างๆ เธอหรอกใช่ไหม?เมื่อคิดได้แบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็มีลางสังหรณ์แปลกๆขึ้นมาทันทีหลังจากที่เฉียวลี่ซือวางสายเสิ่นหยินอู้ไป เธอก็เช็ดน้ำตาที่หางตาด้วยอย่างตื่นตระหนก จากนั้นก็มองไปที่ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้า"คุณ……"จริงๆแล้วเธออยากถามว่า ทำไมคุณถึงกลับมาอีกล่ะแต่มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่กล้าเอ่ยพูดออกไปในขณะที่เธอกำลังลังเลว่าจะเริ่มต้นบทสนทนายังไง ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าก็มองโทรศัพท์เธอแวบหนึ่ง เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เมื่อกี้คุณคุยโทรศัพท์อยู่หรือเปล่า"คำถามนี้ทำให้เฉียวลี่ซืองงงวย จากนั้นเธอก็ค่อยๆ พยักหน้า"ใช่ ใช่ค่ะ""เพื่อนคุณเหรอ?""ใช่"ฉินเย่หรี่ตา: "เมื่อคืน……คุณเป็นคนช่วยมใช่ไหม?"เฉียวลี่ซือพยักหน้าต่อ"ใช่ คุณเมามากจนล้มลงกับพื้น ฉันกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป เลยพาคุณมาพักที่โรงแรมแต่..."เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉียวลี่ซือก็ดูเหมือนจะนึกอะไรออก แล้วก็หยุดพูดลง"แต่อะไร?"สัมผัสที่หกอันเฉียบแหลมนั้นทำให้ฉินเย่รู้สึกได้ว่าไอ้ประโยคข้างหลังแต่นี่ต้องสำคัญมากแน่เฉียวลี่ซือเป็นคนปากไวอยู่แล้ว จริงๆแล้วไม่ได้คิดว่าจะบอกฉินเย่เกี่ยวกับสิ่งที่
เหตุการณ์พลิกผันมักจะมาโดยไม่คาดคิดเสมอก่อนหน้านี้เฉียวลี่ซือยังเศร้าเรื่องที่เธอต้องจบลงอย่างน่าสงสารอยู่เลย หลังกลับไปคิดว่าจะหาเสิ่นหยินอู้แล้วร้องไห้ใส่สักทีแด่การถูกปฏิเสธครั้งแรกไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะกลับมาเฉียวลี่ซือที่นั่งอยู่บนรถ ในใจเธอนั้นราวกับขึ้นรถไฟเหาะเธอเม้มริมฝีปาก รู้สึกดีใจในใจ ความกล้าของเธอก็มากขึ้นจนพยายามพูดคุยกับชายหนุ่มขณะอยู่บนรถ"เอ่อ ฉันขอถามคุณหนึ่งคำถามได้ไหม?"สีหน้าไร้อารมณ์ของฉินเย่เอาแต่มองไปข้างหน้า"ว่า""อืม คือว่า...คุณชื่ออะไรเหรอ? อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันแค่ไม่รู้จะเรียกคุณว่าอะไรดี เพราะฉันไม่รู้แม้กระทั่งแซ่คุณน่ะ""ฉิน"เขาตอบสั้นและตรงประเด็น"ฉิน? "เฉียวลี่ซือประหลาดใจเล็กน้อย: "คุณแซ่ฉินงั้นเหรอ "ท่าทีของเธอทำให้ฉินเย่นึกได้ว่าอาจมีบางอย่างเป็นไปได้ จึงเลิกคิ้วขึ้น: "รู้จักเหรอ?"เฉียวลี่ซือ: "เปล่า ฉันแค่คิดว่าแซ่คุณเพราะมาก "ฉินเย่:"……"สรุปว่าเธอเป็นเพื่อนกับคนคนนั้นแต่กลับไม่เคยมีพูดถึงเขาเลยสักประโยค?ถึงขั้นแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขาห้าปีที่ผ่านมานี้ หรือว่าเธอจะลืมตัวเขาไปแล้ว?เหอะหลังรู้แซ่เขาแล้ว เฉียวลี่ซือก็