"เขาแค่คิดแทนฉันน่ะ อย่าไปถือโทษเขาเลย"โม่ไป๋ยิ้มเบาๆ"คงกลัวว่าเจ้านายคนต่อไปของตัวเองในอนาคตจะกลายเป็นคนอื่นมั้ง"คำพูดนี้บอกเป็นนัยๆได้อย่างชัดเจน"งั้นตอนนี้เห็นเขาแล้วรู้สึกยังไง?"โม่ไป๋ถามคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาเสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองเขา"ขอโทษที ผมถามคำถามที่เสียมารยาทไปหรือเปล่า? ผมแค่คิดว่าผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว คุณน่าจะปล่อยวางมันได้แล้ว"ใช่ ผ่านมาห้าปีแล้วเวลาผ่านไปนานตั้งขนาดแล้ว เธอยังมีอะไรที่ทำให้ปล่อยวางไม่ได้อีกล่ะ?พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า:"ไม่เสียมารยาทหรอก อยากถามก็ถามเถอะ สำหรับฉันในตอนนี้แล้ว เขาก็แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง"ถ้าหลายปีผ่านมาขนาดนี้เธอยังรู้สึกกับเขาอยู่ล่ะก็เธอคงหมดทางรักษาแล้วจริงๆ"งั้นเหรอ?"หลังจากที่โม่ไป๋ฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อไม่เชื่อดี เขายื่นมือไปลูบหัวเธอ: "ปล่อยวางได้ก็ดี ผมคิดว่าคุณจะยังติดอยู่กับอดีตไม่ไปไหนซะอีก" "ที่ไหนกันล่ะ?"เสิ่นหยินอู้ยิ้มทั้งสองไม่พูดคุยเรื่องนี้ต่อ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหัวข้อนี้ไม่เหมาะสมที่จะคุยต่อโม่ไป๋มองไปรอบๆ ก่อนจะดันไหล่เธอให้เดินไป"ไปเถอะ คุณไปนอนไป ที่นี
นึกขึ้นได้แบบนี้เธอก็รีบเปิดประตู วิ่งออกไปเท้าเปล่าเธอที่กำลังวิ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น ก็ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะได้พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของโม่ไป๋ที่กำลังมาหาเธอแทนโม่ไป๋ก็ไม่คาดคิดมาก่อน ถูกเธอกระแทกถอยไปสองก้าวถึงจะรักษาสมดุลได้"อะไรเหรอ?"เขาโอบเอวเสิ่นหยินอู้ไว้เพื่อยืนให้มั่นกันเธอล้มลงไปเสิ่นหยินอู้ตอนนี้ไม่คิดอื่นใด เธอถามโดยไม่รู้ตัวว่า: "ลี่ซือล่ะ? เธอกลับมาหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนั้น โม่ไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ"คุณไม่ต้องรีบร้อนไป ผมเองก็จะมาบอกคุณเรื่องนี้แหละ"เสิ่นหยินอู้ถึงได้สงบลง เธอถอยหลังไปสองก้าวมองเขาโม่ไป๋เห็นว่าแม้แต่รองเท้าเธอก็ไม่ใส่ บนตัวก็ใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อคืนแต่คิดว่าถ้าฟังไม่จบ เธอคงไม่ไปเปลี่ยนชุดแน่ คงต้องบอกให้จบๆไป"เธอปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นคนของเราเฝ้าอยู่ที่โรงแรมจนถึงเมื่อกี้""เฝ้าที่โรงแรม?""ใช่""เฝ้ายังไง? เธออยู่โรงแรมไหน? เธอเข้าโรงแรมไปแล้ว?"ตอนที่ออกมาไม่ได้เอาคีย์การ์ดมาด้วย ตามหลักแล้วเฉียวลี่ซือเข้าไปไม่ได้แน่โม่ไป๋มองธอราวกับสังเกตสีหน้าเธอ สักพักก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า:"ถ้าผมบอกว่าเธอเข้าไปแล้ว คุณจะรู้สึก
กดครั้งแรกสองที ข้างในก็ไม่มีการตอบสนองใด เฉียวลี่ซือยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างอดทนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วไม่รู้และเฉียวลี่ซือเองก็ไม่รู้ว่ากดกริ่งประตูไปแล้วกี่ครั้ง ประตูห้องในที่สุดก็เปิดออกชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ข้างประตู ร่างกายแผ่ออร่าเยือกเย็นเพราะถุกปลุกขึ้นมา เขามองเธอด้วยสายตาเย็นชามองแวบเดียวเฉียวลี่ซือก็รู้สึกถึงไอเย็นเยือก"สะ สวัสดีค่ะ?"ปัง!วินาทีถัดมา ประตูห้องก็ถูกปิดลงอย่างแรงเฉียวลี่ซือเกือบโดนประตูกระแทกจมูกแล้วเมื่อเธอตั้งสติขึ้นมาได้ก็กดกริ่งประตูอีกครั้งกดไปสองครั้ง ชายหนุ่มรูปงามถึงเปิดประตูมาอีกครั้ง"มีอะไร?"ฉินเย่นั้นไม่ใช่ว่าจำผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ว่าเธอเป็นใครผู้หญิงที่วุ่นวายใส่เขาที่บาร์อยู่นานเขาเม้มริมฝีปากมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้เคยเต๊าะๆที่บาร์ จะตามมาถึงโรงแรมในตอนนี้ เฉียวลี่ซือพยักหน้า กลัวว่าจะปิดประตูใส่ให้เธออยู่ข้างนอกอีก ดังนั้นหลังจากพยักหน้าแล้วเธอจึงพยายามเบียดเข้าไปไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยกมือขึ้นกันประตู มองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไม่ได้คิดจะให้เธอเข้าไป"ฉัน……คุณให้ฉันเข้าไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ"
เฉียวลี่ซือที่อุตส่าห์จำเบอร์ได้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเป็นของผู้ช่วยเขา แล้วก็หันหลังเดินจากไป ทำให้เธอรู้สึกร้อนใจเธอจึงไล่ตามไปโดยไม่รู้ตัวเธอตามฉินเย่ไปที่ลิฟต์"เดี๋ยวก่อน ฉันมาหาคุณเพื่อขอช่องทางติดต่อ ไม่ได้ขอค่าตอบแทน ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณน่ะ คุณพอจะให้ช่องทางการติดต่อคุณได้ไหม? "ฉินเย่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูลิฟต์ ยืนนิ่งตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉียวลี่ซือกัดริมฝีปากล่างของเธอ มองเขาด้วยสีหน้าสับสน"ขอร้องล่ะๆๆๆ ฉันขอแค่ช่องทางเดียว ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนคุณ"ฉินเย่จ้องมองเธออย่างเย็นชา แล้วยกมือขึ้นติดกระดุมเสื้อสูทเม็ดบนสุดของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา: "คุณผู้หญิงท่านนี้ ถ้าคุณคิดอะไรกับผมล่ะก็แนะนำให้เลิกคิดซะตอนนี้เลย ไม่งั้นผมไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ "ติ๊ง——ลิฟต์มาพอดีฉินเย่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉียวลี่ซือเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ใส่ก็หน้าซีดเผือก เมื่อเห็นเขาเข้าไปในลิฟต์ เธอก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เดินตามเข้าไปอย่างช้าๆในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หลังจากที่เธอเข้าไปเฉียว
คงจะไม่ใช่ว่าฉินเย่อยู่ข้างๆ เธอหรอกใช่ไหม?เมื่อคิดได้แบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็มีลางสังหรณ์แปลกๆขึ้นมาทันทีหลังจากที่เฉียวลี่ซือวางสายเสิ่นหยินอู้ไป เธอก็เช็ดน้ำตาที่หางตาด้วยอย่างตื่นตระหนก จากนั้นก็มองไปที่ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้า"คุณ……"จริงๆแล้วเธออยากถามว่า ทำไมคุณถึงกลับมาอีกล่ะแต่มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่กล้าเอ่ยพูดออกไปในขณะที่เธอกำลังลังเลว่าจะเริ่มต้นบทสนทนายังไง ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าก็มองโทรศัพท์เธอแวบหนึ่ง เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เมื่อกี้คุณคุยโทรศัพท์อยู่หรือเปล่า"คำถามนี้ทำให้เฉียวลี่ซืองงงวย จากนั้นเธอก็ค่อยๆ พยักหน้า"ใช่ ใช่ค่ะ""เพื่อนคุณเหรอ?""ใช่"ฉินเย่หรี่ตา: "เมื่อคืน……คุณเป็นคนช่วยมใช่ไหม?"เฉียวลี่ซือพยักหน้าต่อ"ใช่ คุณเมามากจนล้มลงกับพื้น ฉันกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป เลยพาคุณมาพักที่โรงแรมแต่..."เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉียวลี่ซือก็ดูเหมือนจะนึกอะไรออก แล้วก็หยุดพูดลง"แต่อะไร?"สัมผัสที่หกอันเฉียบแหลมนั้นทำให้ฉินเย่รู้สึกได้ว่าไอ้ประโยคข้างหลังแต่นี่ต้องสำคัญมากแน่เฉียวลี่ซือเป็นคนปากไวอยู่แล้ว จริงๆแล้วไม่ได้คิดว่าจะบอกฉินเย่เกี่ยวกับสิ่งที่
เหตุการณ์พลิกผันมักจะมาโดยไม่คาดคิดเสมอก่อนหน้านี้เฉียวลี่ซือยังเศร้าเรื่องที่เธอต้องจบลงอย่างน่าสงสารอยู่เลย หลังกลับไปคิดว่าจะหาเสิ่นหยินอู้แล้วร้องไห้ใส่สักทีแด่การถูกปฏิเสธครั้งแรกไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะกลับมาเฉียวลี่ซือที่นั่งอยู่บนรถ ในใจเธอนั้นราวกับขึ้นรถไฟเหาะเธอเม้มริมฝีปาก รู้สึกดีใจในใจ ความกล้าของเธอก็มากขึ้นจนพยายามพูดคุยกับชายหนุ่มขณะอยู่บนรถ"เอ่อ ฉันขอถามคุณหนึ่งคำถามได้ไหม?"สีหน้าไร้อารมณ์ของฉินเย่เอาแต่มองไปข้างหน้า"ว่า""อืม คือว่า...คุณชื่ออะไรเหรอ? อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันแค่ไม่รู้จะเรียกคุณว่าอะไรดี เพราะฉันไม่รู้แม้กระทั่งแซ่คุณน่ะ""ฉิน"เขาตอบสั้นและตรงประเด็น"ฉิน? "เฉียวลี่ซือประหลาดใจเล็กน้อย: "คุณแซ่ฉินงั้นเหรอ "ท่าทีของเธอทำให้ฉินเย่นึกได้ว่าอาจมีบางอย่างเป็นไปได้ จึงเลิกคิ้วขึ้น: "รู้จักเหรอ?"เฉียวลี่ซือ: "เปล่า ฉันแค่คิดว่าแซ่คุณเพราะมาก "ฉินเย่:"……"สรุปว่าเธอเป็นเพื่อนกับคนคนนั้นแต่กลับไม่เคยมีพูดถึงเขาเลยสักประโยค?ถึงขั้นแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขาห้าปีที่ผ่านมานี้ หรือว่าเธอจะลืมตัวเขาไปแล้ว?เหอะหลังรู้แซ่เขาแล้ว เฉียวลี่ซือก็
"ธุรกิจ?""ใช่สิ เพื่อนฉันอยากมีธุรกิจของตัวเองนะ"ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่น่าสงสัยไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมาฟังคนอื่นอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเธอจากปากของคนอื่นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย้ยหยันในใจถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ แต่ฉินเย่ก็ยังคงสนใจเรื่องของเธออยู่ดี"เริ่มทำธุรกิจ?"ฉินเย่กุมมือวางไว้ที่หน้าตัก:"พวกคุณทำธุรกิจด้วยกันเหรอ?""ไม่ใช่"เฉียวลี่ซือส่ายหัว:"ฉันช่วยพ่อทำงานที่สนามบินน่ะ พ่อฉันไม่ให้ไปทำธุรกิจเอง หลังเรียนจบก็ให้ช่วยที่บ้านทำงาน ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้งานที่นั่นอยู่"ทว่าหลังจากที่เธอพูดพวกนี้จบแล้ว ฉินเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เฉียวลี่ซือมองดูท่าทีเขา คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า: " เพื่อนฉันอยากเปิดบริษัทน่ะ"ตามคาดเมื่อเธอพูดถึงเรื่องของเสิ่นหยินอู้ คิ้วของฉินเย่ก็ขยับอีกครั้ง"เปิดบริษัทอะไร?"เฉียวลี่ซือพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ: "อันนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ รู้มาแค่คร่าวๆเท่านั้น เรื่องอื่นยังไม่ได้ถามนะ "เธอรู้สึกแปลกๆ ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะสนใจเสิ่นหยินอู้มากเป็นเพราะเมื่อคืนหลัง
"หยินอู้?"เฉียวลี่ซือเกือบจะหาทั้งบ้านแล้ว แต่ก็ไม่เจอเสิ่นหยินอู้"ไปไหนนะ?"เฉียวลี่ซือเลยต้องกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นฉินเย่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นพลางมองไปรอบๆ จึงได้แต่พูดว่า: "ขอโทษด้วยนะคะ คุณชายฉิน เพื่อนฉันเหมือนว่าจะไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าออกไปข้างนอกหรือเปล่า"พูดแล้ว เฉียวลี่ซือก็ต้องหาเรื่องอื่นพูด: "หรือคุณจะนั่งรอก่อน? ฉันจะโทรถามดู? ""ครับ"เดิมทีคิดว่าเขาจะปฏิเสธ ไม่คิดว่าวินาทีถัดมา ฉินเย่จะนั่งลงบนโซฟา ด้วยท่าทางเหมือนมีเวลามาก สามารถรอนานๆได้เฉียวลี่ซือรีบวิ่งไปที่ระเบียงก่อนจะโทรหาเสิ่นหยินอู้"หยินอู้ แกไปไหนน่ะ?""แกกลับบ้านแล้วเหรอ"ฝั่งเสิ่นหยินอู้ที่รับโทรศัพท์ถามกลับโดยไม่รู้ตัว"อืมๆ ฉันเพิ่งถึงบ้าน แต่ไม่เห็นแกน่ะ"เมื่อได้ยินว่าเธอกลับบ้านแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และอธิบายกับเธอว่า:"ฉันออกมาทำธุระนิดหน่อย ถ้าแกไม่มีอะไร ก็อยู่บ้านไปดีๆรอฉันกลับไปมีเรื่องจะคุยกับแก""อืม ฉันก็มีบางอย่างจะบอกแก……""ลี่ซือโทรมาเหรอ?"ทันใดนั้น เสียงของโม่ไป๋ก็ดังมาจากปลายสายโทรศัพท์อีกฝั่งหนึ่ง"ใช่ เธอถึงบ้านแล้ว""ดีแล้ว"เดิมทีเฉียวลี่ซือตั