เสิ่นหยินอู้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย "ห้าปีนี้นายช่วยฉันมาเยอะมาก ฉันคงพึ่งพานายทุกเรื่องไม่ได้หรอก""พึ่งพาทุกเรื่อง?" โม่ไป๋หัวเราะเบาๆ กับคำนี้ "หยินอู้ ถ้าห้าปีนี้เธอยอมพึ่งพาผมทุกเรื่องจริงๆ ผมคงไม่ต้องพยายามขนาดนี้"แม้ว่าเธอจะยอมให้เขาเอาอาหารเช้ามาให้ แต่นั่นก็เป็นผลจากความพยายามของโม่ไป๋ ต่อให้เขาไม่ทำอะไรแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็สามารถใช้ชีวิตได้ดีอยู่ดี"อย่าพูดแบบนั้น นายช่วยฉันมาเยอะแล้ว ถ้ามากกว่านี้ ฉันจะตอบแทนไม่ไหว""แล้วใครต้องการให้เธอตอบแทนล่ะ?"โม่ไป๋มองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้งขึ้น เสียงของเขาต่ำลง "ยังไงผมก็เต็มใจ เธอไม่ตอบแทนผม ผมก็ทำอะไรเธอไม่ได้"เสิ่นหยินอู้ไม่พูดอะไรเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ยังไงก็ตาม เขาเคารพเธอเสมอแต่ยิ่งเธอเป็นหนี้บุญคุณเขามากขึ้น เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ ถ้าไม่สามารถตอบแทนได้จริงๆ เธอก็จะรู้สึกไม่สบายใจไปตลอดชีวิต"เอาล่ะ สบายใจเถอะ อยากไปเปิดในประเทศก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างมากผมก็แค่กลับประเทศกับเธอ"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นทันที"นายจะกลับประเทศกับฉัน?""ไม่งั้นล่ะ? เธอจะกลับไปเปิดบริษัทในประเทศ ผมจะไม
เสิ่นหยินอู้คืนบัตรเชิญให้หลังจากพูดจบโม่ไป๋รับบัตรเชิญมาโดยไม่ได้เอามือลง แต่กลับจับปกบัตรเชิญแล้วมองเสิ่นหยินอู้ "ของขวัญที่คุณพ่ออยากได้ที่สุดคงเป็นสะใภ้ซักคน"เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ชะงักไปรู้สึกว่าโม่ไป๋กำลังบอกใบ้บางอย่าง แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร โม่ไป๋ก็พูดขึ้นอีก "เสียดาย ตอนนี้ผมยังทำให้คุณพ่อสมหวังไม่ได้ เลยต้องประมูลของเก่าที่ท่านชอบไปก่อน"เมื่อพูดจบ โม่ไป๋ก็ดึงบัตรเชิญกลับมาเห็นเสิ่นหยินอู้ยังค้างอยู่กับที่ เขาจึงถามอย่างขำๆ "เธอเป็นอะไรไป?"เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับมา ยิ้มเขินๆ "ไม่มีอะไร""จริงเหรอ? หรือคิดว่าผมกำลังบอกใบ้อะไรเธอ?"เสิ่นหยินอู้ "......ไม่ ไม่ใช่ ฉันจะคิดแบบนั้นได้ไง?""ถึงจะคิดแบบนั้นก็ไม่เป็นไร คุณพ่อก็ชอบลูกสองคนของเธอมาก และเธอก็รู้ความรู้สึกของผมดี"เสิ่นหยินอู้เม้มปากไม่พูดอะไรสองปีก่อน โม่ไป๋เคยสารภาพรักกับเธอในโอกาสๆหนึ่ง แต่ตอนนั้นเสิ่นหยินอู้ปฏิเสธไปหลังจากนั้น เธอก็หลีกเลี่ยงเขาตลอด จนกระทั่งโม่ไป๋หาเธอเจอ"ถ้าเป็นเพราะผมชอบเธอ เธอถึงเลี่ยงผมมาโดยตลอด มันไม่จำเป็นเลยเสิ่นหยินอู้ เพราะการที่ผมชอบเธอเป็นเรื่องของผมเอง ตลอดสาม
"อะไรอะไร?" ทุกคนเริ่มซุบซิบนินทากัน บนโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้ามีคนก็ต้องมีเรื่องซุบซิบ"ผู้จัดการเสิ่นเคยหย่ามาก่อน แล้วก็มีลูกสองคน" เมื่อได้ยินแบบนั้น บางคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็ตกใจ แต่เดิมคิดว่าต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเคยหย่ามาก่อน แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีลูกสองคนอีก"ได้ยินมาว่าตระกูลโม่เคร่งครัดกับเรื่องครอบครัว ผู้จัดการเสิ่นมีลูกสองคนแล้ว คุณพ่อของประธานโม่คงไม่ยอมให้ผู้หญิงแบบนี้เข้ามาในบ้านหรอก" "ผู้หญิงที่แต่งงานรอบสอง แถมมีลูกอีกสองคน แต่งกับผู้ชายธรรมดาอาจจะพอได้ แต่จะแต่งกับประธานโม่ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอ? คุณพ่อของประธานโม่คงไม่ยอมแน่ ไม่แปลกใจเลยที่ฉันสงสัยว่าทำไมถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน ที่แท้ก็เพราะตัวเองไม่เหมาะสม" มีคนพูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง"คุณได้ยินมาจากไหน? คุณพ่อของประธานโม่ก็รับเมียน้อยเข้าบ้าน นี่เรียกว่าเคร่งครัดเหรอ?""ใช่ น้องชายของประธานโม่ที่อายุแค่ประมาณเจ็ดขวบก็คือลูกของแม่เลี้ยงหนิ?ได้ยินว่าแม่เลี้ยงของเขาใจร้ายกับเขามาก" ในตอนแรกพวกเขานินทาเรื่องของโม่ไป๋กับเสิ่นหยินอู้ แต่พูดไปพูดมา ทุกคนก็สนใจเรื่องครอบครัวของ
สุดท้ายผู้ช่วยเฉินก็ยื่นรายงานการสำรวจตลาดให้เธอ เสิ่นหยินอู้เปิดดูและพบว่ามันคือรายงานที่โม่ไป๋บอกจริงๆ และวันที่ในรายงานก็เป็นเดือนที่แล้ว รายงานฉบับนี้ไม่ใช่รายงานการสำรวจตลาดทั่วไป รายละเอียดหลายอย่างถูกสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเธออ่านจบ เสิ่นหยินอู้ถึงได้รู้สึกโล่งใจจริงๆ โชคดีที่เขามีแผนจะกลับมาพัฒนาธุรกิจในประเทศ ไม่ใช่อยากกลับไปเพราะเธอ ดังนั้นเธอถึงรู้สึกสบายใจ "ขอบคุณค่ะ เอาคืนไปเถอะค่ะ" เสิ่นหยินอู้ส่งรายงานการสำรวจตลาดคืนให้ผู้ช่วยเฉิน"ผู้จัดการเสิ่นไม่อยากเอากลับไปดูอย่างละเอียดก่อนหรอครับ?""ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อกี้ฉันดูแล้ว""โอเคเครับ ถ้ามีอยากได้อะไรเพิ่มก็ส่งข้อความมาได้เลย ผมจะรีบเอาไปให้ทันทีครับ" หลังจากส่งเสิ่นหยินอู้กลับไปอย่างสุภาพเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยเฉินก็กลับมาที่โต๊ะของเขา เช็ดเหงื่อบนหน้าผากและมองรายงานการสำรวจตลาดในมือ คิดถึงคำที่โม่ไป๋บอกกับเขาตอนที่ทำรายงานนี้"ต้องละเอียด""ละเอียด?" ผู้ช่วยเฉินไม่เข้าใจความหมายของโม่ไป๋เท่าไหร่ จึงถามเพิ่มเติมว่า "ประธานโม่ ต้องละเอียดแค่ไหนครับ?""ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้" หลังจากทำรายงา
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสิ่นหยินอู้ก็ยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างช่วยไม่ได้"ภาพลักษณ์ฉันไปหมดแล้ว" เธอในกระจกเมื่อกี้นี้มีรอยคล้ำใต้ตาใหญ่เหมือนแพนด้า บวกกับความยุ่ง หน้าเธอก็ไม่ได้แต่งหน้า แถมยังนอนไม่พอจนหน้าซีดอีก ทั้งหน้าซีดทั้งรอยคล้ำใต้ตา รวมกับการที่เธอน้ำหนักลดลงไปด้วย ทำให้เธอดูเหมือนคนติดยา ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่เธอเห็นตัวเองยังตกใจ"อย่าบอกนะว่าเธออยู่ที่บริษัทในสภาพนี้มาหลายวันแล้ว" เสิ่นหยินอู้พยักหน้าอย่างจริงจัง"ใช่""พรืด" โจวชวงชวงแทบพ่นข้าวในปากออกมา "จริงมั้ยเนี่ย"เห็นเสิ่นหยินอู้ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก โจวชวงชวงได้แต่พูดไปว่า "คนสวยก็เป็นแบบนี้แหละน้า ถึงไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ก็ยังเป็นคนสวยตลอด" จริงๆ แล้วสภาพของเสิ่นหยินอู้ตอนนี้ในสายตาเธอก็ไม่ได้ดูแย่เพียงแต่พอเทียบกับรูปลักษณ์ที่ปราณีตในเวลาปกติแล้ว มันแย่กว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นคนสวยตามธรรมชาติ หน้าสดก็ดีอยู่แล้ว รอยคล้ำใต้ตากับหน้าซีดๆของเธอทำให้เธอดูเป็นสาวสวยที่เปราะบาง คิดถึงเรื่องนี้ โจวชวงชวงก็อดถอนหายใจไม่ได้ คนสวยถึงโทรมยังไงก็ยังเป็นคนสวย ถ้าเป็นเธอเอง......คงดูแย่มาก"เธอนี่ อย่าหักโหมเกินไ
เมื่อเข้าไปในห้องด้วยรหัสผ่าน โจวชวงชวงก็ได้ยินเสียงเด็กสองคนคุยกัน มองดูใกล้ๆ เห็นว่าเด็กสองคนกำลังไลฟ์อยู่ สิ่งที่เธอตั้งใจจะพูดหยุดลงทันที เพราะเสิ่นเหมิงเหมิงและเสิ่นซือเหนียนยังไม่เห็นเธอ เธอเลยเดินไปที่ครัวแทน โจวชวงชวงคิดว่าสองสามวันนี้เสิ่นหยินอู้คงยุ่งจนไม่ได้ล้างจาน แต่เมื่อเข้าไปในครัวกลับพบว่าครัวสะอาดมาก ไม่เพียงแค่จานชามที่สะอาด พื้นผิวต่างๆ ก็สะอาดหมด และตารางบนชั้นข้างๆ แสดงว่าวันนี้ถูกทำเครื่องหมายแล้ว"แม่บ้านมาแล้วเหรอ?" โจวชวงชวงพึมพำออกมา และเดินออกจากครัวไปยังระเบียง จนเด็กสองคนไลฟ์เสร็จ เธอถึงออกมา"น้าชวงชวง!" ทันทีที่เห็นเธอ เสิ่นเหมิงเหมิงก็วิ่งเข้ามาหา ก่อนที่โจวชวงชวงจะย่อตัวลงกอด เด็กหญิงก็กอดขาของเธอ "น้าชวงชวง เหมิงเหมิงไม่ได้เจอน้านานมาก คิดถึงน้ามากๆเลยค่ะ" "จริงเหรอ?" โจวชวงชวงหรี่ตาลง ย่อตัวลงตรงหน้าเธอ แล้วลูบแก้มของเสิ่นเหมิงเหมิงหลายครั้งก่อนที่เด็กหญิงจะตอบสนอง เธอขยำแก้มเสิ่นเหมิงเหมิงจนเป็นสีชมพู แล้วจุ๊บที่หน้าผากอย่างรักใคร่"น้าก็คิดถึงหนู!"เสิ่นเหมิงเหมิงกระพริบตา "คุณน้า น้าดูแปลกๆ นะ......" "หึหึหึ มีแค่น้าเท่า
คิดถึงตรงนี้ โจวชวงชวงกัดฟันพูดอย่างแค้นใจ "พวกหนูช่วยอธิษฐานให้น้าชวงชวงได้แต่งงานเร็วๆ ด้วยนะ ถึงตอนนั้นน้าจะมีลูกน่ารักๆ แบบพวกหนู ทีนี้น้าก็จะไม่จับแก้มพวกหนูอย่างเดียวแล้ว" เสิ่นเหมิงเหมิงกอดคอเธออย่างเอาใจแล้วพูดว่า "หนูขออธิษฐานให้น้าชวงชวงได้แต่งงานเร็วๆค่ะ""โอ้ย สุดที่รักของน้า หนูน่ารักที่สุดเลย รักหนูจะตายแล้ว"- พอใกล้เลิกงาน โม่ไป๋ก็มาหาเสิ่นหยินอู้"ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?"เสิ่นหยินอู้ที่ยุ่งมากๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ตอบว่า "ยังไม่เสร็จเลย น่าจะอีกสักพัก" พูดจบเธอก็รู้ทันทีว่าใครกำลังพูดกับเธอ แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว"นายมาที่นี่ได้ยังไง?"โม่ไป๋ถือกุญแจรถในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือเสื้อสูทของเขา เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น"มารับเธอหลังเลิกงาน แต่ดูเหมือนเธอต้องยุ่งอีกสักพัก"พูดพลาง โม่ไป๋ก็นั่งลงบนโซฟา "ผมรอเธอที่นี่นะ?อีกนานแค่ไหนถึงจะเสร็จ?"ตอนแรกเธอตั้งใจจะปฏิเสธเขา แต่สุดท้ายเสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "ประมาณหนึ่งชั่วโมง" "โอเค งั้นเธอทำงานเถอะ" เขาเข้าใจดีมากจนไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะต้อง
โม่ไป๋ชะงักไปแล้วยิ้มเบาๆ มือยังไม่ถอนออก ยังคงอยู่ที่กระดุมเสื้อของเธอ"หยินอู้" เสียงของเขาเบามาก "ต้องต่อต้านผมขนาดนี้เลยหรอ?" "เปล่า ฉันแค่......" เสิ่นหยินอู้ยังคงลังเลว่าจะอธิบายว่ายังไงดี โม่ไป๋ถอนหายใจแล้วเอามือกลับ"ถ้าอย่างนั้น เธอทำเองก็แล้วกัน" เสิ่นหยินอู้: "......" เขาเอามือกลับไปแล้ว เสิ่นหยินอู้หันหลังให้เขาแล้วติดกระดุมเสื้อโค้ทของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอติดเสร็จแล้วและหันกลับมา โม่ไป๋ก็หยิบกระเป๋าแล็ปท็อปของเธอขึ้นมาและเดินไปข้างหน้า เสิ่นหยินอู้รีบเดินตามไป คนในบริษัทกลับไปกันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่บางคนที่ยังทำงานล่วงเวลา ทุกคนทักทายทั้งสองคนตอนที่เจอกัน"ท่านประธานโม่ ผู้จัดการเสิ่น" ทั้งสองพยักหน้ารับ เมื่อเข้าลิฟต์ เสิ่นหยินอู้ก็พูดถึงโจวชวงชวงที่อยู่ในบ้านของเธอ "เธอลาเหรอ? เป็นไปได้ไง หัวหน้าของเธอยอมให้เธอลา" พูดถึงหัวหน้าของโจวชวงชวง เสิ่นหยินอู้ก็อดยิ้มไม่ได้ "ใช่ วันหยุดที่แสนจะหายาก ฉันก็แปลกใจที่หัวหน้าของเธอยอมให้เธอลาสามวัน" ทั้งสองพูดคุยเรื่องต่างๆ แล้วขับรถออกจากที่จอดรถไปด้วยกัน เมื่อถึงบ้าน เสิ่นหยินอู้และโม่ไป๋เข้า
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง