เมื่อเข้าไปในห้องด้วยรหัสผ่าน โจวชวงชวงก็ได้ยินเสียงเด็กสองคนคุยกัน มองดูใกล้ๆ เห็นว่าเด็กสองคนกำลังไลฟ์อยู่ สิ่งที่เธอตั้งใจจะพูดหยุดลงทันที เพราะเสิ่นเหมิงเหมิงและเสิ่นซือเหนียนยังไม่เห็นเธอ เธอเลยเดินไปที่ครัวแทน โจวชวงชวงคิดว่าสองสามวันนี้เสิ่นหยินอู้คงยุ่งจนไม่ได้ล้างจาน แต่เมื่อเข้าไปในครัวกลับพบว่าครัวสะอาดมาก ไม่เพียงแค่จานชามที่สะอาด พื้นผิวต่างๆ ก็สะอาดหมด และตารางบนชั้นข้างๆ แสดงว่าวันนี้ถูกทำเครื่องหมายแล้ว"แม่บ้านมาแล้วเหรอ?" โจวชวงชวงพึมพำออกมา และเดินออกจากครัวไปยังระเบียง จนเด็กสองคนไลฟ์เสร็จ เธอถึงออกมา"น้าชวงชวง!" ทันทีที่เห็นเธอ เสิ่นเหมิงเหมิงก็วิ่งเข้ามาหา ก่อนที่โจวชวงชวงจะย่อตัวลงกอด เด็กหญิงก็กอดขาของเธอ "น้าชวงชวง เหมิงเหมิงไม่ได้เจอน้านานมาก คิดถึงน้ามากๆเลยค่ะ" "จริงเหรอ?" โจวชวงชวงหรี่ตาลง ย่อตัวลงตรงหน้าเธอ แล้วลูบแก้มของเสิ่นเหมิงเหมิงหลายครั้งก่อนที่เด็กหญิงจะตอบสนอง เธอขยำแก้มเสิ่นเหมิงเหมิงจนเป็นสีชมพู แล้วจุ๊บที่หน้าผากอย่างรักใคร่"น้าก็คิดถึงหนู!"เสิ่นเหมิงเหมิงกระพริบตา "คุณน้า น้าดูแปลกๆ นะ......" "หึหึหึ มีแค่น้าเท่า
คิดถึงตรงนี้ โจวชวงชวงกัดฟันพูดอย่างแค้นใจ "พวกหนูช่วยอธิษฐานให้น้าชวงชวงได้แต่งงานเร็วๆ ด้วยนะ ถึงตอนนั้นน้าจะมีลูกน่ารักๆ แบบพวกหนู ทีนี้น้าก็จะไม่จับแก้มพวกหนูอย่างเดียวแล้ว" เสิ่นเหมิงเหมิงกอดคอเธออย่างเอาใจแล้วพูดว่า "หนูขออธิษฐานให้น้าชวงชวงได้แต่งงานเร็วๆค่ะ""โอ้ย สุดที่รักของน้า หนูน่ารักที่สุดเลย รักหนูจะตายแล้ว"- พอใกล้เลิกงาน โม่ไป๋ก็มาหาเสิ่นหยินอู้"ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?"เสิ่นหยินอู้ที่ยุ่งมากๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ตอบว่า "ยังไม่เสร็จเลย น่าจะอีกสักพัก" พูดจบเธอก็รู้ทันทีว่าใครกำลังพูดกับเธอ แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว"นายมาที่นี่ได้ยังไง?"โม่ไป๋ถือกุญแจรถในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือเสื้อสูทของเขา เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น"มารับเธอหลังเลิกงาน แต่ดูเหมือนเธอต้องยุ่งอีกสักพัก"พูดพลาง โม่ไป๋ก็นั่งลงบนโซฟา "ผมรอเธอที่นี่นะ?อีกนานแค่ไหนถึงจะเสร็จ?"ตอนแรกเธอตั้งใจจะปฏิเสธเขา แต่สุดท้ายเสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "ประมาณหนึ่งชั่วโมง" "โอเค งั้นเธอทำงานเถอะ" เขาเข้าใจดีมากจนไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะต้อง
โม่ไป๋ชะงักไปแล้วยิ้มเบาๆ มือยังไม่ถอนออก ยังคงอยู่ที่กระดุมเสื้อของเธอ"หยินอู้" เสียงของเขาเบามาก "ต้องต่อต้านผมขนาดนี้เลยหรอ?" "เปล่า ฉันแค่......" เสิ่นหยินอู้ยังคงลังเลว่าจะอธิบายว่ายังไงดี โม่ไป๋ถอนหายใจแล้วเอามือกลับ"ถ้าอย่างนั้น เธอทำเองก็แล้วกัน" เสิ่นหยินอู้: "......" เขาเอามือกลับไปแล้ว เสิ่นหยินอู้หันหลังให้เขาแล้วติดกระดุมเสื้อโค้ทของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอติดเสร็จแล้วและหันกลับมา โม่ไป๋ก็หยิบกระเป๋าแล็ปท็อปของเธอขึ้นมาและเดินไปข้างหน้า เสิ่นหยินอู้รีบเดินตามไป คนในบริษัทกลับไปกันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่บางคนที่ยังทำงานล่วงเวลา ทุกคนทักทายทั้งสองคนตอนที่เจอกัน"ท่านประธานโม่ ผู้จัดการเสิ่น" ทั้งสองพยักหน้ารับ เมื่อเข้าลิฟต์ เสิ่นหยินอู้ก็พูดถึงโจวชวงชวงที่อยู่ในบ้านของเธอ "เธอลาเหรอ? เป็นไปได้ไง หัวหน้าของเธอยอมให้เธอลา" พูดถึงหัวหน้าของโจวชวงชวง เสิ่นหยินอู้ก็อดยิ้มไม่ได้ "ใช่ วันหยุดที่แสนจะหายาก ฉันก็แปลกใจที่หัวหน้าของเธอยอมให้เธอลาสามวัน" ทั้งสองพูดคุยเรื่องต่างๆ แล้วขับรถออกจากที่จอดรถไปด้วยกัน เมื่อถึงบ้าน เสิ่นหยินอู้และโม่ไป๋เข้า
ถึงแม้เขาจะดูอบอุ่น อ่อนโยน แต่อย่างไรฐานะทางสังคมของเขาก็สูงมาก เธอไม่สามารถมองโม่ไป๋ให้เป็นแฟนธรรมดาๆ คนหนึ่งได้เลยพักหลังพอรู้จักกันนานเข้า อาจเป็นเพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของเสิ่นหยินอู้ ดังนั้นโม่ไป๋เลยปฏิบัติตัวดีกับเธอมาก มีอะไรดีๆ ก็จะซื้อมาฝากเธอด้วยเสมอนานเข้าๆ โจวชวงชวงก็กลายเป็นพรรคพวกของโม่ไป๋ แถมมักจะพูดแทนโม่ไป๋ด้วยบวกกับเธอรู้สึกว่าโม่ไป๋เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งจริงๆเขาอยู่เคียงข้างเสิ่นหยินอู้มาตลอดระยะเวลาห้าปีมิหนำซ้ำ ตลอดห้าปีมานี้ ไม่มีเรื่องผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเลยผู้ชายที่ซื่อสัตย์ขนาดนี้ บนโลกนี้คงมีแต่โม่ไป๋คนเดียวแล้วมั้ง?อีกอย่างเขายังไม่ถือสาที่เสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานมีลูกด้วย ทั้งยังรักและเอ็นดูลูกทั้งสองของหล่อนด้วยถ้าแบบนี้ไม่ใช่ความรัก…“เอาอะไร?”เสิ่นหยินอู้เดินออกมาจากห้องครัวพอดี และได้ยินเพียงคำพูดประโยคหลังเท่านั้น ประโยคหน้าไม่ได้ยินโจวชวงชวงกระแอมเบาๆ แล้วโกหกหน้านิ่ง “จะเอาอะไรได้อีกเล่า? ต้องเอาโปรเจกต์นี้ไว้ให้ได้น่ะสิ”โม่ไป๋เดินเข้าไปรับจานจากเธอ “ฉันช่วย”เสิ่นหยินอู้ปล่อยมือ“ถึงเวลากินข้าวแล้ว พวกเธอยังคุยเรื่องงานกันอีก?”
หลังจากกินข้าวเสร็จ โม่ไป๋ถกแขนเสื้อขึ้น “เดี๋ยวฉันล้างเอง”“ไม่ต้อง เก็บแล้วใส่เข้าไปในเครื่องล้างจานก็พอแล้ว”แต่น่าเสียดาย เพราะการกระทำของโม่ไป๋รวดเร็วเกินไป เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ยกถ้วยไปแล้วโจวชวงชวงเห็นก็อดไม่ได้เยาะเย้ยขึ้น“พอได้แล้วหยินอู้ เขาอยากทำก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ ถ้าเธอไม่อนุญาต แล้วเขาจะทำคะแนนยังไงเล่า?”“นั่นน่ะสิ” โม่ไป๋สำทับ “ให้ฉันได้ทำคะแนนสักหน่อยเถอะ”พูดขนาดนี้แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พูดอะไรต่อไม่ได้ จึงมอบสิ่งที่ต้องทำที่เหลือให้กับโม่ไป๋ทำเองทั้งหมดจนกระทั่งถึงเวลาพัก ทั้งๆ โจวชวงชวงมีที่นอนในห้องรับแขกอยู่แล้ว แต่เธอก็จะหยิบหมอนไปนอนเบียดกับเสิ่นหยินอู้บริเวณนอกหน้าต่างฝนกำลังตกปรอยๆ อุณหภูมิในห้องก็ลดลงไม่น้อยแต่เมื่อทั้งสองนอนเบียดด้วยกันจึงทำให้อุณหภูมิใต้ผ้าห่มนั้นสูงขึ้น“ฉันจำได้ว่าสมัยเรียน ฉันจะแอบไปนอนที่บ้านเธอบ่อยๆ แต่ว่าตอนนั้นเตียงบ้านเธอใหญ่มาก ตอนนั้นฉันคิดตลอดเลยว่าเตียงบ้านคนรวยนี่มันใหญ่ขนาดนี้กันหมดเลยเหรอ?”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องอดีต เสิ่นหยินอู้ก็อยากหัวเราะขึ้นมา“พ่อคงกลัวว่าฉันจะตกเตียงล่ะมั้ง ก็เลยสั่งทำเตียงนอนให้ต
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วคัดค้าน“แต่ว่าความรู้สึกไม่ได้ดูที่เรื่องพวกนี้สักหน่อย”“แล้วดูที่เรื่องอะไรล่ะ? เธอลองบอกมาซิ?” เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ โจวชวงชวงพลันหัวเราะ “หรือไม่เธอก็พูดมาเลยดีกว่าว่าห้าปีมานี้ เธอมีคนที่ชอบไหม? เพราะคนที่ชอบเธอไม่ได้มีแค่โม่ไป๋คนเดียว”เสิ่นหยินอู้ “ชวงชวง ฉันมีลูกแล้ว ไม่อยากไปคิดเรื่องพวกนั้น”“แต่ว่าคนพวกนั้นไม่ได้ถือสาที่เธอมีลูกนี่ โม่ไป๋เขาเลี้ยงดูเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเหมือนลูกของตัวเองเลยนะ”“อืม ฉันรู้ว่าฉันติดค้างเขามาก”ชาตินี้ อาจจะชดใช้ไม่หมดเลยก็ได้“เฮ้อ ถ้าฉันเป็นโม่ไป๋แล้วได้ยินคำนี้เข้า ฉันคงเสียใจแย่” โจวชวงชวงรู้สึกเจ็บใจแทนโม่ไป๋ “ฉันรู้สึกว่าเขาไม่เลวเลยนะ หน้าตาก็ดี ฐานะก็เลิศ ที่สำคัญยังซื่อสัตย์มากด้วย ไม่มีผู้หญิงคนอื่นเลย มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ถ้าเธอชอบเขา รับรองว่าชีวิตของเธอต้องมีความสุขมากแน่ๆ”“ชวงชวง…”“โอเคๆ ไม่ว่าโม่ไป๋จะดีกับเธอแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีขนาดไหน เธอต้องเชื่อเสมอว่าฉันอยู่ข้างเธอ ไม่ว่ายังไงก็ตาม และก็เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี ก็เลยแนะนำให้เธอลองคิดดู แต่ถ้าเธอไม่ชอบจริงๆ ก็ไ
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฉินเย่ก็นึกถึงแม่ของเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนที่ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อเข้ามา แต่เพราะว่าเขาไม่ได้ตอบกลับจึงขาดการติดต่อไปเพราะว่าเขาไม่รับเงินที่ส่งของขวัญให้ เลยกลัวว่าหากไลฟ์ต่อไป เขาจะส่งของขวัญให้อีกงั้นเหรอ?ก็เลยหยุดไลฟ์?ถ้าหาก…เขาส่งเลขบัญชีไปล่ะ?ฉินเย่ชอบเด็กสองคนนี้จริงๆ ถึงแม้พวกเขาจะไลฟ์ไม่บ่อยนัก แต่ก็สามารถทำลายความมืดมนในใจเขาได้เด็กสองคนนี้น่ารักมาก แถมหนึ่งปีมานี้ การดูพวกเขาไลฟ์นั้นได้กลายเป็นความคุ้นเคยของเขาไปแล้วเขาเองก็ยังไม่เจอเรื่องอื่นที่สามารถช่วยบรรเทาจิตใจของเขาได้เช่นกันหากพวกเขาหยุดไลฟ์เพราะเรื่องนี้…ชั่วขณะหนึ่ง ในสมองของฉินเย่ก็มีความคิดวิธีแก้ต่างๆ มากมายผุดขึ้นแต่ทว่าไม่ปล่อยให้เขาได้คิดมากนาน เหนียนเหนียนก็ได้แก้คำพูดของเหมิงเหมิงใหม่“ไม่ใช่ว่าไม่ไลฟ์แล้วครับ แต่ว่าช่วงนี้พวกผมต้องย้ายบ้าน ก็เลยยังไม่ได้ไลฟ์จนกว่าจะย้ายบ้านเสร็จครับ”“อืม” เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้า “พวกหนูจะย้ายบ้านค่ะ”ฉินเย่ที่ได้ยินว่าพวกเขาเพียงแค่จะย้ายบ้าน แต่ไม่ได้จะหยุดไลฟ์ โล่งใจไปเฮือกหนึ่งโชคดีที่แค่ย้ายบ้านเขากดเข้าไปในหน้าบั
มีแม่ฉินคอยหนุนหลังให้ตนแล้วหลี่มู่ถิงยังจะกลัวอะไรอีก? แบบนี้ก็ต้องทำเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือรีบให้ประธานฉินกินยาสิ?ที่สำคัญคือเพียงแค่กำชับให้กินยาเฉยๆ ยังมีงานควบให้ทำอีก นี่มันเยี่ยมจริงๆ“ประธานฉินครับ ถ้าคุณไม่กินยา เดี๋ยวคุณหญิงฉินโทรมาจะอธิบายยากนะครับ”สิ้นเสียง หลี่มู่ถิงพลันรู้สึกถึงรังสีเย็นชากำลังจ้องมาที่ตนอยู่เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบและในขณะนั้นเองเขาถึงจะเข้าใจว่าแม้จะมีแม่ฉินสนับสนุน แต่ไม่ว่ายังไงฉินเย่ก็เป็นลูกชายของแม่ฉิน หากตนอวดดีเกินไปถึงตอนนั้นคนที่เสียเปรียบจะเป็นตนแน่นอนแต่ว่าการกระทำต่อจากนี้ของฉินเย่กลับทำให้เขาอึ้งเพราะเขากินยาต่อหน้าเขา ซ้ำยังดื่มน้ำอุ่นแก้วนั้นจนหมดด้วย จากนั้นก็วางแก้วลงบนโต๊ะเสียงดังปัง“พอใจยัง?”หลี่มู่ถิงได้รู้สึกตัว รีบพยักหน้าหงึกๆ พลางตอบว่าพอใจแล้วพลางเดินออกไปหลังจากที่เขาออกไปแล้ว ฉินเย่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูหน้าต่างที่ขึ้นว่าไลฟ์สิ้นสุดแล้ว จากนั้นเม้มริมฝีปากเบาๆไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะไลฟ์อีกเมื่อไหร่หวังว่าจะกลับมาไลฟ์เร็วๆ อย่าช้าเกินไปล่ะ_“ไลฟ์เสร็จแล้วเหรอจ๊ะ?” เสิ่น
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง